บทที่ 15 กินเสร็จแล้วไปเดินเล่นกันเถอะ
ในทุก ๆ เช้าชวีกุ้ยเซียงมักจะออกไปซื้อผักเสมอ และวันนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน จัวเซ่ามองเข้าไปในครัว พบปลาดาบที่ชวีกุ้ยเซียงหมักเกลือเอาไว้ นอกจากนี้ยังมีกะหล่ำดอกหนึ่งหัว เต้าหู้ทอด และพริกหยวกอีกนิดหน่อย
พริกหยวกนั้นเป็นพริกท้องถิ่นในอำเภอฟูหยาง มีขนาดประมาณนิ้วของผู้ใหญ่ พริกชนิดนี้ไม่เผ็ดมาก คนในอำเภอฟูหยางนิยมนำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำมาผัดกับเต้าหู้ทอด
เดาว่าชวีกุ้ยเซียงอยากจะใช้มันทำผัดเต้าหู้ทอด...จัวเซ่านำพริกมาล้างและก็ใช้มันทำผัดเต้าหู้ทอด จากนั้นก็นำกะหล่ำดอกมาต้ม
ส่วนปลาดาบนั้น หลังจากที่เขานำปลาไปล้างแล้วก็นำไปวางไว้บนซึ้งนึ่งของหม้อหุงข้าว
ในตอนที่จัวเจียเป่านำคนบุกมา จัวเซ่าก็กำลังนำกะหล่ำดอกวางลงบนจาน
หลังจากเหลียงซินล้มป่วย จัวเซ่าก็ได้พบกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเพื่อเรียนรู้ทักษะการทำอาหาร ฝีมือของเขาดีขึ้นมาก ทำออกมาได้อย่างชำนาญ เมื่อคนเหล่านั้นได้เห็นสิ่งที่คนที่ตนต้องการจะจับผิดทำก็อดที่จะรู้สึกอายไม่ได้
เด็กคนนี้อายุเท่าไรกัน? ทำอาหารได้ชำนาญขนาดนี้…ไม่ใช่ว่าชวีกุ้ยเซียงให้เขาทำอาหารในวันธรรมดาหรอกนะ?
เดิมคนเหล่านี้ต้องการจะมาสร้างความลำบากให้จัวเซ่า แต่เมื่อเห็นสถานการณ์ในตอนนี้กลับรู้สึกอายจนไม่กล้าพูดอะไรออกมา ชวีกุ้ยเซียงมักจะมาบ่นกับพวกเขาตลอดเวลาว่าการต้องเลี้ยงเด็กอีกสองคนนั้นเหนื่อยมาก แต่ที่จริงแล้วนี่มันอะไรกัน?
ที่จริงแล้วเด็กสองคนนี้ไม่ต้องให้เธอเลี้ยงเลยด้วยซ้ำ! พวกเขายังมีเงินเหลือจากพ่อแม่ของพวกเขา ทั้งยังสามารถทำงานบ้านได้ ที่จริงแล้วชวีกุ้ยเซียงไม่ต้องจ่ายอะไรเลยด้วยซ้ำ
“พี่ชาย กินข้าวได้แล้ว” จัวเซ่าร้องทักและพูดต่อว่า “พี่ครับ ถ้าพี่อยากจะให้ผมย้ายออกก็ได้นะครับ งั้นผมขอกุญแจบ้านของผมและเงินที่พ่อแม่ของผมทิ้งเอาไว้คืนด้วยครับ...”
“แก ไอ้สารเลว ยังจะมาแกล้งทำตัวน่าสงสาร!” เมื่อจัวเจียเป่าเห็นจัวเซ่าเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งโกรธจัดและตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง “ทำไมฉันจะต้องให้เงินแกด้วย แกพาไอ้เด็กพิการนั่นออกไปกับแกซะ!”
