บทที่ 14 รับเป็นน้องชาย
จัวเซ่าไม่ได้ขโมยเงินเลยแม้แต่น้อย ชวีกุ้ยเซียงจะมีหลักฐานว่าจัวเซ่าขโมยเงินได้อย่างไร?
การแสดงออกของเธอดูผิดธรรมชาติมากจนใคร ๆ ก็สังเกตได้
ตำรวจของมณฑลฟูหยางทั้งหมดล้วนเป็นชาวเมืองฟูหยาง ในสถานการณ์ปกติ แม้ว่าจะมีคนโทรมาแจ้งความเท็จจริง ๆ พวกเขาก็จะไม่ได้จับกุม คุมขัง หรือปรับอะไร แต่ตอนนี้อาจารย์ได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งที่ชวีกุ้ยเซียงได้ทำลงไป
อุบัติเหตุทางรถยนต์ที่ทำให้พ่อแม่ของจัวเซ่าเสียชีวิตทั้งคู่นั้นเป็นเหตุการณ์สำคัญในอำเภอฟูหยาง ชาวบ้านทั่วไปจะทราบเพียงว่ามีสามีภรรยาคู่หนึ่งเสียชีวิตเท่านั้น แต่ตำรวจเหล่านี้จำเหตุการณ์ที่เป็นรูปธรรมของอุบัติเหตุในครั้งนั้นได้
สองสามีภรรยามีรถยนต์ เห็นได้ชัดว่าครอบครัวมีฐานะไม่เลว ไม่ว่าจะเลวร้ายแค่ไหน คนขับที่ก่อเหตุก็จ่ายเงินชดเชยไปห้าหมื่นหยวน หลังจากที่สองสามีภรรยาเสียชีวิต ถึงอย่างไรลูก ๆ ของพวกเขาก็คงไม่ต้องทนหิว
ตามคำบอกเล่าของชาวบ้าน ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ทำงานและสามีของเธอเองก็ไม่สามารถหาเงินจากงานรับจ้างได้มากมายนัก บางทีบ้านหลังใหม่ของพวกเขาก็อาจถูกซื้อด้วยเงินชดเชยจากพ่อแม่ของเด็กทั้งสองคน ตอนนี้นอกจากเธอจะไม่ให้อาหารเด็กทั้งสองแล้ว ยังว่ากล่าวด่าทอและใส่ร้ายจัวเซ่าว่าขโมยเงินอีก...
การควบคุมตัวบุคคลเพียงคนเดียวนั้นไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก และตำรวจก็นำตัวชวีกุ้ยเซียงออกไปทันที
นอกจากตอนที่ต้องมาทำบัตรประชาชน ในชีวิตชวีกุ้ยเซียงก็ไม่เคยเข้าสถานีตำรวจมาก่อน เธอตกใจและโวยวายไปทั่ว คิดจะเล่นลูกไม้แล้วลอบหนีไป เพียงแต่คนแบบเธอนั้นตำรวจเคยเจอมาเยอะแล้ว พวกเขาไม่กลัวเลยสักนิด
พวกเขาเอ่ยขู่ชวีกุ้ยเซียงไปอีกสองสามประโยคว่าหากยังสร้างปัญหาอีก จะขยายคดีแล้วคุมขัง ค่าปรับก็จะเพิ่มขึ้น จากนั้นชวีกุ้ยเซียงที่เอาแต่โวยวายอยู่ก่อนหน้าก็เชื่อฟังราวกับนกกระทาตัวน้อย ไม่กล้าสร้างปัญหาใด ๆ อีก
เมื่อตำรวจจากไป คน ๆ หนึ่งที่อายุยังน้อยมาก ใบหน้าเต็มไปด้วยสิว เอ่ยกับจัวเซ่าว่า “เด็กน้อย จากนี้ถ้าพวกเขาจะทุบตีเธออีก เธอควรโทรแจ้งตำรวจนะ! ลุงตำรวจจะนำตัวพวกเขาออกไปให้เอง!”
