บทที่ 37 : เปลี่ยนแปลง
บทที่ 37 : เปลี่ยนแปลง
“หรือว่าทั้งหมดนี้จะเป็นแค่ความฝัน? หรือเราไม่ได้เดินทางข้ามเวลาไปโลกอนาคตหรือโลกแห่งสสารมืดในปี 2028 นั่นเลย?”
ลู่หย่วนหมิงเริ่มสงสัยอย่างหนักเกี่ยวกับประสบการณ์ในโลกแห่งสสารมืดที่เขาได้เผชิญมา
จนถึงตอนนี้ นอกจากความทรงจำที่ผ่านมา ลู่หย่วนหมิงไม่พบหลักฐานใด ๆ ที่มายืนยันได้เลยว่าตัวเองเดินทางมาอนาคตในโลกแห่งสสารมืด แล้วความทรงจำที่ว่า... อาจเป็นเพียงความฝันของเขาก็ได้?
เพราะเขาอยู่ในสภาพเหมือนผัก อาจเป็นไปได้ว่าความทรงจำทั้งหมดที่ผ่านมาเป็นเพียงความฝันร้าย เขาฝันว่าตัวเองตกลงไปในความมืด ฝันว่าเดินทางไปอนาคตในปี 2028 และฝันว่าตายในปี 2028 แล้วตกลงไปในโลกแห่งสสารมืด ทุกอย่างที่เขาเคยผ่านมา ตั้งแต่การต่อสู้จนถึงการอัปเกรด ทุกอย่างอาจจะเป็นแค่ฝัน?
ทั้งหมดอาจเป็นแค่ความฝันในขณะที่เขากำลังอยู่ในสภาพผัก และตอนนี้ฝันนั้นก็หายไปแล้ว?
ถ้าจะอธิบายด้วยคำว่า "ฝัน" ก็ดูเหมือนมันจะสมเหตุสมผลและอธิบายได้ทุกอย่าง
ลู่หย่วนหมิงนอนอยู่บนเตียงคนไข้ ในสภาพเหมือนผักมานานเกือบปี ความรู้สึกของเขาตกลงไปอยู่ในห้วงนิทรา ราวกับฝันร้ายที่ไม่จบสิ้น จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็ตื่นขึ้นมาจากความฝันนั้น เริ่มสงสัยว่าสิ่งที่เขาฝันไปนั้นเป็นจริงหรือไม่
“เราควรไปตรวจสอบร่างกายตัวเองดีไหมว่าเป็นโรคจิตเภทหรือเปล่า?” ลู่หย่วนหมิงคิดในใจ
ระหว่างรับประทานอาหารเย็น ลู่หย่วนหมิงนั่งเงียบ ๆ คอยตักข้าวเข้าปาก พ่อแม่ของเขากำลังคุยกันเรื่องบ้านและครอบครัว ในขณะที่ลู่หย่วนหมิงเงียบอยู่เช่นนั้น น้องสาวของเขาก็เงียบเช่นกัน เหลือเวลาอีกเพียงสี่วันก่อนการสอบเข้ามหาวิทยาลัย วันนี้เป็นวันที่ 3 มิถุนายน และวันที่ 7 มิถุนายน จะเริ่มสอบ น้องสาวของเขารู้สึกกดดันมากจนไม่อยากพูดอะไร
พ่อแม่ของเขาเคยชินกับบรรยากาศแบบนี้แล้ว จึงคุยกันต่อโดยไม่สนใจลู่หย่วนหมิงและน้องสาวของเขา หลังทานเสร็จลู่หย่วนหมิงมุ่งหน้าไปยังห้องของตัวเอง ส่วนน้องสาวของเขาก็กลับไปยังห้องของเธอเช่นกัน
“ไม่มีหลักฐานอะไรที่จะพิสูจน์ว่าเราข้ามมิติมาจริง ๆ” ลู่หย่วนหมิงนั่งคิดในห้องของตัวเอง เขาต้องการยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นเพียงแค่ความฝันของเขาหรือไม่
หากความทรงจำนั้นเป็นเพียงความฝัน เราก็คงเหมือนวาดภาพฝันให้ตัวเองเป็นวีรบุรุษในนิยายเท่านั้น อนาคตไม่มีโลกแห่งสสารมืด ไม่มีสัตว์ประหลาด หรือสิ่งน่ากลัวใด ๆ อารยธรรมมนุษย์อาจจะเจริญรุ่งเรืองต่อไป หรืออาจจะล่มสลายไป แต่เราก็เป็นแค่ส่วนเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งเท่านั้น สุดท้ายเราก็คงจะต้องกลับไปใช้ชีวิตตามปกติอยู่ดี
