บทที่ 103 พลังแห่งมนุษยธรรม, เทพยมทูต และทหารวิญญาณ!
###
พลังชีวิตจากคัมภีร์ไท่อินในครั้งนี้ เป็นเพียงการก้าวจากขั้นที่สองไปยังขั้นที่สาม มิได้เป็นการก้าวกระโดดใหญ่เช่นการก้าวจากขั้นที่สามสู่ขั้นปรมาจารย์ขั้นที่สี่ ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงของมู่หลินจึงควรหยุดลงเพียงเท่านี้
แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
เหตุการณ์นี้มีต้นกำเนิดจากพลังเวทของมู่หลิน
เป็นที่ทราบกันดีว่าพลังเวทของมู่หลินนั้นไม่ได้มีคุณสมบัติตามปกติของพลังชีวิตแห่งไท่อิน—กระดาษซุ่ยมู่มีพลังพิเศษอยู่ และร่างกระดาษทดแทนของมู่หลินก็สามารถฝึกฝนได้ ภายใต้การแนะนำของเมิ่งรุ่ย มู่หลินได้วางร่างกระดาษทดแทนลงในกระดาษซุ่ยมู่
ด้วยสถานการณ์พิเศษนี้ พลังชีวิตของมู่หลินจึงมีพลังแห่งซุ่ยมู่เพิ่มขึ้นมา
พลังนี้มีความลึกลับและยากที่จะเข้าใจ ซึ่งตามปกติแล้วมู่หลินในระดับนี้ไม่สามารถศึกษาได้
โดยทั่วไป มู่หลินก็คงไม่สามารถศึกษาอะไรออกมาได้เช่นกัน
แต่ในขณะนี้ เขากำลังเข้าสู่สภาวะบรรลุปัญญา ทำให้จิตใจของเขามีความคิดแหลมคมขึ้นร้อยเท่า แรงบันดาลใจผุดขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อน ขณะนี้เขามีจิตวิญญาณและปัญญาทัดเทียมนักพรตเต๋า ทำให้มู่หลินสามารถแอบเห็นพลังแห่งซุ่ยมู่นี้ได้บ้างเล็กน้อย
แม้ว่าเขาจะมีเพียงสิทธิ์ในการเห็น แต่การบรรลุเข้าใจอย่างลึกซึ้งนั้นยังคงยากเย็น
โชคดีที่มู่หลินยังมีรากฐานที่แข็งแกร่ง
คัมภีร์ลับช่างพับกระดาษที่ฝึกพลังชีวิตแห่งไท่อินมีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับภาพจิตแห่งเมืองฝังสวรรค์
ทั้งสองมีรากฐานเดียวกันและเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด
มู่หลินได้ฝึกภาพจิตแห่งเมืองฝังสวรรค์จนถึงขั้นที่สามอย่างเชี่ยวชาญแล้ว
ในขั้นที่สามนี้ เขายังพัฒนาความสามารถได้ครึ่งทางแล้วด้วย
พร้อมกับประสบการณ์ในชาติก่อนและความรู้บางประการที่เขาค้นพบ โลกจินตภาพในใจของมู่หลินจึงไม่เหมือนกับช่างพับกระดาษทั่วไป
หากมีใครสามารถเข้ามาในโลกจินตภาพของมู่หลิน พวกเขาจะเห็นว่าทุกสิ่งในโลกของเขาเป็นสีเทา และให้ความรู้สึกสยดสยองน่าขนลุก
แต่ภายใต้บรรยากาศอันน่าสะพรึงนี้ โลกจินตภาพของมู่หลินกลับมีความรู้สึก…สง่างาม
การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นตามการฝึกฝน โลกจินตภาพของมู่หลินได้เปลี่ยนแปลงไปมากมาย
อันดับแรก ด้วยการพัฒนาของภาพจิตแห่งเมืองฝังสวรรค์ไปมากกว่าครึ่ง ทำให้โลกจินตภาพของมู่หลินขยายตัวขึ้น
จากเดิมที่เป็นเพียงบ้านหลังหนึ่ง บัดนี้กลายเป็นถนนสายหนึ่งแล้ว
และแกนกลางของโลกจินตภาพก็เปลี่ยนไปด้วย
จากจินตนาการของเขา บ้านหลังใหญ่ธรรมดานั้นได้กลายเป็นสถานที่อันน่าสะพรึงกลัวและมีบรรยากาศเข้มขลัง…ศาลเจ้าพญายมในเมืองแห่งความตาย!