จัวเซ่าพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ปล่อยให้ตำรวจที่ในชีวิตก่อนมักจะวิ่งไล่ตามจับตนลูบหัวของตนอย่างว่าง่าย
เขาเองก็ไม่คิดว่าตนจะไม่ได้รู้สึกเกลียดสัมผัสจากคนคนนี้เลยแม้แต่น้อย
ในตอนแรกอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนมัธยมต้นเป่ยเหมินมีความคิดที่หลากหลายเกี่ยวกับจัวเซ่า แต่หลังจากที่วิ่งวุ่นไปทั่ว ตอนนี้เขากลับรู้สึกสงสารจัวเซ่ามากจริง ๆ
เด็กคนนี้จะโชคร้ายเกินไปแล้ว...
“จัวเซ่า เธออยากให้ทางโรงเรียนช่วยทำเรื่องรับบริจาคให้ไหม?” ตอนที่กำลังเดินทางกลับ อาจารย์ใหญ่ก็เอ่ยถามขึ้น
“ไม่เป็นไรครับอาจารย์ใหญ่” จัวเซ่าเอ่ยปฏิเสธ
ในเวลานี้การรับบริจาคเป็นที่นิยมของโรงเรียนในอำเภอฟูหยางเป็นอย่างมาก ทางโรงเรียนจะจัดให้มีการรับบริจาคหนึ่งหรือสองครั้งเกือบจะทุกปี พวกเขาเรียนรู้ที่จะมอบความรัก และว่ากันว่ายังบริจาคให้กับโรงเรียนบนภูเขาแห่งหนึ่ง...
ด้วยสถานการณ์ของเขาตอนนี้ เป็นไปได้มากที่โรงเรียนจะจัดกิจกรรมเพื่อรับบริจาคให้กับเขา แล้วหลังจากนั้นล่ะ?
หลังจากที่เขาได้รับเงินบริจาคแล้ว บางทีอาจจะไปซื้อหมูสามชั้นตุ๋นผัดซอสกิน และก็จะถูกผู้คนตั้งคำถามว่าเป็นการสุ่มเด็กมารับบริจาคหรือเปล่า
ถ้าเขาจะมีเงิน เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่ใช้มัน และเพื่อจะได้ไม่ใช้เงินเกินตัว สู้ไม่รับบริจาคตั้งแต่แรกไปเสียเลยดีกว่า
“อาจารย์ใหญ่ครับ เด็กคนนี้เป็นพวกหน้าบาง (1)” หยางเจี้ยนหวากล่าวเสริม
อาจารย์ใหญ่เข้าใจความคิดของเด็กในวัยนี้เช่นกัน สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยบังคับอะไร เพียงกำชับจัวเซ่าอีกสองสามประโยคให้จัวเซ่าตั้งใจเรียน
จัวเซ่าตอบรับทั้งหมด
เมื่อตอนกลางวันจัวเซ่าได้ออกตัวว่าจะไปรับจัวถิงหลังเลิกเรียน
อาจารย์หยางพยักหน้าและเอ่ยว่า “จัวเซ่า เดี๋ยวครูจะไปรับน้องสาวเป็นเพื่อนเธอเอง จากนั้นเราก็กลับโรงเรียนมาทานอาหารเย็นกัน”
โรงเรียนมัธยมต้นเป่ยเหมินจ่ายค่าอาหารหนึ่งครั้งต่อภาคการศึกษา และในตอนกลางวันนักเรียนที่ได้ชำระค่าอาหารแล้วจะถูกจัดให้ทานอาหารในห้องเรียนพิเศษ ที่นั่นจะแจกจ่ายอาหารให้นักเรียนคนละมื้อ
แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำอาหารให้พอดีกับจำนวน ดังนั้นโรงอาหารจึงมักจะทำมากกว่าจำนวนที่ต้องทำเสมอ
เช่น หากพวกเขาจะทำน่องไก่ให้ทาน ก็มักจะทำเกินมาสิบยี่สิบน่อง เพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยงปริมาณอาหารที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ เพราะบางครั้งเวลาต้มจนเปื่อย เนื้อไก่ก็จะหลุดหายไปด้วย