แต่หากทุกอย่างไม่ใช่แค่ความฝัน หากมันคือเรื่องจริง ตอนนี้แค่จิตของเราเข้ากับร่างกายนี้ได้อย่างสมบูรณ์ เราจึงไม่สามารถแยกจิตออกจากร่างกายได้อีก จึงไม่สามารถกลับไปยังโลกแห่งสสารมืดได้ เวลาผ่านไป เมื่อถึงปี 2028 ผีและคำสาปจะเริ่มปรากฏขึ้นทั่วโลก ถึงเวลานั้นมนุษย์และอารยธรรมมนุษย์จะเริ่มตกสู่โลกแห่งสสารมืด นั่นแหละคือวันสิ้นโลก
ฉะนั้นสิ่งสำคัญในตอนนี้คือการยืนยันว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงความฝัน ความจริง หรือเป็นเพียงภาพลวงตา
“……หรือไม่ เราก็ต้องแยกจิตออกจากร่างกาย จิตของเราเคยผ่านการเสริมพลังมาหลายครั้ง ก่อนหน้านี้ เราสูงถึงสองเมตรสี่ แต่การเสริมพลังครั้งนี้ มันแรงกว่าครั้งก่อน ๆ ถึงแม้ว่าความสูงและความแข็งแกร่งจะมีขีดจำกัด แต่ครั้งนี้ เราน่าจะสูงถึงสองเมตรเจ็ด แล้วถ้าเราสามารถเห็นจิตของตัวเองได้ เราก็จะได้รู้ว่าเราฝันไป หรือเราข้ามมิติไปยังโลกแห่งสสารมืดในอนาคตได้จริง ๆ กันแน่”
ลู่หย่วนหมิงมองไปที่กระจก แต่ในนั้นมีเพียงตัวเขาเอง ไม่เห็นอะไรอื่นเลย ไม่ว่าเขาจะนั่งสมาธิหรือพยายามแยกจิตออกจากร่างกายเท่าไหร่ แต่ก็ทำไม่ได้ ไม่รู้สึกอะไรเลย พูดตรง ๆ ก็คือ เขาเป็นแค่คนธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ไม่มีอะไรพิเศษ
“ไม่มีวิธีที่วิญญาณจะแยกจากร่างกายได้ ดังนั้นจึงอธิบายได้ว่าทำไมเราถึงไม่สามารถกลับไปยังโลกเดิมได้ และอาจจะเป็นไปได้ว่าทุกอย่างเป็นเพียงความฝัน... งั้นลองหาวิธีพิสูจน์ใหม่แล้วกัน สหรัฐอเมริกาและห้องปฏิบัติการใต้ดินของนิวยอร์ก ตามประวัติศาสตร์ของโลกอนาคตที่เรารู้มา ชิ้นส่วนของสสารมืดที่ได้มาจากญี่ปุ่นเพียงชิ้นเดียวถูกเก็บไว้ที่นั่น ทีมวิทยาศาสตร์ของสหรัฐอเมริกากำลังศึกษาอยู่ เราแค่ต้องยืนยันว่ามีห้องปฏิบัติการอยู่จริง และมีทีมวิทยาศาสตร์ศึกษาชิ้นส่วนสสารมืดนั้นอยู่ นั่นแหละจะพิสูจน์ได้ว่าเราข้ามเวลาได้จริง”
ลู่หย่วนหมิงหัวเราะเยาะตัวเองเบา ๆ
เขาก็แค่บัณฑิตจบใหม่ธรรมดาที่ถูกชนจนกลายเป็นคนไข้ติดเตียง ครอบครัวธรรมดา ๆ การศึกษาธรรมดา ๆ ประสบการณ์ก็ชีวิตธรรมดา ๆ ยกเว้นการข้ามเวลานี่แหละที่ไม่ธรรมดา เขาก็เหมือนกับคนอื่น ๆ ในโลกใบนี้เก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ เขาจะไปสืบหาฐานทดลองลับของสหรัฐอเมริกาได้ยังไง?
