บทที่ 16 ถูกจับได้
บทที่ 16 ถูกจับได้
เสียงวางถ้วยดังปัง
“บางทีมาม่าสำเร็จรูปก็ดีเหมือนกันนะ”
เขาซดเส้นก๋วยเตี๋ยวอย่างเอร็ดอร่อยกับเนื้อสัมผัสที่เหนียวนุ่มของมัน
กลิ่นหอมหวลและรสชาติเผ็ดร้อนอันเย้ายวนของเครื่องปรุงรสกระตุ้นต่อมรับรสของเขาอย่างมาก
ถึงแม้ว่าเงินบัญชีธนาคารของเขาจะแข็งแรงขึ้นมากในช่วงนี้ ทำให้สามารถกินของอย่างขาหมูหรือซูชิ แต่เขาก็ยังพบว่าตัวเองถูกดึงดูดใจด้วยอาหารสำเร็จรูปและการกินมันเป็นครั้งคราวก็อร่อยดีเหมือนกัน
"เอาล่ะ คราวนี้ไฮนซ์ได้หายไปจริงๆ แล้ว"
ฮันส์ฟื้นคืนชีพมาเป็นอันเดดไม่นานหลังจากที่เขาคิดว่าฮันส์ตายไปแล้ว แต่ครั้งนี้มันไม่น่าจะเกิดขึ้นอีก
ร่างของเขาถูกแวมไพร์ฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและนอนอยู่ในซากปรักหักพังของอาคาร ดังนั้นแม้การที่จะมีซากศพที่สมบูรณ์ก็เป็นเรื่องยากแล้ว
อย่างไรก็ตามเมื่อคิดถึงพี่น้องที่รอเขาอยู่ ก็ทำให้เขาคิดมาก
“ฉันบอกว่าจะกลับไปภายในสามวัน ถ้าฉันส่งอวตารใหม่ไปแทนเขา นั่นหมายความว่าฉันจะไม่สามารถทำกิจกรรมภายนอกใดๆ ได้อีกสักพักใช่ไหม”
การจะเรียกอวตารที่เสียชีวิตขึ้นมาใหม่ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งหากอยู่ในอีกโลกหนึ่งจะต้องใช้เวลานานถึงสองเดือน
นั่นคือเหตุว่าทำไมเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องใช้อวาตารที่กำลังใช้งานอยู่ภายนอก
เอี้ยด-แกร๊ก
ในขณะนั้น อวตารก็เข้ามาในบ้านพร้อมกับถือสัมภาระรวมทั้งเสื้อเกราะกันกระสุนและสิ่งของอื่น ๆ
“ฉันได้จองที่พักไว้หนึ่งสัปดาห์แล้ว ดังนั้นเมื่อเคลื่อนย้ายไปแล้ว เราจะไปที่ห้องทันที เปลี่ยนเสื้อผ้าและไปหาเด็กๆ”
เขาไม่อยากให้เด็กๆ ต้องกังวลหากเขามาสายกว่านี้
'ตอนนี้ฉันต้องตัดสินใจเลือกชื่อให้กับผู้ชายคนนี้แล้ว... อืม...'
เขาเหลือบมองอวาตารที่กำลังคัดแยกสัมภาระ คิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ตัดสินใจทันที
“ใช่แล้ว เรียกเขาว่าไฮนซ์ก็ได้ ถ้าจะให้พูดกันตรงๆคือไฮนซ์ที่สอง”
ในไม่ช้านี้ อวตารร่างนี้จะต้องเผชิญหน้ากับพี่น้องคนอื่นๆ แทนไฮนซ์ผู้ที่พึ่งตายไป ดังนั้นการใช้ชื่อที่แตกต่างกันอาจจะทำให้เกิดความสับสนได้
และด้วยการอวตารนี้สืบทอดความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของไฮนซ์ เขาจึงได้ตั้งชื่อว่า “ไฮนซ์ที่สอง”
<ข้อมูลส่วนบุคคล>
-ชื่อ: ไฮนซ์ที่สอง
-คุณสมบัติทั่วไป: "แยกจิต" "การฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว" "ดัชนีการรู้แจ้ง"
-ลักษณะเฉพาะตัว: “ความรวดเร็ว”
-หมายเหตุพิเศษ: อวตารที่สามของฮันซองฮยอน
"ฉันควรลงทุนกรรมาสักหน่อยเพื่อเพิ่มความสามารถทางกายภาพของเขาเผื่อไว้หรือป่าว?"
