บทที่ 65 การท้าทาย
บทที่ 65 การท้าทาย
เมื่อจอกเหล้าผ่านไปสามรอบ และ อาหารว่างหลากรสถูกลิ้มรสแล้ว
“ฟางจือสิง ได้ยินมาว่าปีนี้เจ้ามีอายุเพียงสิบแปดเท่านั้น?”
ระหว่างที่ทุกคนดื่มกินกันอย่างเพลิดเพลิน หลัวเค่อเจาจู่ ๆ ก็หันมามองฟางจือสิงแล้วเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
ฟางจือสิงรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อย แต่ก็ยังตอบกลับอย่างตั้งใจ “ขอรับ คุณชายรอง กระผมปีนี้อายุสิบแปดขอรับ”
หลัวเค่อเจาพยักหน้าแล้วกล่าวเสียงดัง “ฝีมือยิงธนูของเจ้าดีมาก เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาทุกคน จนไม่มีใครกล้าปฏิเสธ
แต่รู้แค่ยิงธนูได้ ไม่ได้หมายความว่าจะสอนคนอื่นให้เก่งได้เสมอไป เรื่องนี้ต้องใช้ประสบการณ์มากมาย ซึ่งเจ้าดูจะขาดในส่วนนี้ใช่ไหม?”
เมื่อคำพูดนี้ออกมา ความเงียบก็เข้าปกคลุมห้องโถง บรรยากาศเปลี่ยนไปในทันที
ติงจื้อกัง ลูอันฝู่ และ คนอื่น ๆ ต่างวางจอกเหล้าลง เปลี่ยนจากการหัวเราะเป็นนั่งเคร่งขรึม
ขณะเดียวกัน หลัวเพยอวิ๋นก็ได้แต่นั่งมองแก้วเหล้าในมือพลางจ้องอาหารตรงหน้า
ฟางจือสิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มแล้วกล่าว “คุณชายรองกล่าวถูก ความสามารถของตัวเอง และ
การสอนคนอื่นนั้นเป็นคนละเรื่องกัน
แต่เมื่อท่านผู้ใหญ่ไว้ใจให้กระผมทำหน้าที่นี้แล้ว กระผมจะทุ่มเทสุดความสามารถ ไม่ทำให้ท่านผู้ใหญ่ต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”
หลัวเค่อเจาแค่นหัวเราะ “ใครก็พูดคำใหญ่โตแบบนั้นได้ แล้วเจ้าจะสอนคนอื่นอย่างไร ลองบอกแนวทางออกมาซิ”
ฟางจือสิงยังคงนิ่งสงบ และ ถามกลับด้วยความมั่นใจ “ขอถามคุณชายรองหน่อยว่าท่านมีฝีมือยิงธนูดีแค่ไหนหรือ?”
“ข้า?” หลัวเค่อเจาชะงักไปครู่หนึ่งแล้วลังเลตอบ “ข้าฝึกหลักในด้านการต่อสู้ ฝีมือยิงธนูไม่ได้ฝึกจริงจัง”
ฟางจือสิงยิ้ม “ถ้าคุณชายรองไม่รังเกียจ กระผมอยากจะสอนท่านยิงธนูเล็กน้อยดีไหมขอรับ?”
“นี่...” หลัวเค่อเจาลังเลเล็กน้อยก่อนจะเหลือบมองหลัวเพยอวิ๋นแล้วลุกขึ้นยืนพร้อมกล่าวเสียงดัง “
ได้ ข้าจะให้โอกาสเจ้า แต่ถ้าสอนข้าไม่ได้ เจ้าก็ไม่ต้องทำหน้าที่ครูฝึกอีกต่อไป!”
ฟางจือสิงยิ้มเบา ๆ
จากนั้น บ่าวสามคนนำอุปกรณ์มาให้ ทั้งคันธนู ลูกธนู และ เป้ายิงเป็นหุ่นฟาง ซึ่งฟางจือสิงเคยเห็นที่สนามฝึก อาวุธประจำตัวของนักธนูนั้นมักจะเล็งยิงไปยังหุ่นฟางเหล่านี้
ห้องโถงนี้ยาวประมาณสามสิบเมตร หุ่นฟางถูกตั้งไว้ที่ประตู
หลัวเค่อเจาหยิบลูกธนูขึ้นมาเตรียมพร้อมบนสายธนู แล้วถาม “เจ้าจะสอนข้ายังไง?”
