ตอนที่แล้วบทที่ 14 บุกเดี่ยว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 16 ถูกจับได้

บทที่ 15 เพลิงผลาญแวมไพร์


บทที่ 15 เพลิงผลาญแวมไพร์

ในห้องใต้ดินมีประตูเหล็กตั้งอยู่หลายบาน และด้านหน้าประตูเหล่านั้นมีโต๊ะและเก้าอี้ตัวหนึ่ง

นอกจากนี้ กุญแจยังถูกเรียงไว้บนกล่องผนังด้วย

“ไม่มีใครเฝ้าเหรอ?”

เมื่อมองเข้าไปผ่านรูที่ประตูเหล็ก พบว่าห้องส่วนใหญ่ว่างเปล่า

ยกเว้นห้องหนึ่งที่มีคนอยู่คนหนึ่ง

เด็กชายตัวเล็กกำลังกอดเข่า และก้มหน้าอยู่ในมุมหนึ่ง

แม้จะสัมผัสได้ว่ามีใครบางคนกำลังมา แต่เขาก็ไม่สะดุ้งอะไรเลย

กริ๊งๆ!

เขาใช้กุญแจเปิดประตูเหล็กและเข้าไป และมองเห็นร่างกายเล็กๆ ที่กำลังสั่นเทิ้ม

“เอ่อ สวัสดี พี่สาวเธอส่งฉันมา เธอชื่อแอรอนใช่ไหม?”

เขาพูดเบาๆ จากระยะไกล และเด็กน้อยที่ร่างสั่นเทาก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น คราบน้ำตาปรากฏบนใบหน้าที่ดูแก่กว่าวัย คล้ายกับไดอาน่าอย่างมาก

“พี่สาวของผมงั้นเหรอ? จริงเหรอ...?”

“ใช่แล้ว ไดอาน่าเป็นห่วงเธอมาก รีบกลับบ้านกันเถอะ”

"ฮึด..สะอึก เออะ โฮๆๆ..."

เมื่อได้ยินชื่อของไดอาน่า แอรอนดูโล่งใจทันทีและเริ่มร้องไห้ออกมา

“ไม่เป็นไรนะ ใจเย็นๆ แล้วหยุดร้องไห้ ..ไปหาพี่สาวของเธอกันเถอะ”

"สะอึก สะอื้น...ได้ครับ"

เขาปลอบใจแอรอนโดยการและก้าวออกจากห้องไป

“เมื่อเราจะออกไปข้างนอกแล้วจะมีสิ่งน่ากลัวอยู่หลังประตู ดังนั้นหลับตาไว้นะแล้วเดินตามฉันมา เข้าใจไหม?”

"ดะ..ได้ครับ"

เขาคิดว่าสิ่งนี้ไม่ดีต่อจิตใจของเด็ก เขาจึงปิดตาแอรอนแล้วพาเขาออกจากห้องไป

"มีกลิ่นเหมือนแอลกอฮอล์..."

แอรอนพึมพำเบาๆ แต่ฉันแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ก็ดีกว่ากลิ่นเลือดไม่ใช่หรือ?

เมื่อก้าวออกจากทางเข้าสำนักงานใหญ่ของบาร์โคลรัก ไดอาน่าก็วิ่งมาอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าเธอกำลังเฝ้าดูอยู่จากที่ไกลๆ

"แอรอน!"

"พี่!"

หลังจากนั้นพี่น้องทั้งสองก็กอดกันแน่นและร้องไห้ออกมาเสียงดัง

เนื่องจากสถานการณ์มีความเร่งด่วน ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกเข้าไปขัดจังหว่ะพวกเขา

“เฮ้ เด็กๆ ขอโทษนะ แต่เราเลื่อนการร้องไห้ไปก่อนได้ไหม?”

“ฮึ่ย... ขอโทษทีค่ะลุง ขอบคุณที่ช่วยแอรอนไว้ แต่คุณไม่เป็นไรใช่ไหม คุณไม่ได้รับบาดเจ็บใช่ไหม?”

