บทที่ 481 โทษก็โทษที่เจ้ามันอ่อนแอเกินไป
บทที่ 481 โทษก็โทษที่เจ้ามันอ่อนแอเกินไป
เหนือหลุมลึก เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรหลายคนต่างแสดงสีหน้าโล่งอกเมื่อเห็นทั้งสี่คนบินขึ้นมา หลังจากที่พวกเขาลงไปในหลุมลึกและใช้เวลาอยู่ด้านล่างเกือบหนึ่งวันเต็ม ผู้คนต่างก็อดไม่ได้ที่จะกังวลว่าอาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
เมื่อเห็นพวกเขากลับขึ้นมาได้อย่างปลอดภัย ความกังวลก็หายไป
หยวนฮัว เจ้าถิ่นของที่นี่เริ่มเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสภาพภายในหลุมลึกให้ทุกคนฟัง พร้อมทั้งนำหยกจารึกที่บันทึกค่ายกลสัญลักษณ์เวทที่ได้จากแท่นหินกลางและก้นหลุมมาให้ทุกคนดู
ส่วนเรื่องสมบัติล้ำค่าที่ได้จากลวดลายแปดทิศในหลุมลึกนั้น พวกเขาสี่คนต่างเข้าใจตรงกันว่าไม่จำเป็นต้องบอกเรื่องนี้ให้ใครทราบ
“สหายทั้งหลาย มวลพลังปีศาจในหลุมลึกนี้ ฉู่หนิงได้ขับไล่ไปหมดแล้ว” หยวนฮัวกล่าวพร้อมรอยยิ้ม "ทุกท่านสามารถนำหยกจารึกนี้ไปคัดลอกสัญลักษณ์เวทเพื่อศึกษากันได้ หรือหากใครอยากลงไปดูสถานที่จริงก็ย่อมได้"
แม้ว่าจะสูญเสียคนในสำนักไปบางส่วน แต่นับเป็นความโล่งใจที่มวลพลังปีศาจได้รับการขจัดอย่างสิ้นเชิง จากนี้สำนักฉางหมิงก็ไม่ต้องกังวลเรื่องภัยอันตรายและสามารถพัฒนาสำนักได้อย่างสงบ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรหลายคนก็รู้สึกสนใจและพากันจับกลุ่มลงไปสำรวจ ส่วนฉู่หนิงและฉินฉางคง รวมถึงผู้ที่ไม่สนใจจะไปดูสถานที่จริงต่างเลือกคัดลอกเนื้อหาในหยกจารึกแทน หยวนฮัวพาพวกเขากลับไปยังหอใหญ่ด้านหน้าและจัดที่สำหรับพักผ่อนฟื้นฟูพลังให้แต่ละคน
ฉู่หนิงเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ต้องการพักฟื้น หลังจากใช้พลังไปไม่น้อยในวันนี้ เขาจึงขอพักเพื่อฟื้นฟู หยวนฮัวจึงสั่งให้เลี่ยวชวนไห่นำทางฉู่หนิงไปยังที่พัก
เมื่อมาถึงลานพักที่เงียบสงบบนยอดเขาใหญ่ เลี่ยวชวนไห่แนะนำสถานที่คร่าวๆ ก่อนจะขอตัวกลับ แต่ก่อนจะออกจากลานพัก เขาหยุดและหันมาก้มหัวคารวะฉู่หนิงด้วยท่าทางเคารพนอบน้อม
“ท่านฉู่ ข้าและสหายของข้าต่างเห็นการต่อสู้ของท่านกับผู้บำเพ็ญเพียรจากสำนักเทียนจี๋ด้วยตาตนเอง และได้ทราบจากท่านอาจารย์หยวนแล้วว่าท่านได้ขับไล่พลังปีศาจในหลุมลึก ข้าขอขอบคุณในน้ำใจอันยิ่งใหญ่นี้ ข้ากับสหายจะจดจำบุญคุณนี้ไปตลอดชีวิต”
ฉู่หนิงยิ้มเล็กน้อยและตอบกลับไปเพียงว่า “ไม่ต้องเกรงใจ” เลี่ยวชวนไห่จึงค่อยๆ ถอยออกจากลานพักไป