และเพราะเหตุนี้ หากอาจารย์ที่โรงเรียนอยากจะทานอาหารของโรงอาหารขึ้นมา บางครั้งก็สามารถทานน่องไก่ได้หลายน่อง...ตอนนี้หากจะแบ่งอาหารให้เด็กสองคนก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร
จัวเซ่าเอ่ยขอบคุณอาจารย์หยาง
อาหารที่โรงเรียนมัธยมต้นเป่ยเหมินในวันนี้มีซี่โครงหมูตุ๋นน้ำแดงกับต้มสาหร่าย เหล่าอาจารย์ยังได้ทานซุปเห็ดใส่เต้าหู้และไก่สับด้วย
จัวเซ่าและจัวถิงติดตามอาจารย์เหล่านั้นไป อาหารมื้อนี้เป็นมื้อที่อร่อยมากจริง ๆ จากนั้นยังมีซี่โครงหมูตุ๋นน้ำแดงออกมาอีก อาจารย์หยางยังห่ออาหารใส่ถุงพลาสติกให้จัวเซ่าด้วย
จัวเซ่ารับเอาไว้และกล่าวขอบคุณอีกครั้ง
ตอนนี้เขาต้องการสิ่งเหล่านี้จริง ๆ
หลังจากจัวเซ่ารับซี่โครงหมูมาแล้วก็ไปส่งจัวถิงกลับโรงเรียนก่อน จากนั้นค่อยกลับไปที่โรงเรียนของตนอีกครั้ง
ตั้งแต่พ่อแม่จัวเสียชีวิต หลังจากที่ทั้งสองอาศัยอยู่ที่บ้านลุง จัวถิงก็ต้องไปโรงเรียนด้วยตัวคนเดียวมาตลอด
เวลานี้ในอำเภอฟูหยาง เด็กอายุประมาณสิบกว่าปีมักจะไปโรงเรียนเองเป็นเรื่องปกติ แต่จัวเซ่ามาจากยุคหลัง พบเห็นข่าวที่น่าเป็นห่วงมากมาย ไหนจะเคยเห็นจัวถิงถูกจัวหรงหมิงทำร้ายอีก ไม่มีทางที่เขาจะวางใจได้แน่นอน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เขาฉีกหน้าครอบครัวของจัวหรงหมิงแบบนี้
เมื่อจัวเซ่าเข้ามาในห้องเรียน คาบแรกกำลังจะเริ่ม และหยางเจี้ยนหวาก็กำลังพูดคุยกับเพื่อนร่วมห้องเกี่ยวกับเรื่องของเขา “เกี่ยวกับเรื่องก่อนหน้านี้ ตำรวจได้ทำการตรวจสอบแล้วว่าจัวเซ่าถูกใส่ความ...”
หยางเจี้ยนหวาพูดง่าย ๆ เพียงไม่กี่คำก็ไม่พูดอีก เพียงกำชับกับเพื่อนร่วมห้องอีกครั้ง ไม่ให้การเรียนของพวกเขาได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้
เพื่อนร่วมห้องต่างก็พากันพยักหน้า มองมาที่จัวเซ่าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ
จัวเซ่าไม่ได้รู้สึกว่าตนนั้นต้องการความเห็นอกเห็นใจ แต่เขาก็ไม่ได้เกลียดความรู้สึกเหล่านี้เช่นกัน
เป็นเรื่องดีเสียอีกที่คนเหล่านี้จะปฏิบัติต่อเขาด้วยความเห็นอกเห็นใจ ดีกว่าแสดงท่าทีเย็นชาต่อเขา
“จัวจัวจัว...จัวเซ่า นายอยากจะกินน่องไก่ไหม?” เมื่อหยางเจี้ยนหวาเดินจากไป เหลียงเฉินก็หยิบน่องไก่ออกมาให้จัวเซ่า
“ไม่เป็นไร” จัวเซ่าเอ่ยปฏิเสธน่องไก่ของเหลียงเฉิน มื้อกลางวันวันนี้เขาอิ่มมากแล้ว และเขาแน่ใจว่าจะสามารถหาอะไรทานในตอนเย็นได้อย่างแน่นอน ในมือเขายังมีเงินที่เอามาจากจัวเจียเป่าอยู่ แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากเหลียงเฉิน
เหลียงเฉินจึงไม่ได้เอาน่องไก่ออกมา เขาอยากจะเอ่ยปลอบใจจัวเซ่าสักประโยคสองประโยค แต่ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี สีหน้าของเขายุ่งเหยิงไปหมด
จัวเซ่ายิ้มออกมา “ก่อนอื่นฉันต้องขอบคุณนาย”
“ไม่...ไม่ต้องขอบคุณ!” เหลียงเฉินตอบกลับทันควัน
“หลังจากนี้นายอยากจะติดตามฉันไหม?” จัวเซ่าเอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาของเขาจ้องไปยังใบหน้าของเหลียงเฉิน จึงเห็นปฏิกิริยาของเหลียงเฉินทั้งหมด
“เอ๊ะ?” เหลียงเฉินแสดงท่าทีงุนงง
“ติดตามฉัน เป็นน้องชายฉัน นายจะยินดีไหม?” จัวเซ่าเอ่ยซ้ำอีกครั้ง
เหลียงเฉินไม่สามารถตอบได้
จัวเซ่าเป็นไอดอลของเขามาโดยตลอด ในสายตาของเขาจัวเซ่าเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ ทั้งหน้าตาดี เรียนก็เก่ง แต่จัวเซ่าในตอนนี้...ดูจะแตกต่างกับจัวเซ่าที่เขาเคยรู้จักโดยสิ้นเชิง
เขาคิดว่าตอนนี้จัวเซ่าคงจะเศร้ามาก แต่ความเป็นจริงสายตาของจัวเซ่ากลับไม่ฉายแววแห่งความโศกเศร้าเลยแม้แต่น้อย
มันราวกับว่า...เขาเคยประสบเรื่องราวเหล่านี้มาก่อน
แต่ถึงอย่างนั้นจัวเซ่าในตอนนี้ก็ยังคงดูดีมากอยู่ดี เหลียงเฉินไม่อาจห้ามใจของตนไม่ให้เต้นแรงได้ ‘ตึกตัก ตึกตัก’ ใบหน้าของเขาร้อนผ่าว “ฉันยินดี”
ถ้าได้เป็นน้องชายของจัวเซ่าก็จะสามารถติดตามเขาได้ใช่ไหม? แบบนี้จะไม่ยินดีได้อย่างไรกันล่ะ?
เมื่อจัวเซ่าเห็นว่าเจ้าอ้วนตัวน้อยหน้าแดงด้วยความตื่นเต้นก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก “นายเป็นน้องชายคนเล็กของฉัน จากนี้ต้องเชื่อฟังฉัน เข้าใจไหม?”
เหลียงเฉินพยักหน้า
“ดีมาก จากนี้ไปนายเป็นน้องชายของฉัน ถ้ามีใครมารังแกนายก็ให้นายมาบอกฉัน ฉันจะปกป้องนายเอง” จัวเซ่าเอ่ย
เหลียงเฉินพยักหน้าอีกครั้ง
เมื่อมองแวบแรก เด็กคนนี้ดูเหมือนพวกขาดความอบอุ่น เพียงพูดไม่กี่คำก็เชื่อมั่นในตัวเองขึ้นมาแล้ว
จัวเซ่ายื่นมือออกไปลูบหัวของเหลียงเฉิน ตั้งใจว่าในอนาคตจะสอนเด็กคนนี้ดี ๆ
ที่จริงแล้วเขาชอบเด็กมาก แต่ชีวิตของเขาถูกกำหนดไม่ให้มีลูก...เขามองเหลียงเฉินด้วยสายตารักใคร่ เขาต้องการเลี้ยงเด็กคนนี้ให้เป็นลูกของตัวเอง
หลังจากถอนหายใจครู่หนึ่ง จัวเซ่าก็พูดขึ้น “เอาละ ก่อนอื่นทำการบ้านของนายแล้วเอามาให้ฉันลอกซะ”
เหลียงเฉินพยักหน้าและรีบปั่นการบ้านให้ลูกพี่ใหญ่หมาด ๆ ของตนลอกในทันที
หลังเลิกเรียนในวันนี้ เมื่อเห็นว่าจัวเซ่าเก็บกระเป๋านักเรียนและกำลังจะจากไป เหลียงเฉินก็รีบเก็บกระเป๋านักเรียนของตนและเดินตามไปทันที
“นายจะไปกับฉันเหรอ?” จัวเซ่าเหลือบมองไปยังเหลียงเฉิน
เหลียงเฉินพยักหน้าและเอ่ยถามด้วยความระมัดระวัง “ได้ไหม?”