ถึงแม้เขาจะพูดความจริงทั้งหมดอย่างตรงไปตรงมา แต่จะไปบอกใครได้?
พ่อแม่ของเขาเหรอ? พวกเขาก็คงคิดว่าลู่หย่วนหมิงกำลังล้อเล่น
หรือไปหาหมอ? หมอคงจะให้เขาไปตรวจสุขภาพจิตก่อน
ตำรวจ? หรือรัฐบาล? ยิ่งไม่เข้าท่าเพราะเขาก็ไม่มีหลักฐานใด ๆ เลย
อย่าพูดถึงเรื่องที่เขาอาจจะฝันไป หรือโลกแห่งสสารมืดไม่เคยมีอยู่จริง แม้ว่ามันจะมีจริง เขาก็ไม่มีทางที่จะค้นหาความจริงได้เลย
“จะเหลือเพียงทางสุดท้ายที่จะพิสูจน์ทุกอย่าง…”
ลู่หย่วนหมิงเดินมายังระเบียง บ้านของเขาอยู่ที่อาคาร A ชั้น 27 ในหมู่บ้านแห่งนี้มีทั้งหมด 4 อาคาร คือ A, B, C และ D เขามองเห็นอาคาร C ได้จากตรงนี้ วันนี้เมื่อตอนกลางวัน เขาเห็นสิ่งที่ดูคล้ายผีหรือคำสาป ติดอยู่ที่หลังของชายคนหนึ่ง นี่ไม่ใช่ภาพหลอนใช่ไหม?
สิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้คือค้นหาว่ามันเป็นผีหรือคำสาปจริง ๆ หรือเปล่า ถ้าเป็นจริงก็หมายความว่าโลกแห่งสสารมืดได้ส่งผลกระทบแล้วตั้งแต่ก่อนการล่มสลายในอีก 4 ปี ไม่ใช่ปี 2028 อย่างที่ด็อกเตอร์ถังเจ๋ออันบอก
ในขณะนี้ ลู่หย่วนหมิงกำลังคิดหาวิธีที่จะพิสูจน์เรื่องนี้อยู่ในห้องของเขา
เขาพยายามจะลองคิดถึงเรื่องด็อกเตอร์ถังเจ๋ออันบอก
ลู่หย่วนหมิงคิดหนักอยู่สองประเด็น ประเด็นแรกคือเขาไม่รู้ข้อมูลของชายหนุ่มคนนั้นเลย ประเด็นที่สองคือผี ปีศาจ และคำสาป มันไม่ใช่สัตว์ประหลาดจากโลกแห่งสสารมืด จากที่ถังเจ๋ออันเล่า เหล่าผีและคำสาปพวกนั้น น่าจะมีต้นกำเนิดมาจากสองสาเหตุ สาเหตุแรกคือจากความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่ออารยธรรมมนุษย์ล่มสลายลงสู่โลกแห่งสสารมืด สาเหตุที่สองอาจเป็นปรากฏการณ์บางอย่างที่เกิดจากความน่าสะพรึงกลัวที่ไม่อาจเรียกชื่อได้
ในโลกแห่งสสาร คำสาปและผีเป็นสิ่งที่ไม่มีวันตายและพวกมันมีพลังเหนือธรรมชาติ เทคโนโลยีของมนุษย์ไม่สามารถต่อกรกับสิ่งเหล่านี้ได้
ดังนั้น เขาต้องไปสืบหาความจริงว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นจริงหรือไม่ ก่อนอื่นเขาต้องดูแลตัวเองก่อน ไม่งั้นหากพลาดพลั้งไปแล้วร่างกายของเขาในโลกแห่งสสารอาจถึงแก่ความตายได้ ความสามารถพิเศษอันล้ำค่าของเขาก็อาจจะไร้ประโยชน์ และถ้าหากโลกแห่งสสารมืดมีอยู่จริง นั่นคือสิ่งที่เขาไม่สามารถรับมือได้อย่างเด็ดขาด
ขณะที่ลู่หย่วนหมิงกำลังคิดหนักว่าจะสืบหาความจริงอย่างไร เขาก็ได้ยินเสียงไซเรนของรถตำรวจดังขึ้นติดต่อกันหลายคัน