จากนั้นเวลาก็ผ่านไปสองวัน
ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกประมาณหกชั่วโมงก่อนที่การเคลื่อนย้ายมิติจะคูลดาวน์
….
[การเคลื่อนย้ายมิติไปยังอูเทริก้าเสร็จสมบูรณ์แล้ว]
เมื่อการเคลื่อนย้ายเสร็จสิ้น และเขาลืมตาขึ้นเพื่อสำรวจบริเวณโดยรอบ เขาพบว่าตัวเองอยู่ในที่พักที่เขาจองไว้ในอจันตุ
เขารื้อข้าวของของตัวเองโดยสวมเสื้อคลุมทับเสื้อเกราะกันกระสุนและหยิบสิ่งของที่จำเป็นออกมา
“ฉันมีดาบยาวมาแค่เล่มเดียว แต่ตอนนี้มันอยู่ในซากปรักหักพังนั่นแล้ว”
เขารู้สึกเสียใจเล็กน้อยกับอาวุธที่หายไป แต่ก็ไม่มีอะไรจะทำได้ เขาคงต้องหาอาวุธใหม่มาแทน
เมื่อเขาก้าวออกจากห้องและมุ่งหน้าไปที่ประตูห้องพัก เจ้าของที่พักที่เคาน์เตอร์ก็ประหลาดใจกับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเขา
เขาหันไปบอกเจ้าของที่พักแล้วรีบออกไป
“ตอนนี้ฉันสงสัยว่าสถานการณ์มันจะเป็นอย่างไรกันแน่”
แม้ว่าจะมีเหตุการณ์ที่แวมไพร์ที่เป็นผู้ปกครองเมืองถูกฆ่าไปหนึ่งคน แต่ภายนอกดูเหมือนจะไม่มีความแตกต่างอะไรมากนัก
เนื่องจากพวกมันอาจมีตัวตนที่ไม่ประจักษ์ และไม่เป็นที่รู้จักของสาธารณชน ดังนั้นจึงไม่สามารถสร้างคลื่นลมอะไร
ในขณะที่เขาเดินผ่านตรอกไปยังบ้านของพี่น้องทั้งสอง เขาก็สัมผัสได้ถึงความตึงเครียดในอากาศ
ดูเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่แตกต่างไปจากที่อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันอยู่ใกล้กับสำนักงานใหญ่ของบาร์โลครัก ซึ่งเป็นผู้ควบคุมส่วนถนนนี้
"เดี๋ยว ฉันขอถามอะไรคุณหน่อยได้ไหม?"
ตามที่คาดไว้ ชายคนหนึ่งที่มีรอยสักของบาร์โลครักที่คอคว้าตัวเขาและก้าวไปข้างหน้า
“ฉันไม่เคยเห็นคุณมาก่อน คุณมาทำอะไรที่นี่?”
กิริยาท่าทางของอีกฝ่ายต่างจากชายร่างใหญ่ที่เคยรีดไถเขาก่อนหน้านี้
สถานการณ์มีความซับซ้อนดังนั้นอีกฝ่ายจึงต้องระมัดระวังมากขึ้น
“โอ้ ฉันเป็นนักผจญภัยที่เพิ่งมาถึงเมืองนี้ไม่นานนี้เอง ฉันเพิ่งสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กพี่น้องในเมืองนี้เมื่อไม่กี่วันก่อน ฉันจึงมาพบหน้าพวกเขา”
“เด็กพี่น้องเหรอ? อ๋อ ฉันรู้ว่าคุณหมายถึงใคร แต่แล้วเด็กกำพร้าพวกนั้นล่ะ?”
ขณะที่ชายคนนั้นยังคงมองเขาด้วยความสงสัย เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งของชายคนนั้นก็เดินเข้ามาหาเขา
“เจ้านาย เมื่อไม่นานนี้ตอนที่เด็กชายหายตัวไป และเด็กหญิงก็เดินหารอบๆ เธอก็บอกว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งช่วยเธอหาน้องชายจนพบ อาจเป็นสุภาพบุรุษคนนี้หรือเปล่า?”