แต่ก่อนจะไปไกล เขาหันกลับมามองลานพักอีกครั้ง พร้อมกับครุ่นคิดในใจ
“ครั้งแรกที่ท่านฉู่เพิ่งบรรลุขั้นจินตันมาที่งานแลกเปลี่ยน ผู้คนต่างก็ประหลาดใจในความสำเร็จของเขาในวัยที่ยังหนุ่ม แต่ไม่มีใครคิดเลยว่าเขาจะพัฒนาฝีมือได้รวดเร็วเช่นนี้ จนเป็นที่หนึ่งในระดับต่ำกว่าขั้นหยวนอิงช่วงปลาย… เป็นความสามารถที่น่าทึ่งนัก ข้าพึ่งจะบรรลุขั้นจินตันระดับกลางมาได้ไม่นาน น่ากลัวว่าชั่วชีวิตนี้คงไม่มีหวังบรรลุหยวนอิงเสียแล้ว”
ฉู่หนิงไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกของเลี่ยวชวนไห่ เขาเพียงจัดการสร้างค่ายกลห้ามการตรวจสอบอย่างรอบคอบตามความเคยชิน ก่อนจะนั่งสมาธิลง
อย่างไรก็ตาม ก่อนจะเริ่มฟื้นฟูพลัง ฉู่หนิงอ้าปากและปล่อยกระบี่วิญญาณธาตุไม้ออกมา มันคือกระบี่ที่ได้ดูดซับวิญญาณของเจ้าเทพอสูรชิงหลวน
เมื่อฉู่หนิงสำรวจสภาพของกระบี่วิญญาณ เขาพบสิ่งที่ทำให้ประหลาดใจอย่างยิ่ง
“กระบี่วิญญาณธาตุไม้นี้ดูเหมือนจะดูดซับวิญญาณของชิงหลวนเข้าไปเรียบร้อยแล้ว แต่ปรากฏว่าวิญญาณของอสูรหมาป่าเหล็กตาเขียวที่บรรจุอยู่ก่อนหน้าไม่สามารถดูดกลืนพลังจากชิงหลวนได้… หรือจะเป็นเพราะพลังของชิงหลวนนั้นแข็งแกร่งเกินไป?”
ฉู่หนิงพอคาดเดาได้ เพราะแม้หมาป่าเหล็กตาเขียวจะเป็นอสูรระดับแปด แต่ชิงหลวนเป็นถึงอสูรระดับสิบ ย่อมมีพลังและระดับที่ห่างกันมาก
เรื่องนี้ต่างจากตอนที่กระบี่ธาตุทองของเขาดูดซับพลังจากวิญญาณของอสูรเขาทอง ซึ่งเป็นอสูรระดับเก้า เนื่องจากวิญญาณของอสูรนกทองเงินที่อยู่ในกระบี่วิญญาณนั้นสามารถใช้พลังจากค่ายกลสัญลักษณ์เวทบนตัวกระบี่เพื่อดูดซับพลังได้
แต่ตอนนี้เป็นการแตกต่างระหว่างระดับแปดและระดับสิบ แม้แต่ค่ายกลสัญลักษณ์เวทบนตัวกระบี่ก็ไม่สามารถเติมเต็มช่องว่างนี้ได้ อีกทั้งชิงหลวนยังเป็นสัตว์เทพจากยุคโบราณที่มีพลังและความสามารถพิเศษอันทรงพลังเกินกว่าจะเทียบกับอสูรทั่วไป
ฉู่หนิงครุ่นคิดพลางมองกระบี่วิญญาณธาตุไม้
“หากวิญญาณของหมาป่าเหล็กตาเขียวไม่สามารถดูดซับพลังจากชิงหลวนได้ กระบี่วิญญาณนี้ก็ดูเหมือนจะมีพลังวิญญาณเพิ่มขึ้น แต่ไม่ได้ช่วยเพิ่มพลังโจมตีแต่อย่างใด อีกทั้งยังมีสองวิญญาณในกระบี่เดียว ซึ่งไม่ใช่เรื่องดี… ถ้าเช่นนั้น”
ฉู่หนิงนึกขึ้นได้ถึงวิธีหนึ่ง
ในเมื่อวิญญาณของหมาป่าเหล็กตาเขียวไม่สามารถดูดซับพลังของชิงหลวนได้ ทำไมเขาไม่ลองกลับกันให้วิญญาณของชิงหลวนดูดซับพลังของหมาป่าเหล็กตาเขียวแทน?
