บทที่ 39:การแย่งชิง
บทที่ 39:การแย่งชิง
ลู่หย่วนหมิงรู้สึกแปลกมากในตอนนี้ เขาเหมือนมีร่างกายสองร่าง ร่างหนึ่งคือร่างกายความเป็นจริง สูงราวหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร เป็นร่างกายธรรมดาและเปราะบาง วิ่งร้อยเมตรใช้เวลาสิบกว่าวินาที สายตาสั้นเล็กน้อย พละกำลังก็แค่ระดับชายหนุ่มทั่วไป อาจจะยังไม่เท่าค่าเฉลี่ยของชายหนุ่มทั่วไปด้วยซ้ำเพราะมัวแต่เรียนหนังสือไม่ได้ออกกำลังกาย ปฏิกิริยาตอบสนองก็ช้าเมื่อเผชิญกับสัตว์ประหลาด ร่างกายของเขาก็เปราะบางเหมือนกระดาษ ไม่ใช่แค่สัตว์ประหลาดเท่านั้น สัตว์ป่าทั่วไปที่แข็งแกร่งกว่าเล็กน้อยก็สามารถฉีกเขาเป็นชิ้น ๆ ได้
ส่วนอีกหนึ่งร่างกายนั้น สูงเกือบสามเมตร สวมเกราะเหล็กให้ความรู้สึกเหมือนหนังเหนียวฟันไม่เข้าและมีพละกำลังมหาศาล วิ่งร้อยเมตรใช้เวลาแค่ห้าหกวินาที สายตาและปฏิกิริยาตอบสนองเฉียบคม เหมือนสามารถรับกระสุนได้ด้วยมือเปล่า และนี่เป็นแค่ความสามารถพื้นฐานเท่านั้น เมื่อรวมอนุภาคแสงไร้สีเข้าไป เขาสามารถเพิ่มพละกำลังสามเท่า ถ้าเป็นสองอนุภาค พละกำลังก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเจ็ดเท่า เมื่อร่างกายนี้แข็งแกร่งขึ้น พลังการเสริมแกร่งนี้ก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้น
หลังจากลู่หย่วนหมิงเข้าไปในอาคาร C เขาก็รู้สึกว่าสามารถควบคุมร่างกายทั้งสองได้ และสายตาของเขาก็กลายเป็นสองสายตา แต่ไม่ใช่การแยกจิตใจแต่อย่างใด เป็นการรวมสองประสาทสัมผัสเข้าด้วยกันอย่างแปลกประหลาด
บริเวณโดยรอบอาคาร C ทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยสิ่งแปลกประหลาด ลู่หย่วนหมิงสัมผัสได้ถึงบางอย่างคล้ายกับโลกแห่งสสารมืด แต่ภายในเขตนี้กลับประกอบไปด้วยวัตถุจากโลกแห่งสสาร ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง เหมือนกับทฤษฎีโลกแห่งสสารมืดของด็อกเตอร์ถังเจ๋ออันนั้นถูกทำลายไปหมดแล้ว
เนื่องจากความแปลกประหลาดของโลกแห่งสสารและโลกแห่งสสารมืดที่ซ้อนทับกัน ลู่หย่วนหมิงจึงเสมือนมีตัวตนในโลกแห่งสสาร แต่ในขณะเดียวกันเขาก็สามารถใช้พลังจิตจากโลกแห่งสสารมืดได้