ทันทีที่เสียงไซเรนดังขึ้น ลู่หย่วนหมิงก็รีบมองลงไปจากระเบียง เขาเห็นรถตำรวจประมาณ 7-8 คันกำลังขับผ่านในเขตชุมชน รถเหล่านี้ขับมาจอดที่หน้าตึก C จากนั้นตำรวจก็วิ่งลงจากรถ ตำรวจบางส่วนวิ่งเข้าไปในตึก C ส่วนที่เหลือเริ่มกั้นเขตบริเวณโดยรอบตึก C
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เริ่มตั้งแต่เสียงไซเรนดังขึ้น จนถึงการตั้งแนวเขตกันภัยภายในเวลาไม่เกินห้านาที ลู่หย่วนหมิงยืนอยู่บนระเบียงมองดูทุกอย่างอย่างถี่ถ้วน เขารู้สึกแปลกใจเมื่อพบว่าตัวเองมองเห็นทุกอย่างบนพื้นได้อย่างชัดเจน แม้แต่หน้าตาของตำรวจแต่ละคนเขาก็มองเห็นได้อย่างละเอียด
มันเป็นไปไม่ได้!
แม้ว่าลู่หย่วนหมิงจะไม่ใช่คนสายตาสั้นมากนัก แต่การเรียนและการใช้ชีวิตประจำวันของเขาตั้งแต่เด็ก ทำให้สายตาของเขาลดลงมาเรื่อย ๆ ถึงแม้เขาจะไม่ต้องใส่แว่น แต่ความจริงคือเขาสายตาสั้นเล็กน้อย และเขาก็อยู่บนชั้นที่ยี่สิบเจ็ด จากมุมนี้มองลงไปที่พื้น แม้จะเป็นคนที่มีสายตาดีมากก็คงจะเห็นได้เพียงเพศของคนที่เดินผ่านไปผ่านมาเท่านั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมองเห็นรายละเอียดของใบหน้าได้อย่างชัดเจนอย่างที่เขากำลังเห็นในตอนนี้
นี่คือหลักฐานที่ชัดเจนเลยว่าเขาย้ายมิติกลับมาอยู่ที่นี่แล้ว!
"ไม่ ยังไม่พอ ยังต้องหาหลักฐานที่พิสูจน์ว่าโลกแห่งสสารมืดมีอยู่จริง"
ลู่หย่วนหมิงจ้องมองอาคาร C อย่างไม่ละสายตา และเขาก็สังเกตเห็นว่าบริเวณอาคาร C เริ่มมืดลง ตอนนี้เวลาประมาณสองทุ่มแล้ว แม้จะเป็นเดือนมิถุนายน แต่ฟ้าก็เริ่มมืดลงก่อนที่เสียงไซเรนจะดังขึ้น บ้านเรือนในอาคาร C ก็เปิดไฟกันแล้ว แต่หลังจากเสียงไซเรนดังขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกลุ่มตำรวจบุกเข้าไปในอาคาร แสงไฟในอาคารก็เริ่มดับลงทีละดวง ไฟในบ้านแต่ละหลังปิดลง ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที อาคาร C ก็มืดสนิท
ตอนนี้ แม้แต่ผู้อยู่อาศัยที่ไม่รู้เรื่องราวใด ๆ ก็เริ่มเข้าใจและรู้ว่าอาคาร C ต้องเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรบางอย่างขึ้นแน่
นอกอาคาร C ผู้คนนับร้อยรายล้อมบริเวณแนวเขตกันภัย รุมถามไถ่กันวุ่นวาย บางคนเป็นผู้อยู่อาศัยในอาคาร C พวกเขาน่าจะกำลังเดินเล่นหลังทานอาหาร แล้วก็พบว่าบ้านของตัวเองถูกตำรวจล้อมไว้ เข้าไปไม่ได้แล้ว ส่วนที่เหลือก็เป็นผู้อยู่อาศัยในอาคารอื่น ๆ ส่วนใหญ่พวกเขามามองดูกันด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ไม่ใช่แค่พวกเขา ลู่หย่วนหมิงยังสังเกตเห็นว่ามีคนเริ่มออกมาจากอาคารทั้งสองข้าง วิ่งไปที่อาคาร C มีคนมากมายอยู่บนระเบียงมองลงมา รวมถึงพ่อแม่ของลู่หย่วนหมิง พวกเขาเองก็มองลงมาจากระเบียงอีกฝั่งหนึ่งเช่นกัน