ฟางจือสิงตอบ “กรุณาคุณชายรองยิงให้กระผมดูก่อนหนึ่งครั้งขอรับ”
หลัวเค่อเจายกธนูขึ้น ประกอบลูกธนู เล็งเต็มกำลัง แล้วปล่อย!
เสียงลูกธนูแหวกอากาศดัง “ฟิ้ว!” ลูกธนูพุ่งตรงไปข้างหน้า แต่หลุดเป้าไปไกล ตกเลยหุ่นฟางออกไป
การยิงของหลัวเค่อเจานั้นเรียกได้ว่าย่ำแย่อย่างสิ้นเชิง
ฟางจือสิงแอบเย้ยหยันในใจ
เขาเคยเห็นคนยิงธนูมาหลายคนแล้ว ต่างคนต่างมีท่าทางที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
แต่ไม่มีใครเลยที่ใช้ท่ายืนยิงที่ถูกต้อง ทุกคนล้วนยิงตามความรู้สึก ยืนตามความสบายใจของตน
เรียกได้ว่าคนในโลกนี้ยังขาดความรู้เกี่ยวกับท่ายืนที่เหมาะสมในการยิงธนู
การยิงธนูนั้นมีทั้งการยืนยิง และ การยิงขณะขี่ม้า
สำหรับการยืนยิง ท่ายืนที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
น่าเสียดาย ที่ผู้คนในโลกนี้ยังไม่เข้าใจในเรื่องนี้
“ถ้าเช่นนั้น ยิ่งดีเข้าไปใหญ่!” ฟางจือสิงมั่นใจในตัวเองพร้อมกับเอ่ย “คุณชายรองมีกำลังแขนที่ดี ร่างกายก็เหมาะสม ขอเพียงปรับปรุงสองจุดก็จะช่วยพัฒนาทักษะยิงธนูได้มาก”
หลัวเค่อเจาไม่เชื่อ จึงถามอย่างสงสัย “สองจุดไหน?”
ฟางจือสิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้อแรกคือท่ายืนของท่าน ท่ายืนในการยิงธนูควรอยู่ในลักษณะ”
"ไม่ใช่รูปตัว T และไม่ใช่รูปตัว V”
หลัวเค่อเจาขมวดคิ้วแน่น ไม่เข้าใจพร้อมโพล่งขึ้น “"ไม่ใช่รูปตัว T และไม่ใช่รูปตัว V"อะไรกัน?”
ฟางจือสิงเดินเข้าไปให้หลัวเค่อเจายืนตรง แยกเท้าออกให้พอดีกับความกว้างของไหล่ แล้วหันด้านข้างเข้าหาเป้า ทำให้แนวไหล่ทั้งสองข้างอยู่ในแนวตรงพุ่งไปที่เป้า
ขั้นตอนยังไม่จบ
ขาต้องถอยไปครึ่งฝ่าเท้า ปลายเท้าตรงข้างหน้าต้องชี้ไปยังเป้าเช่นกัน
เมื่อท่ายืนถูกปรับเรียบร้อย ดูแล้วชวนให้รู้สึกเหมือนมีบางอย่างเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
ท่ายืนดูมีความเท่ และ สง่างาม
ผู้คนต่างจ้องมองอย่างตั้งใจ รู้สึกถึงความพิเศษที่ซ่อนอยู่ในท่ายืนนี้จนต้องพิจารณาอย่างละเอียด
ฟางจือสิงยิ้มแล้วกล่าว “นี่คือท่ายืนที่ไม่ใช่รูปตัว”T" และไม่ใช่รูปตัว "V" ยืนให้สมดุลและมั่นคงสำหรับการยิงธนู"
หลัวเพยอวิ๋นลูบหนวดพลางพยักหน้าหลายครั้ง เผยยิ้มชื่นชมออกมา
แต่หลัวเค่อเจารู้สึกไม่ค่อยดีนัก เมื่อเห็นว่าฟางจือสิงมีฝีมือจริงจึงถามอย่างไม่สบอารมณ์
“แล้วจุดที่สองล่ะ?”