“แล้วกุญแจบ้านล่ะ?” จัวเซ่าเอ่ยถามอีกครั้ง “พวกคุณเอาบ้านของเราไปปล่อยเช่า ค่าเช่าก็ไม่เคยให้พวกเรา”
“พ่อแกตายไปแล้ว ตอนนี้บ้านนั้นเป็นของพวกเรา!” จัวเจียเป่าพูดออกไปโดยไม่คิด เพราะชวีกุ้ยเซียงมักจะบอกเขาเช่นนั้นอยู่เสมอ
พวกคนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับชวีกุ้ยเซียงเหล่านั้นก็มักจะมีนิสัยที่ไม่ได้ต่างไปจากชวีกุ้ยเซียงไม่มากก็น้อย
แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็รู้สึกว่าชวีกุ้ยเซียงจะไร้ยางอายเกินไปแล้ว
แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็อดที่จะอิจฉาชวีกุ้ยเซียงไม่ได้
ทำไมชวีกุ้ยเซียงถึงได้รับผลประโยชน์มากมายขนาดนี้?
จัวเซ่าเหลือบมองไปยังพวกเขา และก็รู้ว่าจากนี้ไปคนเหล่านี้จะไม่มีความสัมพันธ์ดี ๆ กับชวีกุ้ยเซียงอีกแล้ว
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ฉีกหน้าชวีกุ้ยเซียง แต่ก็คงเอาชวีกุ้ยเซียงไปนินทาลับหลังแน่
แบบนี้ก็ไม่เลวเลย
จัวเซ่าอารมณ์ดีมาก แต่บนใบหน้าของเขากลับแสดงออกถึงการถูกกดขี่อย่างน่าสมเพช เขาก้มศีรษะของตนลงเล็กน้อย
“จัวเจียเป่า แบบนี้ก็ไม่ถูกนะ บ้านและเงินของพ่อแม่คนอื่นที่ถูกทิ้งไว้จะกลายเป็นเงินของเธอได้ยังไงกัน?”
“นั่นสิ เรื่องนี้พวกเราคงเข้าไปก้าวก่ายไม่ได้”
“ครอบครัวฉันก็กำลังกินข้าวกันอยู่ งั้นฉันกลับไปกินข้าวที่บ้านก่อนนะ”
……
ทุกคนพูดกันคนละประโยคสองประโยคแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวก่อนสิ!” จัวเจียเป่าอยากที่จะหยุดพวกเขาเอาไว้ แต่กลับไม่มีใครหยุดเลยสักคน เขาหันกลับมาอีกครั้งและพบเข้ากับรอยยิ้มมุมปากของจัวเซ่า
เขารู้สึกขนลุก ไม่กล้าที่จะอยู่ที่บ้านหลังนี้อีกแล้วจึงรีบวิ่งหนีออกไปทันที วางแผนว่าสองสามวันนี้จะไปอยู่ที่บ้านใหม่กับพ่อของเขา
จัวเซ่ามองจัวเจียเป่าวิ่งหนีไปก็ปิดประตูลง จากนั้นเขาก็เรียกจัวถิงให้มากินอาหารเย็นและเอ่ยกับจัวถิงว่า “ถิงถิง กินข้าวเสร็จแล้วเราออกไปเดินเล่นกันเถอะ”
หลังจากกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เขาก็ยุ่งอยู่กับการจัดการครอบครัวจัว ยังไม่มีเวลาได้ไปเดินดูอำเภอฟูหยางในตอนนี้เลยว่าเป็นอย่างไรบ้าง
ยังมีเงินที่จะต้องหาอีก เขาควรจะใส่ไว้ในแผนของตนด้วย
หลังจากทานจนอิ่มแล้ว จัวเซ่าก็พาจัวถิงออกไปเดินเล่นที่ถนนใหญ่ข้างนอก
อำเภอฟูหยางในช่วงต้น ๆ ปีสองพันมีร้านค้าน้อยกว่าในช่วงยุคหลังมาก แต่ก็มีอยู่ไม่น้อยเลย ในเวลานี้ระบบอีคอมเมิร์ซยังไม่ถูกพัฒนาขึ้นมา และที่จริงก็มีคนจำนวนมากที่ออกมาซื้อของในตอนกลางคืน