ไดอาน่าสงบลงในระดับหนึ่งและแสดงความขอบคุณขณะที่กอดแอรอนไว้

“ฉันไม่เป็นไร ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอก”

“แต่เสื้อผ้าของคุณมีเลือด…”

“ไม่หรอก มันไม่ใช่เลือดของฉัน”

นี่เป็นเรื่องโกหกอย่างแน่นอน

แต่เนื่องจากเขาสบายดีจริงๆ เขาจึงเปลี่ยนเรื่องทันที

“ยังไงก็ตามฉันยังมีธุระต้องทำ ไดอาน่าเธอพาแอรอนกลับบ้านไปเถอะ”

“อะไรนะ คุณจะไม่ไปกับพวกเราเหรอ?”

“ฉันจะจัดการให้เสร็จและตามหาคุณให้พบ จนกว่าฉันจะไปหาก็ทำตัวตามปกติ เข้าใจไหม? อ้อ! แล้วก็เอานี่ไป..เธอใช้มันได้ถ้าจำเป็น”

ไดอาน่ายื่นมือออกมารับเงินและสัมภาระบางส่วนที่เขามอบให้ เธอมองมาที่เขาครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มหัวราวกับว่าไม่มีทางเลือกอื่น แล้วกระซิบกับเขาว่า

“คุณ...คุณต้องกลับมาโอเคไหม..สัญญากับฉันสิ”

“ได้เลย ฉันจะกลับไปภายในสามวันอย่างแน่นอน ดังนั้นโปรดรออย่างอดทน และเมื่อเธอกลับไปแล้ว อย่าลืมย้ายไปที่ที่ไม่มีผู้คนอยู่ล่ะ”

เขายิ้มอย่างอ่อนโยนเพื่อปลอบสองพี่น้องและเดินเข้าไปที่ตรอกอีกครั้ง

การต่อสู้ที่แท้จริงกำลังจะเริ่มขึ้นตอนนี้

'ปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข'

สาเหตุที่พวกเขาลักพาตัวแอรอน

'มีแวมไพร์บางตัวสั่งให้จับตัวแอรอนไปโดยเฉพาะ'

เป็นข้อมูลที่ได้มาจากการสอบสวนก่อนจะสังหารสมาชิกก่อนหน้านี้

แน่นอนว่าพวกเขาไม่รู้ว่ามันเป็นแวมไพร์ พวกเขาคงคิดว่ามันเป็นคำสั่งจากบุคคลสำคัญเท่านั้น

'แล้วพวกเขาก็บอกว่ามันจะมาในคืนนี้'

ถ้ามันยังมีชีวิตอยู่ ปัญหาก็คงไม่คลี่คลายอะไร ดังนั้นเขาต้องฆ่ามันให้ได้

และไม่มีทางที่จะชนะโดยการเผชิญหน้าตรงๆได้ แต่โชคดีที่เขามีวัสดุบางอย่างที่จะทดลองใช้

“เฮ้อ...ต้องเตรียมตัวรับแขกหน่อยแล้ว”

ตอนนี้เวลาเหลือไม่มากแล้ว

….

ในค่ำคืนอันหนาวเหน็ด

เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ท่ามกลางความมืด

ในความเป็นจริงเขาไม่ได้คิดว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนที่วางไว้อย่างแน่นอน

เขาไม่ใช่นักวางแผนที่มีพรสวรรค์ และแผนที่คิดขึ้นอย่างเร่งรีบในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงจะได้ผลดีแค่ไหนกัน

“ฉันก็แค่ทำเท่าที่ทำได้ หลังจากนั้นก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคชะตาไปก็แล้วกัน”

เมื่อพิจารณาปัจจัยต่างๆ แล้ว เขาก็เชื่อว่ามีโอกาสสูงที่แผนจะสำเร็จ แต่ก็มีความเป็นไปได้ชัดเจนเช่นกันว่าสิ่งต่างๆ จะไม่เป็นไปตามแผน

"ถ้ามันมีปัญหา ฉันก็คงต้องดำเนินการตามแผนบี"

