ตอนที่ 36 : พ่อครับสอนผมหน่อย
“นายว่าเหล่าเจียงมีภูมิหลังแบบไหน เขาถึงกับทำให้สาวสวยระดับดาวมหา’ลัยสองคนสู้กันแทบตายไปข้างเพื่อแย่งเขา ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ”
“ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เขาก็แค่หล่อกว่า ผิวขาวกว่า ใช้เงินฟุ่มเฟือยกว่า พูดจาน่าฟังกว่า นอกจากนี้แล้วจะมีอะไรอีก? เขาจะมาเทียบกับผู้ชายดีๆ อย่างพวกเราได้ไง?”
คณะการเงิน หอพักชายห้อง 302
ตั้งแต่ที่กลับมาจากร้านอาหารเหรินจื้อเฉียงและโจวเชาก็พากันวิเคราะห์เรื่องนี้อย่างจริงจังเหมือนกำลังศึกษาตำราวิชายุทธเลยทีเดียว
พวกเขาจินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่าสาวสวยระดับดาวมหา’ลัยที่เยือกเย็นราวกับแสงจันทร์คนนั้นจะมาโศกเศร้าอย่างหนักต่อหน้าเจียงฉินได้ยังไง แต่เจียงฉินกลับทำเป็นไม่สนใจเธอและยังแสดงสีหน้าเบื่อหน่ายอย่างเห็นได้ชัด ความเท่ของเขาทำให้ผู้คนรู้สึกลิ้นชากันเลยทีเดียว
ผู้หญิงแบบนี้ไม่ใช่ว่าจับไว้ในมือก็กลัวจะหล่น หรือใส่ไว้ในปากก็กลัวละลายหรอกเหรอ?
แต่เหล่าเจียงก็แค่ยกก้นแล้วเดินจากไปโดยไม่ได้แสดงความเมตตาใดๆ เลย กลับเป็นสาวๆ ที่วิ่งตามเขาออกไปพร้อมน้ำตาแล้วบอกว่าอย่าไปนะ
ถ้าได้รู้เคล็ดวิชานี้แล้วยังจะเดินกร่างในมหาวิทยาลัยไม่ได้อีกเหรอ?
เฉากวงอวี่รู้สึกว่าพวกเขาสองคนช่างโง่จริงๆ วิชาแก่นแท้ของเขาพวกนายก็ไม่เคยเรียนด้วยซ้ำ แต่พอเห็นเขาใช้ไม่กี่กระบวนท่าก็คิดอยากจะเลียนแบบ ต่อให้ฝึกอีกแปดชาติพวกนายก็ไม่มีวันสำเร็จหรอก ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าโดนทุบตีบ่อยๆ แล้วจะกลายเป็นยอดฝีมือในยุทธภพได้
“เหล่าเฉา”
“มีอะไร?”
โจวเชามองเขาด้วยสายตาที่ลุกเป็นไฟ: “นายเป็นคนรวยรุ่นสองนี่ เคยเห็นโลกมามาก นายบอกได้ไหมว่าทำไม?”
เฉากวงอวี่เหมือนคนเป็นซึมเศร้าอยู่ตลอดทั้งบ่าย ตอนนี้ก็เหมือนว่าตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง แทบจะไม่สามารถพูดอะไรได้: “พวกนายก็หาสาเหตุเจอหมดแล้วนี่ ยังจะมาถามฉันเพื่ออะไร?”
“ฉันหาสาเหตุเจอตั้งแต่เมื่อไหร่?” โจวเชาหันไปมองเหรินจื้อเฉียงด้วยความสับสน
เหรินจื้อเฉียงเองก็สับสนเช่นกัน: “สาเหตุคืออะไร? ทำไมฉันไม่เห็นรู้เลย?”
“เขาหล่อ ผิวขาว ใช้เงินอย่างไร้ปราณี พูดเก่ง สี่อย่างนี้พวกนายมีเหมือนเขาไหม?”
โจวเชาเงียบไปครู่หนึ่ง: “แต่ฉันคิดว่าตัวเองก็มีสี่อย่างนี้เหมือนกันนะ”
เฉากวงอวี่ถึงกับปากเบี้ยว: “ไสหัวไปเลย”
“ไม่สิ นายดูแปลกๆ นะเหล่าเฉา”
“ฉันแปลกตรงไหน?”