แต่จู่ ๆ ก็มีเสียงอึกทึกครึกโครมดังขึ้นมาจากด้านล่าง ลู่หย่วนหมิงตอนนี้มีวิสัยทัศน์ดีมาก เขาจึงเห็นได้ทันทีว่าที่ชั้นสิบเอ็ดของอาคาร C มีเงาร่างสองร่างก้าวออกมาจากหน้าต่างทางเดิน แล้วก็กระโดดลงมาโดยไม่ลังเล
ชั้นสิบเอ็ด สูงประมาณสี่สิบห้าเมตร คนกระโดดลงมาจากความสูงนี้ อัตราการเสียชีวิตแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์
ผลก็เป็นอย่างที่คาด ทั้งสองคนกระแทกพื้นแล้วเด้งขึ้นมาอีกเล็กน้อย จากมุมมองที่ลู่หย่วนหมิงเห็น ทั้งสองคนไม่มีทางรอดแล้ว ร่างกายแหลกละเอียด กระดูกหักเป็นชิ้น ๆ
และสิ่งที่เกิดขึ้นต่อมา ทำให้ลู่หย่วนหมิงรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาในทันที
เขามองเห็นวิญญาณสองดวงลอยขึ้นจากร่างทั้งสอง ด้วยวิสัยทัศน์ของเขาที่สามารถมองเห็นใบหน้าและสีหน้าได้อย่างชัดเจน เขาเห็นได้ชัดเจนเลยว่าวิญญาณทั้งสองแสดงออกถึงความหวาดกลัว พวกเขาลอยขึ้นมาจากร่างของตัวเองและมองไปที่ร่างกายที่ตายแล้ว วิญญาณทั้งสองแสดงสีหน้าไม่น่าเชื่อออกมา
"มีโลกแห่งสสารมืดอยู่จริง มีโลกหลังความตายอยู่จริง... และต่อมาพวกเขาจะตกหล่นลงไปในโลกแห่งสสารมืด..." ลู่หย่วนหมิงพึมพำ แต่เหตุการณ์ต่อมานั้นได้ออกนอกเหนือความคาดหมายของเขาไปอย่างสิ้นเชิง วิญญาณทั้งสองไม่ได้ตกลงไปในโลกแห่งสสารมืด แต่กลับถูกแรงลึกลับดึงกลับไปยังตึก C และลู่หย่วนหมิงก็เห็นสายบาง ๆ เกาะติดกับวิญญาณทั้งสอง สายเส้นนั้นกำลังดึงวิญญาณทั้งสองเข้าไปในตึก C พวกเขาร้องครวญครางด้วยความหวาดกลัว พยายามดิ้นรน แต่ก็ถูกดึงเข้าไปในความมืดมิดของตึก C ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงไม่กี่วินาที วิญญาณทั้งสองก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ลู่หย่วนหมิงจ้องมองเหตุการณ์ทุกอย่างอย่างเงียบงัน เขาถอยกลับเข้าไปในห้องและเหลือบมองไปรอบ ๆ เขาหยิบหน้ากากอุลตร้าแมนขึ้นมา จากนั้นวิ่งไปยังห้องนั่งเล่นทันที ขณะนั้นพ่อแม่ของเขาอยู่บนระเบียง มองลงไปข้างล่างอยู่ น้องสาวของลู่หย่วนหมิงก็อยู่ในห้องของตัวเอง ไม่มีใครเห็นเขาออกจากห้อง ลู่หย่วนหมิงไม่ส่งเสียงเดินสักนิดเดียว เขาเดินไปอย่างเงียบเชียบ สวมรองเท้าวิ่งแล้วปิดประตูเบา ๆ จากนั้นเขาก็วิ่งไปที่ลิฟต์ในทางเดิน
เขา...
กำลังจะไปตึก C!