บทที่ 148: บุตรชายของนักดาบหิรัณย์
“???”
เมื่อจางเหล่าชีเห็นว่าพี่ชายของเด็กหญิงตัวน้อยเดินเข้ามาอุ้มนาง เขาก็บังเกิดความคิดบางอย่างแล้วรีบเข้าไปตีสนิท
“ไอ้น้องชาย ข้าไม่ใช่คนเลว” เขาแยกเขี้ยวเหลือง ๆ ยิ้มให้จื่อเฟิง “ข้าแค่คิดว่าแม่หนูคนนี้น่ารักเพียงเท่านั้น ข้าจึงอยากจะพูดคุยอะไรกับนางสัก 2-3 ประโยค”
“อย่ามองข้าแบบนั้นสิ ข้ามีลูกสาวอยู่ที่บ้านอายุรุ่นราวคราวเดียวกับนางนี่แหละ”
“ยามที่ข้าเห็นนาง ข้าก็คิดถึงลูกสาวที่ไม่ได้เจอกันมานาน”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วและไม่สนใจคำพูดของอีกฝ่าย เขาเพียงแค่ดุเสียงเย็น “ไปให้พ้น!”
“มีอะไรหรือ?” มู่จวินฝานได้ยินเสียงของจื่อเฟิงทันทีที่เขาลงมาชั้นล่าง เขาจึงหันไปมองที่ต้นเสียง พอเห็นชายแปลกหน้า ดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “จอมยุทธ์ท่านนี้มีอะไรหรือไม่?”
“ไม่มีอะไร ๆ” จางเหล่าชีไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเมื่อเห็นเด็กหนุ่มผู้มาใหม่ เขาเพียงมองใบหน้าขาวดั่งยกของมู่จวินฝานและบุคลิกที่สง่างามคล้ายบัณฑิต เขาจึงคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงพ่อค้าธรรมดาที่ไม่มีแรงแม้แต่ฆ่าไก่
“ข้าเพียงแค่เห็นน้องสาวของท่านแล้วนึกถึงลูกสาวที่ไม่ได้เจอกันนานก็เลยอดไม่ได้ที่จะเข้ามาพูดคุยกับนาง”
“แต่ดูเหมือนว่าข้าจะเข้าใจผิด”
“ไม่ใช่” จื่อเฟิงหันไปอธิบายให้มู่จวินฝานฟัง “เขาตัวเหม็นและเป็นคนไม่ดี”
คำพูดนั้นทำให้สีหน้าของจางเหล่าชีแข็งทื่อไป และเขาก็จ้องคนพูดด้วยแววตาโกรธเคือง “ไอ้หนุ่มน้อย เจ้านี่ช่างพูดได้ไม่เข้าหูนัก เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่บอกว่าข้าตัวเหม็น?”
“ข้าไม่ใช่ขอทานสักหน่อย!”
จื่อเฟิงไม่ได้พูดอะไรแต่ยังคงปักหลักยืนขวางอยู่อย่างนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เขาเข้าใกล้องค์หญิงหกแม้แต่ครึ่งก้าว
ทางด้านมู่ไป๋ไป่กับหลัวเซียวเซียวเหลือบมองตากันเงียบ ๆ ในที่นี้คงมีเพียงพวกเธอ 2 คนเท่านั้นที่รู้ว่าคำพูดของจื่อเฟิงที่บอกว่าเหม็นหมายความว่า ชายคนนั้นมีกลิ่นไม่ดีจริง ๆ
จื่อเฟิงเป็นคนที่แปลกประหลาดมาก ดูเหมือนว่าเขาจะเกิดมาพร้อมกับความสามารถพิเศษในการรับรู้ความชั่วร้ายได้
เช่นเดียวกับที่มู่ไป๋ไป่เข้าใจภาษาสัตว์ จื่อเฟิงก็สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างคนดีกับคนเลวได้อย่างง่ายดาย
ปกติเวลาเด็กหนุ่มพูดถึงกลิ่นเหม็น มันจะบ่งบอกถึงความอาฆาตพยาบาทในตัวของคนผู้นั้น
บัดนี้จางเหล่าชียังคงชี้หน้าด่าจื่อเฟิงไม่หยุด
มู่ไป๋ไป่จึงตัดสินใจออกจากอ้อมแขนของมู่จวินฝานด้วยสีหน้าเย็นชาและเทชาร้อนที่เถ้าแก่เพิ่งยกมาให้แล้วสาดมันใส่หน้าอีกฝ่าย “นี่แน่ะ กล้ามารังแกคนรับใช้ของข้า ท่านขออนุญาตข้าแล้วหรือ?”
จางเหล่าชีที่ถูกน้ำร้อนลวกตะโกนโวยวายเสียงดัง “อ๊ากกก! ตาข้าจะบอดแล้ว! เจ้าเด็กนี่ช่างร้ายกาจยิ่งนัก!”