ในขณะทดี่เขาอยู่ในช่วงเวลาแห่งการรอคอยนั้น…

เขาก็รู้สึกว่ามีคนเปิดประตูเข้ามา เขาหันไปมองและรู้ว่าคนที่เขารอคอยได้มาถึงแล้ว

“อืม กลิ่นหอมจังนะ คุณตั้งใจเตรียมสิ่งนี้ไว้เพื่อต้อนรับฉันงั้นเหรอ ฉันชอบมากเลย”

แวมไพร์เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม

แต่หลังจากนั้นมันก็หยุดลงและจ้องมองเขาด้วยท่าทีแข็งกร้าว

“แต่ดูเหมือนว่าพวกอันธพาลพวกนี้จะเป็นคนที่ฉันเคยควบคุมอยู่นะ แกคงรู้ว่าแกทำอะไรลงไปใช่มั้ย”

จากการที่เขารอมาเป็นเวลานั้น เขาจึงดูเหมือนไม่มีความตั้งใจที่จะโจมตีทันที

เขายืนขึ้นเผชิญหน้ากับแวมไพร์

“ฉันเพิ่งมาที่เมืองนี้ไม่นานนี้เอง และคนพวกนี้พยายามหาเรื่องฉัน รู้ไหม..พอคิดดูแล้ว ฉันก็หงุดหงิดอย่างมาก”

“งั้นแกก็มาที่นี่โดยตั้งใจแล้วฆ่าพวกเขาทั้งหมดใช่ไหม? แต่ทำไมแกไม่วิ่งหนีและเลือกที่จะอยู่ที่นี่แทนล่ะ?”

“แกคงรู้ว่าพฤติกรรมที่ไม่ดีของสุนัขเป็นความผิดของเจ้าของใช่ไหม ฉันแค่อยากเห็นหน้าเจ้าของพวกมันสักครั้งก็เท่านั้น”

ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเชื่อหรือไม่ แต่เขาก็เผลอพูดเรื่องไร้สาระออกไป

“ใช่ แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ฉันขอให้พวกเขาทำ และดูเหมือนว่ามันจะทำให้เกิดปัญหาบางอย่าง”

"ดูเหมือนว่าฉันจะทำลายเรื่องดีๆของคุณโดยไม่ตั้งใจ"

“ใช่แล้ว และตอนนี้ถึงเวลาอาหารของฉันแล้ว”

อีกฝ่ายจ้องมองไซนซืราวกับว่ากำลังมองคำตาย และพูดต่อไปอย่างใจเย็น

"แล้วแกซ่อนเด็กนั่นไว้ที่ไหน?"

บ้าเอ้ย เขาโดนจับได้งั้นหรอ?

“ฉันจัดการกำจัดพวกนั้นได้แล้ว และเห็นมีเด็กติดอยู่คนหนึ่ง ฉันจึงปล่อยเขาไปโดยพละการ แต่ทำไมคุณถึงตามหาเด็กคนนั้นล่ะ?”

เขาคิดที่จะปฏิเสธ แต่เพราะเขาแน่ใจแล้วว่ามันจะไม่เชื่อ

แทนที่จะทำเช่นนั้น เขาจึงพยายามสืบหาอย่างแนบเนียนว่าอีกฝ่ายทำไมถึงต้องการแอรอน

อีกฝ่ายดูเหมือนเป็นคนที่ชอบคุยโอ้อวด และการพูดคุยเป็นกันเองอาจทำให้อีกฝ่ายหลุดอะไรออกมาก็ได้

“อืม ไม่มีเหตุผลพิเศษอะไรเป็นพิเศษ ฉันแค่ชอบเลือดของเด็กๆ เลยบังเอิญไปเจอเด็กที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งออกมาจากร้านขายยา ฉันเลยบอกให้พวกเขาไปเอาเด็กคนนั้นมาให้ฉัน”

นั่นแหละคือเหตุผล

แม้ว่าไดอาน่าจะมีความสามารถในการหลีกเลี่ยงอันตราย แต่ก็ยังต้องมีข้อจำกัดอยู่

ยิ่งกว่านั้นเมื่อพิจารณาถึงสภาพของแอรอนในร้านขายยาก็ยากที่จะป้องกันแล้ว

“เฮ้อ... ยังไงก็ตาม พรุ่งนี้ฉันคงต้องให้คนอื่นจับเขาให้ได้ และตอนนี้ฉันคงต้องเล่นกันแกก่อน”

เมื่อคำพูดจบลง ก็มีเส้นสีแดงเข้มเริ่มบินออกจากปลายนิ้วของอีกฝ่าย มุ่งเป้าไปที่แขนขาของเขา

“หือ..?”