เหรินจื้อเฉียงมองเขาอย่างละเอียด รู้สึกมั่นใจในการตัดสินของตัวเอง: “เราแพ้ก็ช่างมันเถอะ แต่ปกติแล้วนายไม่ยอมรับความเหนือกว่าของเหล่าเจียงมาตลอด ทำไมวันนี้ถึงเงียบกริบเหมือนหมาหงอยเลยล่ะ ไม่พูดอะไรที่มันดูเจ๋งๆ เลยสักคำ แถมยังไปยกย่องปณิธานเขาแล้วทำลายศักดิ์ศรี[1]ของตนอีก?”
หลังจากได้ยินสิ่งนี้เฉากวงอวี่ก็มีสีหน้ารำคาญ พึมพำในปากว่า ‘ไปไกลๆ เลย’ แล้วหันหลังขึ้นเตียงพร้อมดึงผ้าห่มมาคลุมโปง
ในความเป็นจริง มื้ออาหารวันนี้ไม่ได้ทำร้ายเหรินจื้อเฉียงและโจวเชามากนัก เต็มที่ก็แค่ทำให้พวกเขารู้สึกถึงความไม่เท่าเทียมของชีวิตก่อนเวลาอันควร แต่ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจะได้รู้สึกถึงความไม่เท่าเทียมนี้อยู่ดี ยังไงก็ไม่ถึงกับตาย ไม่เห็นจะต้องคิดมากเลย
แต่เฉากวงอวี่นั้นแตกต่างออกไป สิ่งที่เขารู้สึกได้นั้นไม่ใช่ความเท่าเทียม แต่เป็นบาดแผลร้ายแรง
แม้ว่าเจียงฉินจะได้ครอบครองซ่งฉิงฉิงหรือเจี่ยงเถียน หรือแม้กระทั่งทั้งสองคน แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ คิดว่าเขาที่เป็นคนรวยรุ่นสองจะไม่สามารถแข่งกันกับเขาได้เลยหรือ?
แต่หงหยานนั้นแตกต่างออกไป เพราะหงหยานเคยเป็นความฝันของเด็กผู้ชายทุกคนในโรงเรียนมัธยมหางเฉิงหมายเลขหนึ่ง
ซึ่งก็ไม่มีข้อยกเว้นสำหรับเฉากวงอวี่
หงหยานคือรักที่ลึกซึ้งที่สุดของเขา เป็นดอกมะลิสีขาวบริสุทธิ์เพียงดอกเดียวในหัวใจ เป็นภาพในอุดมคติสมัยที่เขายังเยาว์วัย แม้จิตใจยังเติบโตไม่เต็มที่แต่ความรักในหัวใจก็เบ่งบานเรียบร้อยแล้ว
ในช่วงสามปีของโรงเรียนมัธยมปลาย เฉากวงอวี่ไม่เคยมีแฟนเลย จริงๆ แล้วเขาเป็นลูกไก่ตัวน้อยที่กล้าทักทายหงหยานแค่ใน QQ เท่านั้น พอรู้ว่าหงหยานชอบเจียงฉิน เขาก็หัวใจแตกสลายเหมือนกับนักรบแห่งความรักที่ลงไปนอนกองกับพื้นด้วยความปวดใจ
ตั้งแต่เปิดเทอมมาเจียงฉินได้กดดันเขาอย่างหนักในทุกเรื่อง แต่เฉากวงอวี่ไม่เคยยอมรับอะไรทั้งนั้น ทว่าคราวนี้เขาเหมือนถูกทุบตีจนมึนงงไปเลย
“เหล่าเฉา นายเป็นไรไป? ความมั่นใจของนายโดนเจ้าหัวขโมยเจียงฉินทำลายไปแล้วเหรอ?”
“อย่าเศร้าไปเลยเหล่าเฉา ถ้าเจียงฉินกลับมาเราจะจัดการเขาเอง!”