“จริงเหรอ?”
โชคดีที่ดูเหมือนไดอาน่าสามารถจัดการสถานการณ์ได้ดี
“ใช่แล้ว เนื่องจากการพบกันครั้งก่อนและเด็กผู้หญิงคนนั้นเคยเป็นไกด์ให้ฉัน ฉันจึงมาที่นี่เพื่อพบพวกเขาอีกครั้ง”
เขายัดเงินจำนวนหนึ่งลงไปในฝ่ามือของอีกฝ่ายขณะตอบคำถามเพื่อพยายามทำให้ทุกอย่างราบรื่น
อีกฝ่ายรับมันอย่างเป็นธรรมชาติและพยักหน้าแล้วเก็บมันลงในกระเป๋า
“ใช่แล้ว เมื่อคำนึงถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่ไม่ดีนัก คุณก็อย่าก่อปัญหาล่ะ”
“แน่นอน ขอบคุณและดูแลตัวเองด้วย”
เขาสามารถผ่านไปได้อีกครั้งโดยไม่ถูกขัดขวางใดๆ
ไม่นานฉันก็มาถึงบ้านพี่น้องทั้งสอง
….
เวลาที่ผ่านมาสองวันไดอาน่านอนไม่หลับเพราะความกังวล
หลังจากวันที่เธอช่วยแอรอนกลับมา เธอพยายามทำตัวให้ปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้เมื่ออยู่ข้างนอก โดยปฏิบัติตามคำแนะนำของไฮนซ์
เธอต้องลดกิจกรรมในการออกไปข้างนอกของเธอให้เหลือแค่พอที่จะไม่ดูมีพิรุธเท่านั้น
เธอคอยอยู่ที่บ้านเพื่อรอให้ไฮนซ์กลับมา
“พี่สาว...ผู้ชายคนนั้นจะไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“เขาจะไม่เป็นไร เขาสัญญาว่าจะกลับมา”
ไดอาน่ากอดน้องชายที่เป็นกังวลของเธอ และปลอบใจตัวเองและเขาไปพร้อมกัน
เธอรอไฮนซ์อยู่ตลอดทั้งคืน โดยภาวนาให้เขากลับมาอย่างปลอดภัย
และในวันรุ่งขึ้น เธอต้องควบคุมอารมณ์สับสนวุ่นวายภายในใจเมื่อได้ยินว่าอาคารของบาร์โคลรักถูกไฟไหม้
แต่เธอต้องทำใจให้เชื่อคำสัญญาของไฮนซ์และรอต่อไป
วันนี้ก็เป็นวันที่สามแล้ว และเป็นวันสุดท้ายที่ไฮนซ์สัญญาว่าจะกลับมาอีกครั้ง
“พี่สาว พี่ควรกินข้าวหน่อยเถอะ นี่..กินขนมปังหน่อยสิ”
"ขอบใจมาก"
แอรอนเดินไปหาไดอาน่าที่มองอยู่ข้างนอกตลอดทั้งวัน แล้วยื่นขนมปังให้เธอ และนั่งลงข้างๆ เธอ
เธอทำให้ขนมปังที่เหนียวอ่อนตัวลงแล้วกินมันอย่างระมัดระวัง
เธอไม่ได้ใช้เงินที่ไฮนซ์ทิ้งไว้ เพราะว่าเธอต้องการคืนมันให้กับเขา
เธอซ่อนข้าวของอื่นๆ ของเขาทั้งหมดไว้ในบ้านและรอให้เจ้าของมารับมันไป
“ตอนนี้ฉันควรทำอย่างไรดีล่ะ? ต้องขอบคุณเขา..ฉันถึงสามารถช่วยแอรอนไว้ได้ในครั้งนี้ แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกครั้ง...”
ตราบใดที่เธออาศัยอยู่ในเมืองนี้ จะต้องมีสถานการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
คิดอย่างนี้ไดอาน่าก็รู้สึกกลัวอย่างมาก
"ฮะ?"