ฟางจือสิงยิ้มเล็กน้อย ยกมือขยับธนูขึ้นเพียงเล็กน้อย พร้อมกับกล่าว “กรุณาคุณชายรองปล่อยลูกธนูอีกครั้งขอรับ”
หลัวเค่อเจาปล่อยลูกธนูด้วยความลังเล
เสียงลูกธนูแหวกอากาศ “ฟิ้ว!” พุ่งไปปักเข้าที่อกหุ่นฟางทันที
ยิงโดนเป้า!
“โอ้โห มีฝีมือจริง ๆ ด้วย!”
เถี่ยจั๋ว เย่เหิงชางเอ่ยชมอย่างอดไม่ได้
ผู้คนโดยรอบต่างพยักหน้าชื่นชมกันถ้วนหน้า
“ดีมาก!”
หลัวเพยอวิ๋นรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง หัวเราะดังแล้วกล่าวว่า “ฟางจือสิงไม่เพียงมีฝีมือยิงธนูอันล้ำเลิศ แต่ยังมีความสามารถในการสอนอีกด้วย ข้ามองคนไม่ผิดจริง ๆ!”
ฟางจือสิงรีบตอบ “ทั้งหมดนี้เป็นเพราะท่านผู้ใหญ่ที่คอยชี้แนะขอรับ!”
ติงจื้อกังรีบสอพลอ “ท่านผู้ใหญ่สายตาเฉียบแหลมยิ่งนัก!”
ลูอันฝู่เองก็ไม่ยอมน้อยหน้า กล่าวเสริมด้วยรอยยิ้ม “ท่านผู้ใหญ่มีวิสัยทัศน์เป็นเลิศ ข้าเองต้องยอมรับนับถืออย่างยิ่ง”
เมื่อทุกคนพากันยกยอหลัวเพยอวิ๋น ก็ยิ่งทำให้เขาอารมณ์ดีจนอดยิ้มไม่ได้
แต่หลัวเค่อเจากลับมีสีหน้างุนงง มองไปที่หุ่นฟางที่ตนเองยิงโดนด้วยสีหน้าหลากหลายอารมณ์
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาวางคันธนูลงก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงดัง
“มันก็ไม่ได้ยากอะไรหรอก ข้าก็เคยเห็นท่ายืนแบบนี้มาแล้ว เพียงแค่ไม่รู้ว่ามันเรียกว่า”ไม่ใช่รูปตัว T และไม่ใช่รูปตัว V" เท่านั้นเอง”
เขามองไปรอบ ๆ แล้วกล่าวกับหลัวเพยอวิ๋นว่า “ท่านพ่อ ที่ท่านสร้างกองกำลังทหารธนูขึ้นมาก็เพื่อให้เป็นกองทัพที่แข็งแกร่ง แม้เป้าหมายจะเป็นของนิ่ง แต่คนที่เราต้องเผชิญหน้าในสนามรบนั้นเคลื่อนไหวอยู่ตลอด ต่อให้ยิงธนูเก่งเพียงใดก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถยิงถูกคนเสมอไป มันไม่ได้เป็นตัวชี้วัดพลังการต่อสู้ที่แท้จริง ดังนั้นข้ามีข้อเสนอแนะ”
หลัวเพยอวิ๋นครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนถาม “ข้อเสนออะไร?”
หลัวเค่อเจารีบพูดต่อ “ให้ฟางจือสิงเลือกทหารธนูมาฝึกสิบคนตามใจเขา ส่วนข้าจะเชิญยอดฝีมือคนหนึ่งมาเลือกทหารธนูสิบคนมาฝึกเช่นกัน แล้วอีกสิบวันเราค่อยมาทดสอบฝีมือในสนามฝึก”
หลัวเพยอวิ๋นคิดเล็กน้อยแล้วถาม “นักยิงธนูฝ่ายละสิบคน แล้วเราจะตัดสินผลแพ้ชนะอย่างไร?”