ทันทีที่เขาพูดจบ ประตูห้อง 302 ก็ถูกผลักเปิดออก เจียงฉินก้าวเข้ามาในห้อง ทันทีที่เงยหน้าขึ้นเขาก็เห็นเหรินจื้อเฉียงและโจวเชาเดินมาหาด้วยใบหน้าจริงจัง
จากนั้นหนึ่งในพวกเขาก็ดึงเก้าอี้ออกมา อีกคนยื่นรองเท้าแตะให้ เรียกได้ว่าแทบจะช่วยเจียงฉินถอดถุงเท้าแล้วด้วยซ้ำ
“พ่อครับ เราจะเริ่มเรียนกันตอนไหนดี?”
เฉากวงอวี่เลิกผ้าห่มขึ้นทันที มองไปที่เพื่อนร่วมห้องทั้งสองคนอย่างโกรธแค้น: “เหล่าเหรินเหล่าโจว ความทะเยอทะยานของพวกนายโดนสุนัขกินไปหมดแล้วหรือไง!”
โจวเชาเงยหน้าขึ้นมองเฉากวงอวี่ที่กำลังนั่งอยู่บนเตียง: “ความทะเยอทะยานจะไปสู้ภรรยาที่ดีได้ยังไง?”
“เหล่าเหริน นายคู่ควรกับชื่อของตัวเองไหม?” เฉากวงอวี่เปลี่ยนเป้าหมายโจมตี
ใครจะไปรู้ว่าเหรินจื้อเฉียงกลับยืดอกพร้อมเชิดหน้าขึ้น: “ตอนที่พ่อตั้งชื่อให้ ฉันก็ไม่เห็นด้วยตั้งแต่แรก แต่ให้ตายสิ ฉันไม่มีสิทธิ์ออกความคิดเห็นเลย”
ในความเป็นจริง เจียงฉินรู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่โดยไม่ต้องถามด้วยซ้ำ ก็แค่ถูกปลุกให้ตื่น พอตาสว่างก็ไม่สามารถยอมรับความผิดหวังนี้ได้ เอาแต่ตั้งคำถามใส่คนอื่น จากนั้นก็เริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง
“เอาล่ะ เอาเก้าอี้มานั่งตรงนี้ วันนี้ฉันกำลังอารมณ์ดีเดี๋ยวจะเล่าเรื่องดีๆ ให้พวกนายฟัง”
โจวเชาและเหรินจื้อเฉียงรีบยกเก้าอี้มานั่งทันที ขณะที่เฉากวงอวี่วางท่าอยู่สักพัก สุดท้ายก็ทนไม่ไหวโดดลงมาจากเตียงแล้วยืนพิงตู้เสื้อผ้า แต่เขาไม่ได้ยกเก้าอี้มานั่ง เพราะการไม่ยกเก้าอี้คือศักดิ์ศรีสุดท้ายที่เขาเหลือไว้ให้ตัวเอง
จากนั้นเจียงฉินก็นั่งลงและเล่าถึงเรื่องราวที่เขาแอบรักฉู่ซือฉีเป็นเวลาสามปีตอนเรียนมัธยมปลาย แต่กลับถูกปฏิเสธทันทีหลังจากที่สารภาพรักกับเธอ
พูดตามตรง เรื่องนี้ไม่มีอะไรที่น่าละอายใจ
จุดที่แข็งแกร่งที่สุดของผู้ชายอายุสี่สิบปีคืออะไร? นั่นก็คือการเข้าใจและยอมรับตัวเอง
ยอมรับตัวเองในวัยหนุ่มสาว บอกตัวเองว่าถ้ารักคนผิดก็ไม่เป็นไร ยอมรับตัวเองในวัยกลางคน บอกตัวเองว่าถ้าหาเงินไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แม้กระทั่งยอมรับตัวเองในวัยแก่ชรา บอกตัวเองว่าถึงจะทิ้งความเสียดายไว้มากมายก็ไม่เป็นไร
สิ่งที่ไม่เป็นดั่งหวังมักจะมีมากถึงแปดเก้าเรื่อง แต่หากจะบ่นมันกับคนอื่นก็แทบจะมีแค่สองหรือสามเรื่องที่สามารถพูดได้ ถ้าคุณไม่สามารถเข้าใจตัวเองและยอมรับความธรรมดากับความล้มเหลวของตัวเองได้ คุณก็จะไม่สามารถอยู่รอดได้ในโลกที่สับสนวุ่นวายนี้
ชั่วขณะหนึ่ง ดวงตาของเฉากวงอวี่เปล่งประกายมีชีวิตชีวา
“เหล่าเจียง นายก็เคยแอบรักใครสักคนเหมือนกันเหรอ?”