ขณะนั้นเอง แอรอนที่กำลังเล็มขนมปังอยู่ก็ตะโกนขึ้นขณะมองออกไปข้างนอก
“นั่นเขาเอง!”
"อะไรนะ?!"
ไดอาน่าซึ่งกำลังจดจ่ออยู่กับความคิดของตนเองก็ลุกขึ้นและวิ่งออกไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว
เครื่องแต่งกายของเขาแตกต่างออกไป แต่ใบหน้าของเขายังคงเหมือนเดิมกับที่เธอเห็นตอนที่พวกเขาแยกจากกัน
“ลุง!”
ไดอาน่ากอดไฮนซ์แล้วร้องไห้ออกมา
“ใช่แล้ว ไดอาน่าเธอรอนานมั้ย ขอโทษที่มาช้านะ แอรอนเธอสบายดีไหม?”
ไฮนซ์ปลอบโยนไดอาน่าในอ้อมแขนของเขาและตบหลังแอรอนเบาๆ ที่เข้ามาใกล้ด้วย
‘กลิ่นของเขา...เปลี่ยนไปงั้นเหรอ?’
ท่ามกลางน้ำตาของเธอ ไดอาน่าสัมผัสได้ถึงความไม่คุ้นเคยเล็กๆ น้อยๆ ในอ้อมกอดของไฮนซ์
แต่ขณะที่เธอสะอื้น เธอก็รู้ได้อย่างรวดเร็ว
‘ไม่หรอก ต้องเป็นเขาอย่างแน่นอน’
ไดอาน่าซึ่งสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของวิญญาณ ด้วยประสาทสัมผัสของเธอทำให้แน่ใจว่าไฮนซ์ที่สองคือบุคคลเดียวกับก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน
แม้ว่ากลิ่นอายบนร่างกายอาจเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ต่างๆ แต่แก่นแท้ของจิตวิญญาณก็ยังคงเหมือนเดิม
“ทำไมคุณมาช้าจัง เกิดอะไรขึ้น?” ไดอาน่าที่แทบจะหยุดร้องไห้ไม่ได้ถามด้วยเสียงแผ่วเบา
“เอาล่ะ คุยกันตรงนี้ก็ค่อนข้างไม่เหมาะสมอยู่บ้าง อ้อ เราไปกินอะไรอร่อยๆ กันก่อนดีไหม?”
ไฮนซ์หัวเราะเมื่อเห็นขนมปังที่แอรอนถืออยู่
เพราะท้ายที่สุดแล้ว รสชาติที่หลากหลายของอาหารคือเครื่องเทศของชีวิตเช่นกัน
….
เขามุ่งหน้าไปที่ร้านอาหารท้องถิ่นกับไดอาน่าและแอรอน
“โอ้ ฉันให้สิ่งนี้เพื่อให้เธอนะไปใช้นะ”
“ไม่! มันเป็นของที่ลุงฝากไว้ให้พวกเราดูแลเท่านั้น!”
ไดอาน่ายื่นข้าวของที่เขาทิ้งไว้ก่อนต่อสู้กับแวมไพร์ให้อย่างมั่นคง เพื่อแสดงจุดยืนที่ชัดเจนของเธอ
“เอาล่ะ งั้นเราเอานี่ไปซื้อของแพงๆ กินก็ได้ เข้าไปกันเถอะ!”
เขาพาสองพี่น้องไปกินอาหารเย็นและพาพวกเขากลับมายังที่พักที่เขาพักอยู่
สถานที่อื่นไม่เหมาะแก่การพูดคุย
“ฉันไม่ควรคาดหวังว่าอาคารประเภทนี้จะเก็บเสียงได้ ดังนั้นเรายังต้องพูดคุยกันอย่างเงียบๆ เหมือนเดิมนะ”
แต่มันก็น่าจะดีกว่าที่อื่นนะ
เขาอธิบายว่าเขาฆ่าแวมไพร์ที่รับผิดชอบต่อการลักพาตัวแอรอนและหนีออกจากอาคาร จากนั้นก็ทำการเผาอาคารและซ่อนตัวไว้ก่อน
ขณะที่แอรอนมองมาที่เขาด้วยดวงตาเป็นประกายขณะที่เขาพูด ส่วนไดอาน่าก็ไม่สามารถซ่อนความกังวลของเธอได้
"คุณจะไม่เป็นไรจริงๆ ใช่ไหม หลังจากฆ่าแวมไพร์ได้?"