กลุ่มคนที่อยู่ข้างในกำลังถูกโจมตี มีคนหนึ่งเป็นตำรวจชื่อหวังต้วยที่กำลังจะถูกดึงเข้าไปในความมืดของทางเดิน ลู่หย่วนหมิงจึงรู้สึกอยากจะเข้าไปช่วยเหลือ ตอนแรก เขานึกว่าเมื่อเขาใช้พลังแล้ว ร่างกายของเขาคงจะหายไป แต่ปรากฏว่าร่างกายของเขายังคงอยู่ ส่วนจิตลอยออกมาจากด้านหลังของเขา ทำให้ลู่หย่วนหมิงรู้สึกแปลกใจอย่างมาก
ทว่าเมื่อจิตปรากฏออกมา ลู่หย่วนหมิงก็มองเห็นอนุภาคแสงไร้สีประมาณสามสิบกว่าอนุภาคที่ลอยอยู่รอบ ๆ จิต ทำให้เขารู้สึกมั่นใจ
ขณะเขากำลังสำรวจดู ‘จิตร่างเกราะมนุษย์’ ที่ลอยอยู่ด้านหลังเขา ข้างหน้าก็มีกระโหลกศีรษะสิบกว่าอันกลิ้งออกมา จากนั้นในความมืดของทางเดิน สิ่งมีชีวิตที่มีแปดขาเรืองแสง…… เป็นปลาหมึกยักษ์ มันถูกดึงออกมา
ปลาหมึกยักษ์ตัวนี้ประกอบขึ้นจากจิตมนุษย์มากมาย รูปร่างโครงกระดูกน่าเกลียดน่ากลัว เดินวนเวียนอยู่ใต้ผิวหนังสีเรืองแสงของปลาหมึกยักษ์ โครงกระดูกเหล่านี้ต่างส่งเสียงร้องคร่ำครวญ ถูกกัดกร่อนและย่อยสลาย บางส่วนยังคงเป็นรูปร่างของมนุษย์อยู่เลย
“เสี่ยวจาง หล่าวซือ!” หวังต้วยร้องเสียงแหลมและไม่ใช่แค่เขา ตำรวจคนอื่น ๆ ต่างรู้สึกโศกเศร้าและโกรธ ตำรวจที่ถือปืน ก็ชี้ปืนพกไปที่ปลาหมึกยักษ์ แต่ด้วยโครงกระดูกมนุษย์ที่เคลื่อนไหวอยู่ภายใน พวกเขาไม่กล้าลั่นไก
ปลาหมึกยักษ์ตัวนี้ มีลักษณะคล้ายกับปลาหมึก เพียงแต่หนวดแปดเส้นของมันเต็มไปด้วยปาก และร่างกายของมนุษย์ มีปากกว้างน่าเกลียด ฟันในปากของมันแหลมคมเหมือนเข็ม
เมื่อมันถูกดึงออกมาจากบันไดที่มืด มันก็อ้าปากกว้างหันไปทางฝูงชน มีคลื่นที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแผ่กระจายออกไปจากปากน่าเกลียดนั้น ทุกคนที่ถูกคลื่นนั้นซัดต่างร้องครวญ เพียงไม่ถึงหนึ่งวินาที จมูก หู ปากและตาของพวกเขาเริ่มมีเลือดออก แม้กระทั่งตำรวจที่อยู่ใกล้ที่สุด ผิวหนังของพวกเขาก็เริ่มมีเลือดซึมออกมา
ในเวลานั้นมีชายหญิงอีกสองสามคนวิ่งเข้ามาจากโถงทางเดิน ผู้หญิงที่นำหน้าร้องตะโกนเสียงดัง “ถอยไปข้างหลัง หลบอยู่หลังเสาหรือกำแพง คลื่นพวกนั้น...”
