บทที่ 16 แกล้งป่วยเพื่อโดดเรียน (1)
“เหลียงเฉิน” จัวเซ่าที่พาจัวถิงเดินมาส่งเสียงเรียก
เหลียงเฉินเงยศีรษะไปตามเสียงเรียก ดวงตาฉายแววเปล่งประกาย “จัวเซ่า”
“นายกินข้าวไม่อิ่มเหรอ?” จัวเซ่าเหลือบมองไปทางวุ้นเส้นอบที่อยู่ตรงหน้าเหลียงเฉินแล้วเอ่ยถาม
“ไม่…ฉะ…ฉัน…นี่ข้าวเย็น” เหลียงเฉินเอ่ยตอบ ไม่กี่วันก่อนหลังเลิกเรียน เวลาที่เขากลับบ้านมักจะแวะที่ร้านอาหารจานด่วนเพื่อทานอาหารเย็น แต่วันนี้เพื่อที่จะให้จัวเซ่าส่งตนกลับบ้าน จึงไม่ได้แวะทานข้าวที่ร้าน
ของว่างอย่างบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอะไรพวกนั้นที่บ้านเขายังมี แต่จัวเซ่าบอกให้เขาทานของพวกนั้นน้อยหน่อย เขาอยากลดน้ำหนักอีกครั้ง ดังนั้นจึงต้องอดทน
ในตอนแรกเขาอยากกินให้น้อยลง แต่ต่อมาก็ยิ่งหิว ทนไม่ไหวแล้ว จึงออกจากบ้านมาพร้อมกับเงิน ต้องการซื้อวุ้นเส้นอบสักชาม
“ที่บ้านของนายไม่มีใครทำอาหารเหรอ?” จัวเซ่าเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ เขาได้ยินเรื่องราวของเหลียงเฉิน แต่เดิมคิดว่าเหลียงเฉินไม่มีพ่อแม่อยู่ข้าง ๆ ก็ควรได้รับการดูแลจากปู่ย่า
สไตล์การแต่งตัวของเหลียงเฉินก็เหมือนกับปู่แก่ ๆ
“มะ…ไม่มี ฉันอยู่คนเดียว” เหลียงเฉินเอ่ยตอบ จากนั้นจึงถามกลับ “จัวเซ่า นายอยากกินวุ้นเส้นอบไหม?”
จัวเซ่าทานอาหารเย็นมาค่อนข้างอิ่ม ไม่อยากทานแล้ว แต่เมื่อเขาหันกลับไปมอง กลับเห็นจัวถิงมองไปยังเจ้าของร้านอย่างใจจดใจจ่อ
“ฉันจะไปซื้อสักชาม จะแบ่งกันกินกับถิงถิง” จัวเซ่าเอ่ย ในมือของเขายังมีเงินที่เอามาจากจัวเจียเป่าอยู่ ไม่ได้ขาดเงินถึงขั้นที่จะซื้อวุ้นเส้นอบชามเดียวไม่ได้
แต่เหลียงเฉินไม่ยอมให้จัวเซ่าจ่ายเงิน เขาหยิบเงินออกมาอีกสิบหยวนและเอ่ยกับเจ้าของร้านว่า “ผมเอาอีกสองชาม!”