“แน่นอน ได้สิ” จัวเซ่าเอ่ยตอบ ถ้าเจ้าอ้วนตัวน้อยเดินกลับคนเดียวอาจจะถูกรังแกเอาได้ ไปกับเขาย่อมดีกว่า “ครอบครัวนายอาศัยอยู่ที่ไหนล่ะ?”
เหลียงเฉินเอ่ยตอบชื่อชุมชนที่ตนอาศัยอยู่ ชุมชนนั้นเป็นชุมชนปิด ข้าง ๆ เป็นโรงเรียนประถม และยังอยู่ใกล้ ๆ กับโรงเรียนมัธยมต้นเป่ยเหมิน สภาพแวดล้อมดีกว่าชุมชนที่จัวเจียเป่าอาศัยอยู่เสียอีก
“ฉันต้องไปรับน้องสาวก่อน จากนั้นจะไปส่งนายที่บ้าน” จัวเซ่าเอ่ย
เหลียงเฉินพยักหน้าอย่างมีความสุขโดยไม่มีความเห็นอะไร
หากสามารถอยู่กับจัวเซ่าได้นานขึ้นอีกนิด เขาแทบจะอดใจไม่ไหวอยู่แล้ว
เมื่อจัวเซ่าไปรับจัวถิง เธอก็รออยู่นานจนทำการบ้านเสร็จหมดแล้ว
จัวเซ่าช่วยถือกระเป๋าให้เธอ จากนั้นก็เดินไปส่งเหลียงเฉินที่หน้าทางเข้าชุมชนของเขา ก่อนจะเดินกลับไปยังบ้านจัว
ในตอนนี้จัวเจียเป่าและจัวหรงหมิงต่างก็อยู่ที่บ้านจัว เมื่อเห็นพวกเขาทั้งสอง จัวเจียเป่าก็กระโดดขึ้นมา “จัวเซ่า แกทำอะไรลงไป? แม่ฉันล่ะ?”
“ป้าสะใภ้ถูกตำรวจจับไปแล้ว นายไม่รู้เหรอ?” จัวเซ่าเอ่ยถามกลับ
“แกยังมีหน้ามาพูดอีก! ไอ้เด็กเวร เป็นเพราะแก!” จัวเจียเป่ามองไปยังจัวเซ่าด้วยความเกรี้ยวโกรธ เอื้อมมือออกไปหมายที่จะทุบตีจัวเซ่า
จัวเซ่าหยิบกรรไกรออกมา
ที่โรงเรียนมักจะต้องทำงานฝีมืออยู่บ่อยครั้ง เขาเลยมักจะพกกรรไกรรติดตัวเอาไว้ กรรไกรอันนี้เล็กมาก ในมุมมองของเขามันไม่ได้ดูอันตรายเลยแม้แต่น้อย แต่กลับหยุดจัวเจียเป่าไม่ให้เดินเข้ามาได้
มือของจัวหรงหมิงเองก็สั่นเทาเช่นกัน ใบหน้าของเขาที่แดงเพราะความโมโหและแดงจากแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือด
จัวเซ่ายิ้มเย้ยหยัน ลากมือจัวถิงเข้าไปในห้องครัว หยิบมีดทำครัวฟันลงไปบนเขียงด้วยความรุนแรง “จัวเจียเป่า นายรู้ไหมว่าผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะไม่จำเป็นต้องชดใช้ต่อให้จะฆ่าคนก็ตามที”
ทันทีที่พูดจบ จัวเซ่าก็ได้ยินเสียงจัวเจียเป่าและจัวหรงหมิงวิ่งหนีออกไป หลังจากนั้นไม่นานจัวเจียเป่าก็ไปพาคนมาอีกสองสามคน “จัวเซ่าเขาจะใช้มีดทำร้ายพวกเรา! จะให้เขาอยู่ที่บ้านของฉันต่อไปไม่ได้แล้ว!”
เป็นเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับชวีกุ้ยเซียง เมื่อได้ยินจัวเจียเป่าพูดแบบนี้ก็รีบตามเขามาทันที และคิดว่าจัวเซ่าจะต้องสร้างเรื่องอะไรแน่ ๆ แต่สิ่งที่พบก็คือ...
จัวเซ่ากำลังทำอาหารอยู่ในครัว
-------------------------------------
(1) หน้าบาง หมายถึง พวกรักศักดิ์ศรี