ลู่หย่วนหมิงยืนอยู่ท่ามกลางความโกลาหล ดวงจิตที่อยู่เบื้องหลังเขากระโจนออกมา เกราะสีทองแดงรูปร่างมนุษย์สูงเกือบสามเมตร แขนทั้งสองข้างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เหวี่ยงสายเชือกไปเกี่ยวร่างของปลาหมึกยักษ์ ซึ่งมีความยาวเกือบสิบเมตร ลากขึ้นมาจากพื้น ปลาหมึกยักษ์ยังคงคำรามโกรธเกรี้ยว แต่ทั้งร่างกายและจิตของลู่หย่วนหมิงล้วนไม่หวั่นไหวต่อเสียงคำรามนั้น เกราะสีทองแดงยกหมัดขึ้นเหนือศีรษะ
“โอราโอราโอราโอรา……”
หมัดใหญ่ทั้งสองข้างฟาดฟันอย่างรวดเร็ว พลังมหาศาลทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างน่าสะพรึง ลู่หย่วนหมิงรู้สึกได้ว่าพลังพื้นฐานของวิญญาณในตอนนี้แข็งแกร่งเทียบเท่าตอนที่ร่างกายเขาสูงสองเมตรสี่นิ้วและดูดกลืนอนุภาคแสงไร้สีหนึ่งเม็ดแล้วนั่นหมายถึงร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมถึงสามเท่า เมื่อหมัดฟาดออกไป ส่งผลให้เกิดคลื่นกระแทกที่รุนแรงเหมือนตอนที่เขาพังกำแพงอิฐ เมื่อทั้งสองแขนฟาดไปมาอย่างรวดเร็ว นับได้ว่ามีหมัดอย่างน้อยหนึ่งร้อยครั้งภายในเวลาเพียงหนึ่งวินาที ปลาหมึกยักษ์ไม่สามารถทนต่อพลังอันมหาศาลนี้ได้ แม้แต่เพียงเสี้ยววินาทีก็ไม่อาจต้านทานได้ ร่างของมันร่วงสลายกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยในทันที ทุกอย่างภายในตัวปลาหมึกยักษ์รวมไปถึงโครงกระดูกมนุษย์ที่คร่ำครวญอยู่ในนั้น ก็สลายหายไปด้วย
บรรดาผู้คนในห้องโถงที่กำลังกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว ต่างทรุดลงไปกับพื้นด้วยความอ่อนแรง ผู้ที่มีจิตใจอ่อนแอที่สุดต่างสลบไปในทันที ส่วนที่เหลือแม้จะยังไม่สลบ แต่ก็ยังคงร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด ยกเว้นเพียงไม่กี่คนที่เพิ่งเข้ามาในห้องโถง รวมไปถึงตำรวจที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุดเท่านั้นที่ยังสามารถทรงตัวอยู่ได้
“เสี่ยวจาง หล่าวซือ!!” หวังต้วยพยายามยันตัวลุกขึ้น แม้จะเลือดไหลอาบกาย แต่เขาก็ไม่สนใจที่จะเช็ด แค่มองดูจุดแสงเรืองรองของปลาหมึกยักษ์ที่กำลังค่อย ๆ เลือนหายไป เขาก็ร้องไห้คร่ำครวญออกมาทันที
คนที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องรีบวิ่งไปยังจุดที่ปลาหมึกยักษ์เลือนหายไป ทุกคนล้วนล้วงเอาภาชนะขนาดเท่าหัวแม่มือออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ทั้งแก้ว โลหะ นอกจากหญิงสาวที่นำหน้าแล้ว ทุกคนต่างพยายามใช้ภาชนะเหล่านั้นเก็บรวบรวมแสงเรืองรองที่กำลังสลายไป รวมถึงเส้นใยที่ค่อย ๆ หายไป
หญิงสาวพยายามเดินเข้าไปหาลู่หย่วนหมิงพร้อมกับพูดกับหวังต้วยว่า “ไม่มีประโยชน์หรอก คนที่ถูกดูดเข้าไปในร่างกายนั้นได้ตายไปหมดแล้ว วิญญาณของพวกเขายิ่งมีชีวิตอยู่ต่อแม้สักวินาทีเดียว ก็ยิ่งเหมือนถูกโยนลงไปในกรดเข้มข้น ตอนนี้พวกเขาก็ถือว่าหลุดพ้นแล้ว…”
หวังต้วยตะโกนใส่หน้าหญิงสาวด้วยความโกรธ “เสี่ยวจางอายุแค่ยี่สิบสี่ปี! พ่อแม่ของเขาพาเขามาส่งที่สถานีตำรวจด้วยตัวเองเลยนะ แต่ตอนนี้แม้แต่ร่างของลูกชายตัวเองก็ยังไม่ได้เห็น แล้วหล่าวซือ ลูกสาวของเขายังอายุแค่สี่เดือน สี่เดือนเอง!! ทั้งหมดเป็นเพราะพวกคุณบอกว่าเขตเพิ่งเปิด ตอนนี้พวกมันอ่อนแอที่สุด พวกเขาเลยรีบพุ่งเข้าไป สุดท้ายก็หายไปหมด ตายไปหมดแล้ว!!”