พูดจบเขาก็หันกลับมามองจัวเซ่าทันที ท่าทางราวกับลูกหมาขอรางวัลอย่างไรอย่างนั้น
“ขอบคุณ” จัวเซ่าหันไปยิ้มให้เขา
“ไม่เป็นไร ๆ” เหลียงเฉินกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว และในเวลานั้นเอง เจ้าของร้านก็นำจานสองใบเดินเข้ามาด้วยความเบิกบานใจ “พวกเธอกินกันเถอะ”
วุ้นเส้นอบนั้นแม้จะมีราคาถูก แต่สามารถเพิ่มกุ้ง น่องไก่ หรือเนื้อสัตว์ชิ้นใหญ่ ๆ อะไรพวกนั้นลงไปได้ โดยจะต้องเพิ่มราคาพิเศษ ดังนั้นแม้ว่าวุ้นเส้นอบจะชามละห้าหยวน แต่เจ้าของร้านก็ยังคงทำกำไรได้อยู่ดี
แต่ถึงอย่างนั้นกำไรก็ไม่ได้มากมายอะไร จนได้มาเจอเหลียงเฉิน นานมากแล้วที่เขาไม่ได้เจอคนอ้วนที่กินแต่อาหารจานผักแบบนี้
ตอนนี้เพื่อนของเจ้าอ้วนนี้อยากจะทานอาหาร เขามีความสุขมาก ภาวนาให้สองคนนี้ใส่เพียงผักเช่นเดียวกัน
แต่จัวเซ่าไม่ใช่เหลียงเฉิน
“ถิงถิง พี่ให้เราใส่ก่อน น้องอยากกินอะไรล่ะ?” จัวเซ่าเอ่ยถาม
“เอาหมดเลย” จัวถิงมองจัวเซ่าด้วยความตื่นเต้น เมื่อหันไปเจอเหลียงเฉินก็ยิ้มออกมาด้วยความเขินอาย โชว์ฟันซี่เล็ก ๆ สองซี่
“งั้นเดี๋ยวพี่ใส่ให้” จัวเซ่าเอ่ย เขาวางไข่ดาวแบน ๆ ไว้ที่ก้นจาน ตามด้วยปลายปีกไก่ลงไปอีกชั้น จากนั้นเขาก็ใส่กะหล่ำปลีลงไปอีกเล็กน้อย แล้วใส่ลูกชิ้น ไข่นกกระทา หรืออะไรสักอย่างลงไปบนกะหล่ำปลี สุดท้ายตามด้วยเห็ดนางรมและเห็ดเข็มทอง
ไม่นานจัวเซ่าก็ใส่ของจนเต็มจาน
เมื่อเจ้าของร้านเห็นดังนั้นก็หดหู่เล็กน้อย แต่ของพวกนี้ก็ไม่ได้แพงอะไรนัก อีกทั้งหลาย ๆ คนก็ทำเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่มีความสุขเลยสักนิด
พอจัวเซ่าตักให้จัวถิงเรียบร้อยแล้วก็ตักให้ตัวเองอีกชาม จากนั้นก็ส่งให้เจ้าของร้านนำไปปรุงต่อ แล้วก็กลับมานั่งตรงหน้าจัวเซ่า “ทำไมนายเอาแต่ผักล่ะ?”
“ฉัน...” เหลียงเฉินเขินเล็กน้อย
จัวเซ่าคาดเดาเหตุผลอย่างรวดเร็ว “นายลดน้ำหนักเหรอ?” ก่อนหน้านี้กระเป๋าของเหลียงเฉินเต็มไปด้วยผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ทุกประเภท ชัดเจนว่าเขาชอบกินเนื้อมาก นอกจากจะลดน้ำหนักก็ไม่มีเหตุผลอื่นอีกแล้ว
เหลียงเฉินเขินอายยิ่งกว่าเดิม นิ้วอ้วนป้อมของเหลียงเฉินอยู่ไม่สุข คนหม้อวุ้นเส้นอบของตนไปมาด้วยความเก้อเขินและประหม่า
“ตอนนี้นายกำลังโต ลดน้ำหนักคงจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไร ถ้าอยากจะลดจริง ๆ ลดด้วยการออกกำลังกายจะดีที่สุด...” จัวเซ่าพูดด้วยความจริงจัง คิดว่าเหลียงเฉินควรต้องออกกำลังกายมากกว่านี้ จึงเอ่ยเสริมว่า “รออีกสองสามวันฉันจะว่าง เดี๋ยวเราไปวิ่งด้วยกัน”
เหลียงเฉินพยักหน้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็สับสนเล็กน้อย...วิ่ง...สิ่งที่เขาไม่ชอบที่สุดก็คือการวิ่ง
แต่หากจัวเซ่าไปวิ่งด้วยกันกับเขา ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหนเขาก็จะวิ่ง
วุ้นเส้นอบสองชามถูกนำมาเสริมพร้อมกัน
จัวเซ่าเจริญอาหารมาก แม้ว่าจะทานอาหารเย็นมาก่อนแล้วก็ตาม สามารถกินอีกชามได้สบาย ๆ ต่างกับจัวถิง เธอกินไม่ลงแล้ว “นายอิ่มไหม? ฉันแบ่งให้เอาไหม?” จัวเซ่าเอ่ยถาม
“เอาสิ” เหลียงเฉินตอบรับทันที เขาสามารถแบ่งวุ้นเส้นอบของจัวเซ่ามากินได้ ในใจของเขากระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ!