หากทำเช่นนี้ กระบี่วิญญาณจะต้องยึดวิญญาณของชิงหลวนเป็นหลัก ซึ่งจะต้องมีการบรรจุพลังใหม่ทั้งหมด
“ก่อนหน้านี้ท่านฉินบอกว่าจะพักอยู่ที่นี่สามวัน ซึ่งเวลานี้ก็น่าจะเพียงพอสำหรับการปรับแต่งกระบี่วิญญาณ”
ฉู่หนิงครุ่นคิดและตัดสินใจ เขาจึงอ้าปากพ่นไฟออกมาเป็นสองสาย สายแรกคือเปลวเพลิงจากแกนธาตุดินสีแดงอมม่วง อีกสายคือเปลวเพลิงประจำตัวเขาเอง
การมีเปลวเพลิงทั้งสองนี้ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องไปใช้ห้องหลอมอาวุธใดๆ เปลวเพลิงทั้งสองสายห่อหุ้มกระบี่วิญญาณธาตุไม้ไว้ และฉู่หนิงเริ่มการบรรจุวิญญาณใหม่ทันที
ฉู่หนิงร่ายคาถาและใช้พลังจิตควบคุมกระบี่ทันที วิญญาณสองสายปรากฏขึ้นจากกระบี่โดยมีวิญญาณของหมาป่าเหล็กตาเขียวลอยอยู่รอบกระบี่ ขณะที่วิญญาณของชิงหลวนปรากฏตัวออก
มาและขยายปีกเตรียมที่จะบินหนี
ฉู่หนิงเตรียมพร้อมไว้แล้ว เขาร่ายคาถาอย่างรวดเร็ว ปล่อยสายพลังจิตสีเขียวอ่อนออกมาเพื่อกักตัวชิงหลวนไว้ไม่ให้หลบหนี
ฉู่หนิงได้ใช้พลังจิตตรึงวิญญาณของชิงหลวนไว้อย่างสมบูรณ์ ขณะเดียวกันวิญญาณของอสูรทั้งสองลอยอยู่คู่กันในอากาศ เมื่อฉู่หนิงพิจารณาทั้งสองด้วยสายตาเปรียบเทียบ เขาจึงเห็นได้ชัดเจนว่าวิญญาณของหมาป่าเหล็กตาเขียวที่เคยคิดว่าทรงพลังนั้น กลับดูด้อยกว่าอย่างมากภายใต้ออร่าพลังของชิงหลวน
กระบี่วิญญาณห้าธาตุของฉู่หนิงเป็นสิ่งที่เขาหลอมขึ้นเอง และได้ปรับแต่งหลายครั้งตลอดหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้นการบรรจุวิญญาณใหม่จึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา แม้ว่าชิงหลวนจะเป็นอสูรระดับสิบ แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นเพียงวิญญาณที่สูญเสียสติปัญญาและเหลือเพียงสัญชาตญาณ การจัดการกับวิญญาณเช่นนี้จึงไม่ใช่เรื่องซับซ้อน
สองวันผ่านไป กระบี่วิญญาณธาตุไม้ลอยอยู่ตรงหน้าฉู่หนิง เปล่งแสงเขียวสดใส พร้อมกับพลังวิญญาณที่หลั่งไหลเข้าไปในกระบี่ และในขณะที่เงาสีเขียวที่เป็นวิญญาณชิงหลวนค่อยๆ จมหายเข้าไปในกระบี่ ฉู่หนิงก็ได้ยินเสียงกรีดใสดังขึ้นอย่างแผ่วเบา คล้ายจะบ่งบอกถึงความพึงพอใจ
เมื่อวิญญาณของชิงหลวนผสานรวมเข้ากับกระบี่วิญญาณธาตุไม้แล้ว ฉู่หนิงสามารถควบคุมกระบี่ได้อย่างสมบูรณ์ เขารู้สึกพึงพอใจกับพลังที่เพิ่มขึ้นอย่างมากของกระบี่เล่มนี้