มู่หลินมีแนวคิดที่จะเปลี่ยนภาพจิตแห่งเมืองฝังสวรรค์ให้กลายเป็นเมืองเฟิงตู
แม้ว่าระดับพลังของเขายังไม่เพียงพอ ทำให้เขาไม่สามารถทำการเปลี่ยนแปลงได้เต็มที่ แต่เขาก็สามารถเริ่มเตรียมการได้บ้าง
การสร้างศาลเจ้าพญายมในโลกจินตภาพถือเป็นก้าวแรกที่เขาได้เดินไป
เป็นที่รู้กันว่าพญายมเป็นทั้งเทพและผี สำหรับมู่หลินแล้ว พญายมไม่ได้ขึ้นอยู่กับสวรรค์ แต่กลับเป็นผู้แทนจากแดนนรกที่ถูกส่งมายังโลกมนุษย์
ส่วนใหญ่ผู้ที่ทำหน้าที่พญายมก็มักจะเป็นมนุษย์ที่เสียชีวิตไปแล้ว และเมื่อคนตาย ย่อมต้องไปยังแดนนรกทั้งหมด
หน้าที่ของพญายมนั้นสะท้อนถึงความโน้มเอียงนี้—พญายมมีอำนาจจัดการทะเบียนบ้านของทั้งผู้ตายและผู้มีชีวิต คุ้มครองผืนดินของเมือง บันทึกความดีและความชั่วของชาวเมือง นอกจากนี้ยังมีทหารวิญญาณที่สามารถนำวิญญาณผู้ตายและจับกุมวิญญาณร้ายและอสูรร้ายได้
บทบาทเหล่านี้นอกจากการคุ้มครองผืนดินซึ่งเป็นหน้าที่ของเทพธรณี(เจ้าที่ ถ้าใครเคยดูไซอิ๋วน่าจะนึกออก) ที่เหลือทั้งหมดเป็นบทบาทของแดนนรก
การเตรียมเปลี่ยนเมืองฝังสวรรค์ให้เป็นเมืองเฟิงตูของมู่หลินนั้น เริ่มจากการสร้างพญายมขึ้นในโลกจินตภาพของเขา
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่มู่หลินสร้างขึ้นนี้ยังเป็นเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น
พญายมที่แท้จริงนั้นมีอำนาจพิเศษมากมาย เช่น ดวงตาแห่งผู้พิพากษาที่สามารถมองเห็นจิตใจมนุษย์ได้ บัญชีบันทึกความดีความชั่วของชาวเมือง รวมถึงสัมผัสพิเศษที่ช่วยในการรักษาสมดุลของผืนดินที่คุ้มครอง
สิ่งเหล่านี้ มู่หลินยังทำไม่ได้ และเพราะเหตุนี้ ศาลเจ้าพญายมในโลกของเขาจึงยังไม่มีพญายมที่แท้จริง
นอกจากนั้น พญายมยังมีเหล่าทหารเทพต่าง ๆ อย่างเทพเวรยามกลางวันและกลางคืน ผู้พิพากษาทั้งฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋น และเหล่าทหารยมทูตและทหารวิญญาณ
แม้ว่ามู่หลินจะส่งนักรบผ้าคลุมเหลืองมาปฏิบัติหน้าที่ในศาลเจ้าพญายม และแต่งตั้งยักษาเป็นแม่ทัพใหญ่แล้ว แต่สิ่งเหล่านี้ก็ยังเป็นเพียงแค่รูปลักษณ์
——ทหารยมทูตที่แท้จริงนั้นมีโซ่ตรวนวิญญาณที่สามารถควบคุมวิญญาณร้ายได้ แต่นักรบผ้าคลุมเหลืองของมู่หลินยังไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้
มู่หลินจึงได้แต่กล่าวว่าศาลเจ้าพญายมของเขานั้นเป็นเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น
เขาเข้าใจถึงข้อนี้ แต่ก็ได้แต่ยอมรับตามนั้น เขามีความตั้งใจว่าในภายหน้าจะศึกษาความรู้และคาถาเพื่อเสริมสร้างความสามารถของศาลเจ้าพญายมให้สมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะได้ลงมือทำ สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
เมื่อคัมภีร์ไท่อินก้าวขึ้นขั้น พลังแห่งซุ่ยมู่ในพลังชีวิตของมู่หลินกลับเชื่อมต่อกับพญายมที่เขาสร้างขึ้น
การเชื่อมต่อระหว่างทั้งสอง ทำให้พลังแห่งซุ่ยมู่เผยให้เห็นธรรมชาติบางอย่างของมัน