“เจ้าเป็นพี่ชายของนางจะมัวแต่ยืนดูเฉย ๆ อย่างนั้นหรือ?”
“ถ้าเจ้าชอบกระทำการโหดร้ายกับผู้อื่นตั้งแต่อายุยังน้อย พอโตขึ้นแล้วไม่กลายเป็นผู้หญิงสารเลวเลยหรืออย่างไร?”
มู่จวินฝานเหลือบมองคนต่อว่าด้วยสายตาเฉยเมย จากนั้นก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาค่อย ๆ เช็ดชาออกจากมือของมู่ไป๋ไป่แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ครั้งต่อไปถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก ให้พี่เป็นคนจัดการจะดีกว่า เจ้าอย่าลงมือเองเลย”
“ถ้าชาลวกมือเจ้า พี่จะไปอธิบายให้ท่านพ่อฟังว่าอย่างไรล่ะ”
เด็กหญิงยิ้มกว้างให้ผู้เป็นพี่ชายขณะตอบว่า “ข้าเข้าใจแล้ว!”
จางเหล่าชีมอง 2 พี่น้องที่ไม่สนใจตนอย่างตกตะลึงก่อนจะตะโกนด้วยความไม่พอใจขึ้นมาทันที “ข้าจะรายงานเรื่องนี้ต่อทางการ!”
หากเขาพลาดโอกาสลักพาตัวครั้งสำคัญนี้ไป อย่าได้เรียกเขาว่าจางเหล่าชีอีกเลย!
แล้วคนอื่นที่อยู่ในห้องโถงต่างหัวเราะเมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายจะรายงานทางการ “พี่ชาย พวกเราทุกคนเป็นชาวยุทธ พอมีปัญหากันพวกเราก็จัดการปัญหากันเอง ท่านจะไปรายงานทางการได้อย่างไร?”
“เรื่องของข้าต้องให้เจ้ามาแส่ด้วยหรือ!” จางเหล่าชีหันไปตะคอกใส่คนที่พูดขัดจังหวะ “ข้าคิดว่าพี่น้องคู่นี้เป็นเพียงคนธรรมดา ดังนั้นข้าจึงเข้าไปพูดคุยทักทาย”
“ถ้ามีใครเอาเรื่องนี้ไปพูด ข้าเกรงว่าพวกเขาจะหาว่าข้ารังแกคนอ่อนแอ”
“น้ำหน้าอย่างท่านน่ะหรือ?” มู่จวินฝานเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยหางตา “ไม่ว่าท่านจะเอาเรื่องนี้ไปรายงานทางการหรือเอาไปป่าวประกาศ เราก็ยินดีทั้งสิ้น”
ครั้งนี้เขาเดินทางมาที่ชายแดนแบบลับ ๆ ดังนั้นเขาจึงจำเป็นจะต้องถ่อมตัวเอาไว้เสมอ
ยกเว้นว่าคนผู้นั้นจะมาแตะต้องคนสำคัญของเขา
“เฮอะ ถือว่าข้าไว้หน้าพวกเจ้าสักครั้ง คิดเสียว่าพวกเจ้าไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี” พอจางเหล่าชีเห็นสีหน้าไม่แยแสของเด็กหนุ่ม เขาก็เริ่มรู้สึกไม่แน่ใจขึ้นมา เพราะกลัวว่าตนนั้นจะมีเรื่องกับคนที่ไม่สมควรเข้าเสียแล้ว เขาจึงกลอกตาไปมาพลางถอยหลังออกไปหยิบดาบแล้วพูดว่า “เอาเถอะ ในเมื่อท่านเอ่ยปากเช่นนั้น เราก็ถอยกันคนละก้าว”
“พี่ชาย น้องสาวของท่านเพิ่งสาดชาร้อนใส่หน้าข้า ตอนนี้ดวงตาข้าได้รับบาดเจ็บ เพื่อเป็นการจบเรื่องนี้ ท่านจะต้องเอาดวงตาคู่หนึ่งมาแลก”
จากนั้นเขาก็เดินวนรอบกลุ่มของมู่จวินฝาน สุดท้ายเขาก็มุ่งความสนใจไปที่จื่อเฟิง “เจ้ามองข้าตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ข้าคิดว่าดวงตาของเจ้าสะอาดสดใสดี ดังนั้นใช้ดวงตาของเจ้ามาทดแทนก็ได้”
สิ้นเสียงพูดเขาก็ยกดาบพุ่งเข้าใส่เด็กหนุ่มทันที
ในโลกแห่งความเป็นจริง มันมีเหตุผลที่เขาเลือกจื่อเฟิง ถึงแม้ว่าเด็กคนนี้จะมีร่างกายค่อนข้างสูง แต่ใบหน้าของเขาก็ยังเป็นเพียงเด็กที่ยังไม่โตเต็มวัย
และเมื่อเขามองจื่อเฟิง เขาก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายน่าจะไม่มีวรยุทธด้วย เขาจึงเดาว่าเจ้าเด็กนี่เป็นเพียงแค่คนธรรมดา
ในเมื่อจะเลือกเป้าหมายเขาก็ต้องเลือกคนที่อ่อนแอที่สุด จะได้เป็นการเชือดไก่ให้ 2 พี่น้องนั่นดู พอทั้ง 2 เริ่มหวาดกลัวก็จะถูกรังแกได้ง่าย
แต่ในไม่ช้าจางเหล่าชีก็รู้ว่าตนคิดผิด
นอกจากจะคิดผิดแล้ว ยังเลือกหาเรื่องคนผิดมหันต์อีกด้วย
ก่อนที่ดาบจะเหวี่ยงโดนตัวจื่อเฟิง ดาบของคู่ต่อสู้ก็ถูกคว้าจับเอาไว้ก่อนจะถูกหักครึ่ง
ดาบเล่มใหญ่ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่า 20 จินเปรียบเสมือนของเล่นในมือของเด็กหนุ่ม
“คนอย่างเจ้าต้องการดวงตาของข้าเช่นนั้นหรือ?” จื่อเฟิงโยนดาบที่หักลงบนพื้นพลางเยาะเย้ยเสียงเย็น “เจ้าคู่ควรหรือ?”