ตลอดสองข้างทางของถนนใหญ่มีแผงขายของมากมาย เช่นรองเท้าแตะและของอื่น ๆ ยังมีบางคนเอาหนังสือมือสองมาขายถึงแม้ว่ามันจะเป็นของปลอมก็ตามที ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก แต่จัวเซ่าไม่มีเงิน ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงมองมันเท่านั้น
หลังจากเดินดูแผงลอยต่าง ๆ แล้ว สายตาของจัวเซ่าก็มองไปยังแผงที่ตั้งอยู่สองข้างถนนและพบว่า...การตกแต่งร้านในเวลานี้ยังไม่ค่อยจะดีนัก
ในเวลานี้ผู้คนทำป้ายชื่อร้านให้มีสีสันสดใส และหลายคนก็ติดไฟสว่าง ๆ เพื่อให้ป้ายดูเด่นยิ่งขึ้น แต่นอกเหนือจากนี้แล้วก็ไม่ได้มีการตกแต่งอะไรเพิ่มเติม
แน่นอนว่าถนนที่พวกเขาอยู่ตอนนี้ก็เช่นกัน และร้านค้าสองข้างทางก็เป็นแค่ร้านเล็ก ๆ ที่ไม่ได้โดดเด่นอะไร
จัวเซ่ามองไปรอบ ๆ และรู้สึกว่าการหาเงินในยุคนี้ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา ตอนนี้เป็นยุคทองของอุตสาหกรรมการตกแต่งอย่างแน่นอน ยี่สิบปีหลังจากนี้บริษัทรับตกแต่งที่มีชื่อเสียงหลายแห่งดูเหมือนจะเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงเวลานี้เช่นกัน
จัวเซ่าในชีวิตก่อนก็ทำเกี่ยวกับการตกแต่ง
พ่อของเหลียงซินทำธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ แต่เหลียงซินกลับไม่ค่อยมีหัวทางด้านธุรกิจ เขาเพิ่งจะเรียนรู้เกี่ยวกับการออกแบบในตอนที่เขาอยู่มหาวิทยาลัย
เขาเรียนด้านการออกแบบสถาปัตยกรรม แต่ต่อมาเพราะงานอดิเรกส่วนตัวของเขา ก็เลยเปลี่ยนมาเรียนด้านการออกแบบภายในแทน
เหลียงซินมีพรสวรรค์ในด้านนี้เป็นอย่างมาก ทั้งยังได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากพ่อของเขา เมื่อตอนที่เขายังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย เขาได้ออกแบบตัวอย่างผลงานสองสามแบบในงานวิทยานิพนธ์ของเขา หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็เปิดบริษัทรับตกแต่งโดยตรง
มีพ่อของเขาอยู่ บริษัทรับตกแต่งของเขาจึงมีงานไม่ขาดมือ หลังจากนั้นสองปีเมื่อบริษัทมีพนักงานเพียงพอแล้ว พ่อของเหลียงซินก็ยอมให้เหลียงซินตกแต่งอสังหาริมทรัพย์ที่ตนนั้นพัฒนาขึ้น
นั่นคือตอนที่จัวเซ่าเริ่มติดตามเหลียงซิน
เขาเริ่มต้นด้วยการทำงานเบ็ดเตล็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ และต่อมาได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเป็นช่างไฟฟ้าจากปรมาจารย์ของบริษัทตกแต่ง และต่อมาเขาก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับงานไม้และงานก่ออิฐด้วย