และด้วยสติปัญญาอันล้ำเลิศในขณะนี้ มู่หลินจับโอกาสนี้ไว้ได้ เขาเข้าใจถึงธรรมชาติบางประการของพลังแห่งซุ่ยมู่และควบคุมมันได้เล็กน้อย
“...ซากอารยธรรม หลุมฝังศพ กาลเวลานับร้อยปี นับพันปี…”
“...กระดาษซุ่ยมู่ หรือพลังแห่งซุ่ยมู่ ไม่ใช่พลังแห่งความตาย แต่เป็น...ประวัติศาสตร์…”
“...หลุมฝังศพถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ เพื่อเป็นตัวแทนชีวิตของคนผู้นั้น…หลุมฝังศพหนึ่งคือการตายของคนหนึ่งคน
แต่ก็เป็นตัวแทนของชีวิตของคนผู้นั้นด้วย…”
“...ไม่เพียงแต่คนธรรมดา แม้แต่ราชวงศ์เองก็ต้องล่มสลาย หลุมฝังศพจึงเป็นอนุสรณ์สถาน…”
“...ซากอารยธรรมและหลุมฝังศพต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของพลังแห่งซุ่ยมู่ ซึ่งแท้จริงแล้วคือประวัติศาสตร์ที่มนุษย์ได้ผ่านพ้นมา ประวัติศาสตร์แห่งอารยธรรม…”
“...วิถีแห่งสวรรค์ วิถีแห่งผืนดิน และวิถีแห่งมนุษย์…ประวัติศาสตร์ของอารยธรรมมนุษย์นั้นก็คือพลังแห่งมนุษยธรรม…”
จากซากอารยธรรมและหลุมฝังศพที่กำเนิดพลังแห่งซุ่ยมู่ มู่หลินใช้ความคิดของตนเชื่อมโยงไปถึงอารยธรรมมนุษย์ ประวัติศาสตร์ และพลังแห่งมนุษยธรรม
นอกจากนั้น เขายังเข้าใจถึงวงจรแห่งชีวิต ที่ความตายเป็นส่วนหนึ่งของมนุษยธรรมที่ขาดไม่ได้
“เมื่อมีความตาย ย่อมมีการเกิดใหม่ การเปลี่ยนแปลงที่ทำให้สังคมมนุษย์เติบโตและพัฒนา สังคมที่ไม่มีการเกิดและตายจะหยุดนิ่งและเสื่อมถอย…”
เมื่อเข้าใจว่าความตายเป็นส่วนหนึ่งของมนุษยธรรม มู่หลินก็เข้าใจว่าทำไมเมิ่งรุ่ยเคยกล่าวว่าช่างพับกระดาษนั้นไม่บริสุทธิ์แต่ไม่มีวันสูญสิ้น
วงจรแห่งชีวิตในมนุษยธรรมเชื่อมโยงกับความตาย การที่ช่างพับกระดาษและศิษย์แปดประตูวิญญาณเกี่ยวข้องกับความตาย ทำให้พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของมนุษยธรรมซึ่งจะส่งต่อกันไปตามกาลเวลา
“ไม่ใช่สิ ช่างพับกระดาษก็ไม่ใช่จะไม่มีวันสูญสิ้น ทุกสิ่งล้วนแปรเปลี่ยน มีเพียงความเปลี่ยนแปลงเท่านั้นที่ไม่เปลี่ยนแปลง”
“อารยธรรมมนุษย์จะเติบโตและพัฒนาในวงจรแห่งการเกิดและตาย พลังแห่งมนุษยธรรมก็เช่นกัน เมื่อพลังแห่งความตายเปลี่ยนแปลงไปตามการพัฒนา หากศิษย์แปดประตูวิญญาณไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้ พวกเขาก็จะค่อย ๆ เลือนหายไป…แต่เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องไกลตัวข้า…”
การเข้าใจว่าพลังแห่งซุ่ยมู่คือด้านหนึ่งของประวัติศาสตร์ของมนุษย์และมนุษยธรรมนั้นดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์ใด ๆ แก่มู่หลิน
แต่ความจริงแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ความคิดที่เขาสั่งสมมาจากชาติที่แล้ว รวมกับความเข้าใจเรื่องพลังแห่งมนุษยธรรม ทำให้มู่หลินรู้ว่าพลังแห่งมนุษยธรรมคือการรวมตัวของกิจกรรมทั้งหมดของมนุษยชาติ ทั้งการเกิดตาย การสร้างสรรค์ การปฏิรูป การเปลี่ยนแปลง…ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นพลังแห่งมนุษยธรรม และทั้งหมดนี้ประกอบกันเป็นพลังแห่งมนุษยธรรม