"กระบี่วิญญาณธาตุไม้เล่มนี้เป็นกระบี่เล่มแรกที่ข้าหลอมขึ้น เมื่อรวมวิญญาณของชิงหลวนระดับสิบเข้าไป พลังของมันก็มิได้ด้อยไปกว่ากระบี่ไฟที่มีวิญญาณของนกวิญญาณเพลิงเลย แท้จริงแล้ว…อาจจะแรงกว่ากระบี่ไฟด้วยซ้ำ"
ฉู่หนิงพึมพำเบาๆ พลางมองไปยังวิญญาณอีกดวงที่ลอยอยู่ในอากาศ
วิญญาณของหมาป่าเหล็กตาเขียวมีแววตาที่งุนงง หลังจากการบรรจุวิญญาณใหม่ ทำให้วิญญาณนี้สูญเสียการเชื่อมต่อกับกระบี่วิญญาณ แม้จะไม่มีความจำหรือปัญญาเหลืออยู่ แต่วิญญาณนี้ยังคงมีความรู้สึก จึงรับรู้ได้ถึงการสูญเสียที่พึ่งพิง
“เจ้าอ่อนแอเกินไป ไม่สามารถกลืนกินพลังของผู้อื่น ก็ต้องถูกกลืนกินแทน นี่คือโลกของการบำเพ็ญเพียร”
ฉู่หนิงถอนหายใจ ก่อนจะเริ่มร่ายคาถา ปล่อยตราสัญลักษณ์เวทที่ส่องแสงสีเขียวไปยังกระบี่วิญญาณธาตุไม้ทันที
กระบี่เริ่มเปล่งพลังแห่งการกลืนกินออกมา วิญญาณของหมาป่าเหล็กตาเขียวที่ลอยอยู่รับรู้ได้ถึงความคุ้นเคยจากพลังของกระบี่ แต่กลับรู้สึกถึงความผิดปกติที่คืบคลานเข้ามา มันพยายามดิ้นรนอย่างหนัก แต่ก็ไม่อาจต้านทานพลังแห่งการกลืนกินนี้ได้
เพียงชั่วขณะ วิญญาณของหมาป่าเหล็กตาเขียวก็ถูกดูดเข้าไปในกระบี่
เมื่อวิญญาณหมาป่าถูกดูดกลืนเข้าไปในกระบี่ ชิงหลวนก็ปล่อยหมอกสีเขียวห่อหุ้มวิญญาณของหมาป่าไว้ ในเวลาเพียงไม่นาน วิญญาณของหมาป่าเหล็กตาเขียวก็สลายไปอย่างสิ้นเชิง
เสียงกรีดใสของกระบี่ดังขึ้นอีกครั้ง ฉู่หนิงสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งในกระบี่วิญญาณธาตุไม้ ซึ่งเหนือกว่ากระบี่ไฟเสียอีก ทำให้เขารู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก
หลังจากเก็บกระบี่วิญญาณแล้ว ฉู่หนิงก็นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะต่อสู้กับเฉินชิงเหมาที่ผ่านมา เขาแบมือขึ้นสองข้าง เห็นเปลวไฟสองสีที่แตกต่างกันอยู่ในฝ่ามือ
“เมื่อเปลวเพลิงเสวียนปิงและเปลวเพลิงจากแกนธาตุดินปะทะกัน มันสร้างพลังอันรุนแรงที่ไม่เคยเห็นมาก่อน” ฉู่หนิงพึมพำในใจ “ก่อนหน้านี้ข้าเคยใช้เปลวเพลิงจากแกนธาตุดินปิดผนึกเสวียนปิง เอาไว้ ไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้…จะเป็นเพราะเปลวเพลิงเสวียนปิงดูดซับพลังจากเปลวเพลิงอันชั่วร้าย หรือเป็นเพียงเหตุบังเอิญกันแน่?”
ฉู่หนิงตัดสินใจที่จะทดลองใหม่เมื่อมีโอกาส แม้ที่นี่ไม่ใช่สถานที่เหมาะสม เขาจดจำไว้และเก็บเปลวเพลิงทั้งสองกลับเข้าไป ก่อนจะนั่งสมาธิฟื้นฟูพลัง