สถานการณ์นี้ทำให้ภายในห้องโถงตกอยู่ในความเงียบครู่หนึ่ง
ทางด้านจางเหล่าชีจ้องไปที่ดาบครึ่งหนึ่งที่ถูกหักทิ้งไว้บนพื้นด้วยความตกใจจนพูดไม่ออก
เถ้าแก่ที่เตรียมพร้อมจะเข้าไปยุติการต่อสู้ก็ถอยเท้ากลับไปเงียบ ๆ เพราะดูเหมือนว่าการต่อสู้ในครั้งนี้จะจบลงแล้วจริง ๆ
“เจ้า… พวกเจ้า…” หลังจากนั้นไม่นาน จางเหล่าชีก็ดูเหมือนจะเพิ่งหาเสียงของตัวเองพบ เขาชี้ไปที่มู่จวินฝานสลับกับมู่ไป๋ไป่ด้วยนิ้วที่สั่นเทา “พวกเจ้าเห็นว่าฝ่ายตัวเองมีคนเยอะกว่าถึงได้รังแกคนอื่นสินะ”
“หืม?” คนตัวเล็กเบิกตามอง “ท่านกำลังพูดอะไร?”
“ข้าบอกว่าพวกเจ้าอาศัยคนมากกว่ารังแกคนอื่น!” จางเหล่าชีไม่สนใจหน้าตาของตัวเองอีกต่อไป ตอนนี้ชีวิตของเขาสำคัญกว่า
“ฮึ! ข้ามีธุระมากมายต้องไปจัดการ ข้าไม่สนใจพวกเจ้าแล้ว”
“คราวนี้ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปก่อน หากพบกันครั้งหน้า ข้าไม่ปล่อยพวกเจ้าไปง่าย ๆ แน่!”
หลังจากพูดจบเขาก็หันหลังวิ่งหนีไป
“เฮอะ เจ้านั่นมันขี้ขลาด ต่อยตีไม่เก่ง แต่ฝีเท้าเร็วยิ่งนัก” ชายที่เคยพูดเยาะเย้ยขัดจังหวะพวกเขาก่อนหน้านี้พูดขึ้นมา จากนั้นเขาก็ยืนขึ้นแล้วเดินเข้าไปหามู่จวินฝานก่อนจะโค้งคำนับให้อีกฝ่าย “ข้าจินซือหยาง ลูกชายของจินต้าเสีย ไม่ทราบว่าท่านมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร ข้าอยากจะเชิญให้ท่านไปเป็นแขกของตระกูลจินร่วมดื่มฉลองวันเกิดของพ่อข้า”
มู่ไป๋ไป่มองชายตรงหน้าซึ่งสวมเสื้อผ้าธรรมดาอย่างสงสัย “ท่านเป็นลูกชายของจินต้าเสียเช่นนั้นหรือ?”
ทำไมเขาถึงดูยากจนขนาดนี้?
“ใช่” เมื่อ ‘จินซือหยาง’ สัมผัสได้ถึงสายตาของเด็กหญิงตัวน้อย เขาก็อธิบายด้วยท่าทางขัดเขิน “เรื่องมันเป็นอย่างนี้ เมื่อไม่นานมานี้มีผู้คนจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาในเมืองชิงหยาง”
“ท่านพ่อกังวลว่าจะสร้างปัญหาให้กับคนในเมือง เขาจึงสั่งให้ข้าแต่งตัวเช่นนี้ออกลาดตระเวนไปรอบเมืองทุกวัน”
“ถ้าเราเจอใครมาสร้างความเดือดร้อน เราก็จะส่งตัวเขาให้ทางการดำเนินการต่อไป”