เขายังคงมีความระวังตัวอยู่ตลอดการสนทนา แต่แทบไม่สามารถโต้ตอบหรือหลบเลี่ยงได้

จากนั้นเขาก็รีบดึงอาวุธออกมาและพุ่งเข้าหาแวมไพร์

กริ๊ง!

มีดที่ฟันออกไปถูกป้องกันโดยเล็บสีแดงที่กำลังยาวขึ้น

ในไม่ช้า เล็บอีกอันที่แกว่งไปมาก็เฉือนหน้าท้องของเขา และฉีกเกราะที่ขาดรุ่งริ่งจากการต่อสู้ครั้งก่อนออกไป

“โอ้.. เกือบฉีกแกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ร่างกายของแกแข็งแกร่งกว่าที่ฉันคิดไว้นะ”

‘อ๊าา ต้องระวังเป็นพิเศษแล้ว เล็บของมันกลับสามารถเกราะของฉันได้!’

เขาก้มเอวลงเพื่อหลบกรงเล็บอันแหลมคมที่พุ่งเข้ามาหาอีกครั้ง

ทันใดนั้นเส้นสีแดงก็พุ่งเข้ามาห่างจากใบหน้าของเขาเพียงไม่กี่นิ้วเท่านั้น

โครม!

เขาสามารถหลบเลี่ยงการโจมตีขณะที่กลิ้งไปบนพื้นได้ แต่เขาก็รู้สึกเย็นวาบไปทั่วกระดูกสันหลัง

“จุ๊ๆ แกค่อนข้างคล่องแคล่วมากเลยนะ”

โชคดีที่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ตั้งใจฆ่าเขาทันที โดยอาจวางแผนที่จะดื่มเลือดของเขาในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ก็ได้

แน่นอนว่านี่ก็ไม่หมายความว่าเขาจะได้เปรียบ

แกร้ง!

เขาฟันดาบออกไป แต่ก็ถูกอีก่ายป้องกันได้อย่างง่ายดาย

ในเวลาเดียวกัน เลือดที่พุ่งออกมาจากเล็บของมันก็บาดเข้าที่ร่างกายของเขา

มันดูเหมือนพยายามจะทำให้เขาเคลื่อนไหวไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ยอมล้มลงง่ายๆ

แม้ว่ามีดของเขาจะถูกปัดออกไปอีกครั้ง เขาจะยังคงถือมันไว้แน่น

“การฟื้นตัวของแกน่าประทับใจมาก นี่กลายเป็นว่าแกเป็นอาหารอันน่าอร่อยที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมา ฉันชักจะตั้งหน้าตั้งตารอคอยมันแล้ว”

ความแตกต่างในความสามารถทางกายภาพ เล็บสีแดงที่คมกริบ และเส้นเลือดที่แกว่งไปมา เป็นสิ่งที่เขาไม่อาจต่อสู้ด้วยได้

ถ้ามันไม่วางแผนจะจับเขาไว้เป็นๆ เขาคงกลายเป็นศพไปนานแล้ว

“ความดื้อรั้นของแกค่อนข้างมากนะ เช่นั้นแม้ว่าจะมีความสูญเสียบางอย่าง ฉันก็ต้องจัดการแกให้ได้”

การโจมตีของมันทวีความรุนแรงมากขึ้น เล็บสีแดงฟาดเร็วขึ้นและคมขึ้น

"อ๊าก!"

เขาสามารถต้านทานมันเท่าที่จะทำได้ด้วยมีดของเขา แต่…

ด้วยความสามารถของเขา มันเป็นไปไม่ได้ที่จะป้องกันการโจมตีของมันได้ทั้งหมด และในที่สุด…

ฉับ!