เจียงฉินเม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า “ทำไมนายถึงดูสะใจขนาดนี้?”
เฉากวงอวี่รู้สึกว่าหลังของตนยืดตรงขึ้นทันที รอยยิ้มก็ดูเหมือนจะเจ้าเล่ห์เล็กน้อย: “ทำไมนายไม่บอกตั้งแต่แรกล่ะว่าแอบชอบคนอื่นมาตั้งสามปี แบบนี้พวกเราก็เหมือนพี่น้องที่ลงเรือลำเดียวกันเลยน่ะสิ!”
เจียงฉินที่ได้ยินก็เหมือนจะรู้สึกอะไรบางอย่าง หรือว่ามุมอับนี้ยังมีแตงตกอยู่ด้วย? (มีเรื่องราวบางอย่างแอบซ่อนอยู่)
“เหล่าเฉา นายพูดแปลกๆ นะ หรือว่านายจะมีเรื่องราวบางอย่างเหมือนกัน?”
“เอาล่ะ งั้นฉันจะเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟังด้วย”
เพราะมีเจียงฉินเป็นคนเปิด ครั้งนี้เฉากวงอวี่จึงไม่ได้ปิดบังอะไร พูดเรื่องที่เขาแอบชอบหงหยานออกมาหมดเปลือก แม้กระทั่งยอมรับว่ายังไม่เคยมีแฟนมาก่อน ทันทีที่พูดจบก็รู้สึกภูมิใจนิดหน่อย รู้สึกว่าตัวเองมีบางอย่างที่สามารถเทียบเคียงกับเจียงฉินได้แล้ว
เขาไม่รู้ว่ามันน่าภูมิใจตรงไหนที่ได้ทัดเทียมกับเจียงฉิน แต่เขาก็รู้สึกภูมิใจมากอยู่ดี
เมื่อเขาพูดจบ โจวเชาและเหรินจื้อเฉียงก็มองมาที่เขา จู่ๆ สายตาของพวกเขาก็เริ่มแปลกขึ้นเรื่อยๆ
“มีอะไร?” เฉากวงอวี่สับสนเล็กน้อย
“แค่นี้เหรอ นายยังกล้าเรียกตัวเองว่าพี่น้องกับเหล่าเจียงด้วย? ฉันรู้สึกอายแทนนายจริงๆ!”
“ทำไมฉันต้องอายด้วย?” เฉากวงอวี่ปฏิเสธทันที
เหรินจื้อเฉียงเบ้ปาก: “แม้ว่าพวกนายจะแอบชอบคนอื่นมาสามปีเหมือนกัน แต่ดูพี่เจียงสิ แค่พูดสองคำก็ทำให้ฉู่ซือฉีโกรธแทบตาย แล้วนายล่ะ? นั่งอยู่ในร้านอาหารตั้งสองชั่วโมงแต่หงหยานกลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่านายเป็นใคร”
โจวเชาเข้ามาตบไหล่เขา: “ถึงแม้ว่าพี่เจียงจะไม่ได้คบกับฉู่ซือฉี แต่ก็มีหงหยานที่ชอบเขา ส่วนนายน่ะมีแค่ไม้ปัดขนไก่”
ในตอนนี้เองที่เจียงฉินโยนระเบิดออกไป: “เหล่าเฉา ฉันรู้สึกดูถูกนายนิดหน่อย”
“?????”
(จบตอน)
[1] 长他人志气、灭自己威风 ยกย่องปณิธานเขา ทำลายศักดิ์ศรีตน หมายถึง ส่งเสริมให้ผู้อื่นมีอำนาจ แต่กลับดูถูกความสามารถของตนเอง