“ตอนนี้อาจจะยังไม่มีปัญหาใหญ่อะไร แต่เราต้องหาทางออกจากเมืองนี้ให้เร็วที่สุด”
“ออกจากเมือง...เป็นไปได้ด้วยหรือ? คุณออกไปคนเดียวก็ได้ เราไม่เป็นไร ..เราสามารถดูแลตัวเองได้”
ไดอาน่าตอบโดยก้มหัวลง
แม้ว่าเธอจะพูดออกไปอย่างนั้น แต่น้ำเสียงของเธอกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกยอมแพ้
“ถ้าเราไม่ยอมแพ้ เราก็อาจจะหาทางออกได้ใช่ไหม? เธอไม่จำเป็นต้องคิดมากเกินไป นอกจากนี้ฉันมีแผนอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ต้องกังวล”
เขายิ้มอย่างอ่อนโยนเพื่อให้ไดอาน่าสบายใจ
ด้วยความเชื่อมั่นภายในตัวเขาช่วยทำให้เธอสบายใจขึ้น
ตอนนี้ความอันตรายที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าได้ผ่านพ้นไปแล้ว เขาสามารถรอให้เครื่องย้ายมิติหมดคูลดาวน์ลงสักสองสามวันแล้วออกจากเมืองด้วยความช่วยเหลือของฮันส์
“ฉันจะซ่อนฮันส์ไว้ใกล้ๆ นี้ พวกนั้นไม่สามารถจับเราได้หรอก แล้วเราก็จะแอบออกไปโดยไม่ให้พวกมันรู้!”
“ตอนนี้มันก็ดึกแล้ว ฉันจะเดินไปส่งพวกเธอที่บ้าน”
เขาอยากจะให้พวกเขาทั้งสองพักอยู่กับเขาด้วยเหมือนกัน แต่การกระทำดังกล่าวอาจทำให้เกิดความสงสัยที่ไม่จำเป็นได้
การรออีกเพียงสองสามวันไม่ใช่เรื่องใหญ่ และไม่ต้องการให้เกิดความเสี่ยงโดยไม่จำเป็นได้
หลังจากที่พาเด็กๆไปยังที่พักแล้ว เขาก็กลับมาที่พักคนเดียวและนอนลงบนเตียง
“ฉันอยู่ที่นี่นานกว่าที่คิด แต่เนื่องจากฉันเริ่มมันแล้ว ดังนั้นฉันจึงต้องทำให้เสร็จเรียบร้อย” เขาคิดขณะหลับตาและพยายามจะนอนหลับ
จากนั้นจู่ๆเขาก็สะดุ้งรู้สึกตัวขึ้น
"ฮึ!"
เขาตกใจกับความกดดันที่รู้สึกบนคอ จนต้องอ้าปากค้างแล้วลืมตาขึ้น
“อืม แปลกๆ แฮะ เขาดูน่าจะมีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุดนิ ฉันทำอะไรผิดพลาดรึเปล่า?”
แวมไพร์หน้าตาซีดเซียวที่สะท้อนในแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาจากหน้าต่างกำลังเอามือของมันกดลำคอของเขาไว้
ด้วยพละกำลังของอีกฝ่ายทำให้ไม่มีกำลังที่จะต้านทานได้เลย
"ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีสัญญาณชัดเจนที่มุ่งมาในทิศทางนี้จากป่า และโดยบังเอิญแวมไพร์ภายในเมืองตัวหนึ่งก็ถูกฆ่าตายไป"
แวมไพร์ตรวจสอบเขาอย่างใกล้ชิด ดมไปรอบๆ ตัวเขาและขมวดคิ้ว
“อย่างไรก็ตามฉันไม่สามารถสัมผัสได้ถึงร่องรอยของพลังแห่งความืดหรือแม้แต่กลิ่นอาขของญาติของฉันจากคนๆนี้ได้เลย มันเป็นเพียงความบังเอิญหรือเปล่า?”