ในตอนนั้นเขาตัวคนเดียว ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องทำ จึงใช้เวลาทั้งหมดไปกับการตกแต่งและปรับปรุงสถานที่ก่อสร้าง แม้มันจะไม่ได้มีประโยชน์สำหรับเขาในการทำอะไรแบบนี้ แต่ในไม่ช้าเขาก็เข้าใจขั้นตอนการตกแต่งทั้งหมด ไม่ว่าอะไรก็สามารถทำได้ตั้งแต่เริ่ม
หลังจากที่เหลียงซินรู้เข้าก็เลื่อนตำแหน่งเขาให้เป็นผู้จัดการโครงการ และเหลียงซินก็ปล่อยให้เขาจัดการธุรกิจของบริษัท
เมื่อคิดถึงเรื่องในชีวิตก่อน จัวเซ่าก็ตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ
เขาอยากจะพบเหลียงซินมากจริง ๆ แต่ตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องจ่ายราคาแพงเหมือนในชีวิตก่อนเพื่อที่จะได้พบกับเหลียงซินอีกแล้ว
โรงเรียนมัธยมของเหลียงซินเป็นโรงเรียนมัธยมที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในมณฑลของพวกเขา โรงเรียนนานาชาติเมือง H แม้ว่าเขาจะไปที่นั่น แต่ก็ยังหาคนไม่เจอ
จัวเซ่าหดหู่เล็กน้อย ทันใดนั้นเองเขาก็ได้พบกับคนที่เขาคุ้นเคย
เหลียงเฉินเพื่อนร่วมโต๊ะของเขานั่งอยู่ที่โต๊ะริมถนนตรงหน้าเขา กำลังกินวุ้นเส้นคำโต
สิ่งที่เหลียงเฉินกินเป็นอาหารประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากของอำเภอฟูหยางในขณะนี้ คนท้องถิ่นเรียกมันว่าวุ้นเส้นอบ
วุ้นเส้นอบทั้งหมดชามละห้าหยวน หลังจากที่ลูกค้าขอหม้อวุ้นเส้นอบจากเจ้าของแล้ว เขาก็จะให้จานมา จากนั้นลูกค้าก็นำจานและตะเกียบไปเลือกเครื่องเคียงต่าง ๆ
เครื่องเคียงมีหลากหลายประเภท ทั้งลูกชิ้นหมู ไส้กรอกแฮม ตีนไก่ ปีกไก่ ผักกวางตุ้ง ผักกาดขาว หัวไชเท้า และถั่วงอก...ไม่ว่าอะไรก็มีหมด ทุกคนสามารถเลือกเครื่องเคียงได้ตามใจชอบ และเมื่อใส่จานเต็มแล้วจะไม่สามารถเพิ่มได้อีก
เจ้าของร้านจะใส่เครื่องเคียงเหล่านี้ในหม้อใบเล็ก ๆ ตามด้วยใส่วุ้นเส้นลงไป แล้วเสิร์ฟทุกอย่างพร้อมกับหม้อ...เมื่อหม้อวุ้นเส้นวางอยู่บนโต๊ะก็มักจะเดือดปุด ๆ
วิธีการรับประทานก็คล้าย ๆ กับการทานซุปหม่าล่า แต่วุ้นเส้นอบจะไม่เผ็ด ในเวลานี้ในอำเภอฟูหยางมีคนเพียงไม่กี่คนที่สามารถทานอาหารรสจัดได้
ตอนนี้เหลียงเฉินกำลังกินวุ้นเส้นอบในหม้อดินเผาใบเล็ก และวุ้นเส้นอบของเขาก็เต็มไปด้วยผัก ไม่มีเนื้อแม้แต่ชิ้นเดียว
ในเวลานี้ผักกวางตุ้งมีราคาเพียงไม่กี่เหมาต่อครึ่งกิโล แม้จะอยู่ในฤดูก็ยังราคาเพียงหนึ่งหรือสองเหมา วุ้นเส้นก็ราคาถูก รวมหม้อที่ใส่ ต้นทุนทั้งหมดอาจไม่ถึงหนึ่งหยวนด้วยซ้ำ