หลัวเค่อเจายิ้มตอบ “ง่ายมาก ให้พวกเขายิงกระต่ายที่วิ่งหนีไปมาในช่วงเวลาที่กำหนด ใครยิงได้มากที่สุดก็ชนะไป!”
เมื่อฟังข้อเสนอ หลัวเพยอวิ๋นหันไปถามฟางจือสิงด้วยรอยยิ้ม “ฟางจือสิง เจ้ากล้ารับคำท้าหรือไม่?”
ฟางจือสิงตอบทันที “แน่นอนขอรับ กระผมพร้อมรับการทดสอบใด ๆ จากท่านผู้ใหญ่ และ คุณชายรองเสมอ”
หลัวเพยอวิ๋นพึงพอใจอย่างมาก พยักหน้าพลางกล่าว “ดี งั้นเริ่มการทดสอบตั้งแต่พรุ่งนี้เลย ติงจื้อกังและ เวินอวี้เหวิน พวกเจ้าสองคนดูแลเรื่องนี้ด้วย ให้มั่นใจว่าการทดสอบครั้งนี้จะยุติธรรม และ เที่ยงตรง”
“รับทราบขอรับ ท่านผู้ใหญ่!” ติงจื้อกัง และเ วินอวี้เหวินตอบพร้อมกัน
ไม่นานงานเลี้ยงก็สิ้นสุดลง
หลัวเพยอวิ๋น และ หลัวเค่อเจาลุกออกจากที่นั่งก่อน
“โอ๊ย ข้าเมาแล้ว” ติงจื้อกังลุกขึ้นโซเซก่อนจะรีบเดินออกจากห้องโถงไป
ที่จริงเขาดื่มเก่งมาก อีกทั้งเมื่อท่านอำเภออยู่ตรงนี้เขาก็คงไม่กล้าเมา แต่ตอนนี้เขาเลือกที่จะแกล้งเมาออกไปเสียดื้อ ๆ
เล่นละครได้เก่งจริง ๆ...
ฟางจือสิงเห็นดังนั้นก็เข้าใจทันที จึงเดินตามลูอันฝู่ไปพร้อมกล่าวว่า “ท่านลู ข้าขอไปส่งท่านนะขอรับ”
“ขอบใจมาก” ลูอันฝู่ยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้ปฏิเสธน้ำใจของเขา
เมื่อฟางจือสิงส่งลูอันฝู่ออกมาจนถึงหน้าประตู เขาจึงเอ่ยถาม “ดูเหมือนคุณชายรองจะไม่ชอบข้า ท่านลูพอจะรู้สาเหตุบ้างหรือไม่ขอรับ?”
ลูอันฝู่ลดเสียงลงพร้อมตอบอย่างละเอียด “ท่านอำเภอมีภรรยา และ นางสนมรวมสามคน ต่างคนต่างมีบุตรชายคนละหนึ่ง
คุณชายใหญ่ และ คุณชายสามมีพรสวรรค์ด้านการต่อสู้เป็นเลิศ ท่านอำเภอจึงส่งพวกเขาไปเรียนวิชาที่เมืองใหญ่ ส่วนคุณชายรองที่มีพรสวรรค์ด้อยกว่าจึงต้องอยู่เรียนวิชาในจวนแทน
แม่ของคุณชายรองเป็นบุตรสาวของตระกูลต่ง หนึ่งในตระกูลร่ำรวยสามตระกูลใหญ่ในเมือง ซึ่งตระกูลต่งมีความพยายามที่จะให้สมาชิกครอบครัวได้เป็นขุนนางในจวนอยู่ตลอด
ตัวอย่างเช่น ติงจื้อกังที่เป็นหัวหน้าหน่วยไล่จับผู้ร้าย มีรองหัวหน้าอยู่สี่คน โดยในนั้นสองคนเป็นคนของตระกูลต่ง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ดันให้เข้ามา
อีกตัวอย่างคือคนที่หลัวเค่อเจาควบคุมอยู่ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนตระกูลต่งที่ได้ตำแหน่งนี้จากการอุปถัมภ์เช่นกัน
เพราะฉะนั้น ตำแหน่งหัวหน้ากองทหารธนูสามร้อยของเจ้านั้น ตระกูลต่งต้องการอย่างมาก”
..........