ตอนี้เขาก็ตระหนักรู้ได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้ถูกเปิดเผยต่อฝ่ายตรงข้ามแล้ว รวมถึงเส้นทางของฮันส์ที่นำมาหาเขาด้วย
และเมื่อเห็นวิธีที่อีกฝ่ายสังเกตเขา เขาก็เข้าใจว่า'มันกำลังทดสอบฉันอยู่!'
ถ้ามันทดสอบเขา ก็แปลว่ามันไม่ได้มีความมั่นใจจริงๆ
เขาใช้ความแข็งแกร่งทางจิตใจทั้งหมดที่มีโดยใช้ “แยกจิต” และ “ดัชนีแห่งการตรัสรู้” เพื่อควบคุมจิตใจของตัวเอง
“ฉันไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดถึงอะไร ฉันแค่ตกใจที่จู่ๆ ก็ตื่นจากหลับ ฉันเป็นเพียงนักผจญภัยธรรมดาคนหนึ่งที่บังเอิญมาที่เมืองนี้เท่านั้น!”
แวมไพร์จ้องมองเขาครู่หนึ่งก่อนจะถอนสายตาออกไป ดูเหมือนมันจะเชื่อการปฏิเสธอย่างเด็ดขาดของเขา
“ฉันอาจจะทำอะไรผิดพลาดจริงๆ แล้วฉันผิดพลาดตรงไหนกัน?”
โชคดีที่ดูเหมือนการจ้องมองที่เด็ดเดี่ยวของเขาจะกลืนความสงสัยของมันลงไป
'บ้าเอ๊ย ฉันประเมินผู้ปกครองเมืองนี้ต่ำเกินไป!'
ตอนแรกเรื่องราวก็คลี่คลายไปได้สวยด้วยโชคช่วย แต่สุดท้ายเขาก็ถูกจับได้ในที่สุด
และตั้งแต่วินาทีที่มันจับคอเขาแน่นขึ้น เขาก็รู้ว่าการต่อต้านนั้นเป็นไปไม่ได้
“เขาแข็งแกร่งกว่าคนที่ฉันฆ่าในบาร์โคลรักอย่างมาก! ฉันต้องหาวิธีขจัดความเข้าใจผิดและออกจากสถานการณ์นี้ให้ได้”
อย่างไรก็ตามเนื่องจากถูกบีบที่คอ เขาจึงไม่สามารถเอ่ยคำแก้ตัวใดๆ ได้ และแวมไพร์ก็ดูเหมือนไม่ยอมปล่อยเขาไปเช่นกัน
“อืม… แต่ถึงอย่างนั้น ดูเหมือนจะมีบางอย่างเกี่ยวกับคุณอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นญาติของฉันก็ถูกฆ่าไปหนึ่งคน และคนๆนี้ก็ดูแข็งแกร่งมากเลยทีเดียว”
มันจ้องมองเขาราวกับกำลังพิจารณาอะไรบางอย่างอยู่ จากนั้นก็พลิกร่างอันแข็งทื่อของเขาอย่างรวดเร็วและเอาเขี้ยวอันแหลมคมของมันจ่อมาที่คอของเขา
“เราจะมีเวลาพูดคุยกันหลังจากนี้ มันสะดวกกว่าสำหรับเราทั้งคู่ เพราะคุณไม่อาจโกหกได้อีก”
ด้วยการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของอีกฝ่าย เขาก็รู้สึกได้ว่าเลือดของเขาถูกดูดออกไปเป็นครั้งที่สอง โดยมีสิ่งอื่นไหลตามเข้ามาอีกด้วย
'ทำไมทุกอย่างต้องกลายเป็นแบบนี้ตลอด!'
[ค่าสายพันธุ์ของคุณได้รับการเปลี่ยนเป็น 'แวมไพร์' คุณได้เรียนรู้ทักษะพิเศษ 'ความสัมพันธ์ของสายเลือด ']
[ความสามารถในการฟื้นฟูของคุณได้ก้าวข้ามขีดจำกัดแล้ว ทักษะ 'การฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว' ได้พัฒนาไปเป็น 'การฟื้นคืน']....
…………………..