หญิงสาวหัวเราะเยาะพร้อมกับชี้ไปที่ทางเข้าห้อง “ถ้าอย่างนั้นก็ยังเหลืออีกคน รีบส่งออกไปสิ น่าจะพอช่วยได้”
ที่ปากทางเดินชั้นล่าง ยังมีตำรวจนอนจมกองเลือดอยู่ ขาของเขาเหลือเพียงเศษซาก ไม่ถึงครึ่งท่อน น่องและหัวเข่าถูกกัดแทะจนเหลือแต่กระดูก เขาเป็นคนอยู่ใกล้ปลาหมึกยักษ์มากที่สุด จึงถูกเสียงคำรามของปลาหมึกยักษ์ทำให้สลบไป เลือดไหลนองเต็มพื้น ลมหายใจแผ่วเบาลงทุกที
หวังต้วยและพวกตำรวจอีกหลายคนรีบวิ่งเข้าไป ตำรวจคนหนึ่งคลายเข็มขัดตัวเองออก แล้วรัดขาของตำรวจที่หักงอจนแน่น อี๋เกอ ตำรวจร่างกำยำยกตำรวจคนนั้นขึ้น ร่างสูงใหญ่ของเขาล้าไปหมด แต่ก็ยังฮึดพยายามจะพาตำรวจคนนี้ไปส่งโรงพยาบาล
ในขณะนั้น วิญญาณของลู่หย่วนหมิงที่ยืนอยู่ข้างหลัง เหยียดแขนออกไป ทั้งขวางตำรวจที่กำลังจะวิ่งออกไป และหญิงสาวที่กำลังจะเดินไปหาเขา หญิงสาวคนนี้ซ่อนเข็มกลวงไว้ในมือ
หวังต้วยตาแดงก่ำ ตะโกนเสียงสั่นไปยังลู่หย่วนหมิง “นี่คุณ!...ทำอะไร เขาจะตายอยู่แล้ว!!”
ลู่หย่วนหมิงไม่ได้พูดอะไร เพียงส่ายหน้าเบา ๆ วิญญาณของเขาหยิบอนุภาคแสงไร้สีขึ้นมาก่อนจะวางไปที่ร่างของตำรวจคนนี้ ก่อนที่ทุกคนจะตั้งตัว ก็มีแสงสีขาววาบขึ้นราวกับเวลาถอยหลัง ขาของตำรวจคนนี้เริ่มสมานเข้าหากันอย่างรวดเร็ว บาดแผลที่ร่างกายของเขาก็หายไป ภายในเวลาเพียงเสี้ยววินาที ตำรวจคนนี้เริ่มมีสีหน้าดีขึ้นและหายเป็นปกติ ราวกับไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน เปลือกตาของเขากระตุกและค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
สายตาของทุกคน ไม่ว่าจะตำรวจหรือประชาชนต่างจ้องมองลู่หย่วนหมิงด้วยความตกตะลึง รวมถึงหญิงสาวที่กำลังจะเข้ามาหาเขา เธอเองก็หยุดชะงัก พวกเขาทุกคนมองลู่หย่วนหมิงด้วยความงุนงง
ลู่หย่วนหมิงเอ่ยเสียงแหบพร่า “อย่าออกไปข้างนอก ยังอันตรายอยู่ มีสัตว์ประหลาดอยู่ในตึกนี้ เดี๋ยวผมจะไปฆ่ามัน”
จบประโยค ลู่หย่วนหมิงก็หันหลังวิ่งเข้าไปในทางเดิน ไฟในทางเดินส่องประกายวาบขึ้นราวกับสัญญาณเตือน ทุกคนมองดูลู่หย่วนหมิงวิ่งหายไปในความมืด
หญิงสาวเห็นลู่หย่วนหมิงจากไป เธอขบกรามแน่นและตะโกนใส่ทีมของเธอ “ยังเก็บไม่เสร็จหรือไง! รีบตามเขาไป”
พร้อมกันนั้นเธอก็หันไปหาหวังต้วย “คุณก็ส่งคนตามไปด้วย”
หวังต้วยไม่สนใจ เขากำลังดูแลตำรวจที่เพิ่งตื่นขึ้นมา หญิงสาวเห็นเช่นนั้นจึงตะโกน “คุณต้องรับผิดชอบทีมของคุณ ส่วนฉันต้องรับผิดชอบประเทศและประชาชน คุณรู้ไหมว่าทุกวันนี้ทั่วประเทศมีคนตายมากแค่ไหน? ฉันรู้ว่าพวกคุณก็ห่วงชีวิตตัวเอง แล้วคิดว่าเราไม่ห่วงชีวิตตัวเองกันหรือไง?”