จัวเซ่าตักวุ้นเส้นอบแบ่งให้เหลียงเฉิน ตักผักแบ่งให้เขาอีกนิดหน่อย จากนั้นวางหม้อวุ้นเส้นอบที่ตักแบ่งแล้วลงตรงหน้าจัวถิง
ไม่ใช่แบ่งวุ้นเส้นอบกับจัวเซ่า แต่เป็นจัวถิง...เหลียงเฉินรู้สึกผิดหวังมาก
ทั้งสามกินวุ้นเส้นอบหมดด้วยความรวดเร็ว
สำหรับจัวเซ่า วุ้นเส้นอบไม่ได้อร่อยอะไรมากมาย แถมยังใส่ผงชูรสมากเกินไปอีก แต่เหลียงเฉินกับจัวถิงดูเหมือนว่าจะชอบมาก โดยเฉพาะจัวถิง เธอกินอย่างมีความสุขมาก
เด็ก ๆ มักจะพอใจกับอะไรง่าย ๆ...จัวเซ่าลูบศีรษะของจัวถิง
เหลียงเฉินมองด้วยความอิจฉา จัวเซ่าเคยลูบศีรษะเขาเช่นนี้มาก่อน แต่น่าเสียดายที่ครั้งนี้จัวเซ่าไม่ได้ทำเช่นนั้น
หลังจากไปส่งเหลียงเฉินเรียบร้อยแล้ว จัวเซ่าก็พาจัวถิงกลับบ้าน
จัวถิงทำการบ้านเสร็จแล้วและเข้านอนด้วยความรวดเร็ว เมื่อจัวเซ่าเห็นว่าน้องหลับสนิทแล้ว จึงค่อย ๆ แอบเปิดประตูห้องข้าง ๆ
ล็อคแบบเก่าที่ล้าสมัยมาหลายปีสามารถเปิดออกได้ง่ายจริง ๆ
จัวหรงหมิงและชวีกุ้ยเซียงนอนบนเตียงของพ่อแม่จัวเซ่า หน้าเตียงนอนมีทีวีขนาดใหญ่ที่พ่อของจัวเซ่าซื้อไว้เมื่อสองปีก่อน
จัวเซ่าอยากจะลงมือพังข้าวของเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ต้องอดทนเอาไว้
ในไม่ช้าก็เร็วเขาจะคิดบัญชีกับครอบครัวจัวหรงหมิงแน่นอน แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้
จัวเซ่ามองเข้าไปในห้องอีกครั้ง แต่กลับหาสมุดทะเบียนบ้านหรือสมุดบัญชีเงินฝากอะไรพวกนั้นไม่เจอเลย เห็นได้ชัดว่าจัวหรงหมิงและจัวเจียเป่าเอาของพวกนั้นไปแล้ว
จัวเซ่าปิดประตูห้อง กลับมายังห้องของตน เหมือนกับคืนก่อน ๆ เขานอนลงที่ปลายเท้าของจัวถิง
หลังจากครอบครัวของจัวหรงหมิงไม่อยู่ ชีวิตในแต่ละวันของจัวเซ่าและจัวถิงก็สบายขึ้นมาก
จัวเซ่าตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น นำอาหารที่เหลือจากเมื่อคืนมาทอดกินเป็นอาหารเช้าด้วยกันกับจัวถิง
ชวีกุ้ยเซียงขี้เหนียวมาก ในบ้านไม่มีกระทั่งไข่สักฟอง อยากจะทำข้าวผัดสักจานก็ยังทำไม่ได้ เกรงว่าคงต้องไปซื้ออาหารมาไว้สักหน่อย จึงจะสามารถใช้ชีวิตผ่านไปได้...เมื่อทานเสร็จแล้ว ในขณะที่กำลังล้างจาน จัวเซ่าก็กำลังครุ่นคิด
จัวเซ่ากลัวว่าจัวหรงหมิงหรือจัวเจียเป่าอาจจะมาที่บ้านหลังนี้ในตอนกลางวัน และเอาของในครัวไปจนหมด จึงย้ายเอาน้ำมัน เกลือ ซอส และน้ำส้มสายชูไปไว้ที่ห้องของเขากับจัวถิงและล็อคประตูเอาไว้