และพลังแห่งมนุษยธรรมนี้เองที่ปกปักรักษามนุษยชาติไว้
เนื่องจากการอยู่รอดและการสืบพันธุ์เป็นจุดหมายสูงสุดของมนุษย์ กิจกรรมใดที่เอื้อต่อการอยู่รอดและการสืบพันธุ์จะได้รับการสนับสนุนจากพลังแห่งมนุษยธรรม
อย่างไรก็ตาม พลังแห่งมนุษยธรรมไม่ได้เป็นดั่งเทพที่รอบรู้ มันจะอวยพรเพียงบางคนผู้โชคดี ผู้ที่จะกลายเป็นวีรบุรุษและนำพามนุษยชาติไปข้างหน้า
บุคคลเหล่านี้คือลูกหลานแห่งโชคชะตา
นอกจากผู้โชคดีโดยธรรมชาติ ยังมีอีกสองวิธีในการได้รับพรจากพลังแห่งมนุษยธรรม หนึ่งคือการช่วยเหลือพื้นที่หนึ่งให้ปลอดภัย กลายเป็นวีรบุรุษ หรือก่อตั้งประเทศเพื่อคุ้มครองผืนดิน พวกเขาจะได้รับพรจากพลังแห่งมนุษยธรรม
ส่วนมู่หลินในขณะนี้อยู่ในกรณีที่สาม เขาอาศัยปัญญาล้ำเลิศและสื่อกลางบางอย่าง (พลังแห่งซุ่ยมู่) เชื่อมโยงกับพลังแห่งมนุษยธรรม
กล่าวง่าย ๆ คือ มู่หลินได้ “ลัดขั้น”
อย่างไรก็ตาม การเชื่อมโยงไม่ได้หมายความว่ามู่หลินจะได้รับพรจากพลังแห่งมนุษยธรรม เขาต้องมีคุณงามความดีที่เพียงพอเพื่อดึงดูดความสนใจของมัน
บังเอิญที่มู่หลินมีสิ่งที่จะทำให้มนุษยชาติเจริญรุ่งเรืองและอยู่รอดได้ดีขึ้น
แผนการสร้างพญายมและเมืองเฟิงตู!
เป็นที่รู้กันว่าเหล่าปีศาจร้ายเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงของมนุษยชาติ
ด้วยเหตุนี้ สิ่งใดก็ตามที่สามารถทำลายเหล่าปีศาจร้ายได้จะได้รับพรจากพลังแห่งมนุษยธรรม
ศาลเจ้าพญายมและแดนนรกคือสิ่งที่จะจัดการปีศาจร้าย วิญญาณชั่วร้าย และอสูรร้ายได้อย่างเชี่ยวชาญ
การจับวิญญาณและรักษาสมดุลแห่งสองโลกคือหน้าที่ของแดนนรก
แม้ว่ามู่หลินจะมีเพียงแผนการ แต่เขายังขาดความรู้และความสามารถที่เพียงพอเพื่อทำให้แผนนั้นเป็นจริง
ทว่า มู่หลินอาจขาดความสามารถ แต่พลังแห่งมนุษยธรรมไม่ขาด
และไม่ว่าจะมองอย่างไร การปรากฏของพญายมและการสร้างแดนนรกล้วนเป็นสิ่งที่ดีสำหรับมนุษยธรรม
มันจะรักษาสมดุลแห่งสองโลกและทำให้มนุษยชาติที่ถูกภัยคุกคามจากปีศาจร้ายสามารถดำรงอยู่และเจริญรุ่งเรืองได้
ด้วยเหตุนี้ แผนการของมู่หลินจึงถูกพลังแห่งมนุษยธรรมเหลียวมอง เขาจึงได้รับพรจากมนุษยธรรมเช่นเดียวกับลูกหลานแห่งโชคชะตา
พรพิเศษนี้ทำให้ปัญญาที่เพิ่มขึ้นกว่าร้อยเท่าของเขาเพิ่มพูนขึ้นอีก ทำให้เขาสามารถเข้าใจสิ่งใหม่ ๆ ได้อีกมากมาย
“…พลังแห่งมนุษยธรรม พรหมลิขิต ราชวงศ์ ทหารยมทูต…”
กระแสข้อมูลไหลบ่าดั่งคลื่นเข้าสู่จิตใจของมู่หลิน และด้วยพรจากพลังแห่งมนุษยธรรม ในเสี้ยววินาทีนั้น มู่หลินก็เข้าใจในศาสตร์อันล้ำลึกนับไม่ถ้วน
ในเวลาเดียวกัน โลกจินตภาพในจิตสำนึกของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่
ศาลเจ้าพญายมที่ยิ่งใหญ่ทรงเกียรติในแดนนรกของเขากลายเป็นที่เคารพยิ่งขึ้น เหล่านักรบผ้าคลุมเหลืองที่เขาส่งมานั้นจากเดิมที่สวมใส่ผ้าสีเหลืองได้เปลี่ยนเป็นชุดขุนนางสีดำ
พวกเขามีโซ่ตรวนอยู่ในมือ และบนอกมีคำว่า “เทพ” ตัวใหญ่ บนหลังมีคำว่า “ผี” อันน่าสะพรึง