จบประโยค เธอไม่สนใจว่าหวังต้วยจะรู้สึกอย่างไร เธอวิ่งตามลู่หย่วนหมิงเข้าไปในทางเดิน พวกเขาที่เก็บรวบรวมละอองเรืองแสงและน้ำยาละลายเส้นใยวิ่งตามหลังไปอย่างเงียบ ๆ
หวังต้วยหน้าแดงก่ำโมโหจนหน้าแดงหน้าดำ เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหันไปสั่งตำรวจรอบข้าง “หล่าวอัน หล่าวเฉิน พวกนายเฝ้าประชาชนในห้องโถงนี้ ส่วนที่เหลือตามผมมา!”
ทันทีทันใดนั้นเอง ผู้เชี่ยวชาญหญิงนำทีมผู้เชี่ยวชาญ ส่วนหวังต้วยนำทีมตำรวจ และ พวกเขาต่างก็วิ่งตามหลังลู่หย่วนหมิงไปตามทางเดินที่ค่อย ๆ สว่างขึ้น
ลู่หย่วนหมิงวิ่งไปพร้อมกับรับรู้ถึงสิ่งหนึ่งที่ปรากฏอยู่ในจิตวิญญาณของเขา
สิ่งนี้ปรากฏขึ้นหลังจากเขาสังหารสัตว์ประหลาดปลาหมึกยักษ์ ในขณะที่ปลาหมึกยักษ์นั้นสิ้นใจ สิ่งนี้พยายามหนีอย่างตื่นตระหนก ลู่หย่วนหมิงรู้สึกถึงอารมณ์บางอย่างจากสิ่งเล็ก ๆ ที่ไม่รู้จักนี้ มันคือความเกลียดชัง ความโกรธ ความหวาดกลัว และความน่ากลัวที่ไม่สามารถอธิบายได้
ขณะที่ลู่หยวนหมิงครุ่นคิดอยู่นั้น จิตวิญญาณของเขาก็ได้คว้าจับบางสิ่งบางอย่างเข้ามาไว้ในกาย สิ่งนั้นแผ่ซ่านไปด้วยอารมณ์อันซับซ้อนและกลิ่นอายลึกลับน่าสะพรึงกลัว แต่เมื่อมันเข้ามาอยู่ในจิตวิญญาณของเขาแล้ว ความรู้สึกและกลิ่นอายเหล่านั้นก็เริ่มจางหายไป จนกระทั่งบัดนี้ สิ่งนั้นได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณเขาไปเสียแล้ว
สิ่งที่น่าอัศจรรย์ที่สุดคือ เมื่อลู่หยวนหมิงจดจ่ออยู่กับมัน เขาก็สามารถมองเห็นเมืองที่พังทลายในโลกแห่งสสารมืดผ่านสิ่งนี้ได้
ทว่าสิ่งนี้มีขนาดเล็กยิ่งกว่าเม็ดทราย เล็กยิ่งกว่าผงธุลี สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของมันได้ด้วยจิตวิญญาณเท่านั้น
(นี่คืออะไรกัน? สสารมืดงั้นหรือ?)
ลู่หยวนหมิงเต็มไปด้วยความสงสัย ทันใดนั้น อารมณ์ความรู้สึกและกลิ่นอายลึกลับทั้งหมดที่ติดอยู่กับสิ่งนั้นก็อันตรธานหายไปสิ้น ถูกแทนที่ด้วยกลิ่นอายของจิตวิญญาณเขา ในชั่วพริบตานั้น ลู่หยวนหมิงรู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าเขาสามารถควบคุมสิ่งนี้ได้ และความสามารถของมันก็คือ...
การแผ่ขยาย!