แม้ว่าเขาจะ "แข็งแกร่ง" แต่แขนขวาที่ถือมีดของเขาก็ถูกตัดขาด

“แขนขวาของฉันถูกตัดไปอีกแล้ว แต่ไม่เป็นไรแล้ว..ทุกอย่างมันจบแล้ว”

เขาคิดอย่างไม่ใส่ใจ แล้วเปิดฉากโจมตีเขาเป็นครั้งสุดท้ายอย่างหมดหวัง

ฉึบ!

และแขนของแวมไพร์ก็ทะลุเข้าที่หน้าอกของเขา

“นี่มันอะไร แกส่งอาหารมาให้ง่ายๆ อย่างนี้เหรอ บริการของแกน่าประทับใจจริงๆ ฉันจะมาใช้บริการนี้บ่อยๆ นะ แน่นอนว่าถ้าแกยังมีชีวิตอยู่ล่ะนะ”

แวมไพร์พูดออกมา จากนั้นก็กัดเขี้ยวอันแหลมคมของมันเข้าที่คอของเขา

เขายิ้มอย่างขมขื่นโดยไม่สนใจความรู้สึกที่เลือดของตัวเองถูกดูดไปเป็นครั้งแรก

“คุณลูกค้า ดูเหมือนจะใจร้อนไปหน่อยนะ ฉันเตรียมบริการอันร้อนแรงไว้ให้คุณเป็นลูกค้าคนแรก ดังนั้นได้โปรดเพลิดเพลินไปกับมันให้เต็มที่”

ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็เปิดใช้งานอุปกรณ์เวทย์รูปวงแหวนที่เขานซ่อนไว้ในปาก

วูบ!

ประกายไฟพุ่งออกมา และร่างกายของเขาก็ลุกเป็นไฟ

แวมไพร์ที่ติดอยู่กับเขาก็ยังถูกไฟไหม้ด้วยเช่นกัน

"อ๊าก! ให้ตายเถอะ แกบ้าไปแล้ว!"

มันพยายามจะสลัดเขาออก แต่เขากลับเกาะยึดมันไว้แน่นเหมือนปลิงด้วยแขนที่เหลือและขาทั้งสองข้าง

เขารู้สึกถึงแขนของมันที่แทงทะลุร่างกายของเขา และฉีกอวัยวะต่างๆ ของเขาออกไป รวมถึงหัวใจด้วย

ขณะที่มันไม่สามารถดึงเขาออกได้แม้จะฉีกร่างด้านแขนซ้ายของเขาออกไปแล้ว มันจึงเอื้อมมือมาจับขาของเขาเพื่อตัดมันออก

'แต่มันสายเกินไปเสียแล้ว'

เขาได้เตรียมการแผนตายร่วมกันก่อนที่มันจะมาถึงแล้ว

เขาวางถังน้ำมันที่พบในห้องครัวและโกดังไว้ทั่วบริเวณด้านนอกและซ่อนไว้ใต้โต๊ะและใต้บันใดภายในห้อง

แม้ว่ากลิ่นเลือดจะแรงมาก แต่หากกลิ่นน้ำมันกระจายออกไปอย่างเปิดเผยก็จะแจ้งเตือนแวมไพร์ได้ เขาจึงเริ่มการต่อสู้ในขณะที่ทุบถังน้ำมันไปด้วย

แม้ว่ามันอาจจะได้กลิ่นน้ำมันระหว่างการต่อสู้ แต่จะมีใครให้ความสนใจกับเรื่องนี้ล่ะ?

เขาใช้น้ำมันจำนวนเล็กน้อยผสมในกลิ่นเลือด แล้วต่อถังน้ำมันที่วางห่างกันเหมือนฟิวส์

วูบ!

บูม!

เปลวไฟที่ลุกลามจากตรงกลางไปสัมผัสกับถังน้ำมันที่อยู่รอบบริเวณ ทำให้เกิดการระเบิดเป็นลูกโซ่

อาคารทั้งหมดถูกไฟไหม้เหมือนกับกองไฟขนาดใหญ่

‘โอ้ ยอดเยี่ยมมาก’

เมื่อแขนขาของเขาถูกฉีกออกไปหมด เขาก็กัดไหล่ของแวมไพร์ด้วยฟันและแขวนคอตายอยู่ตรงนั้นอย่างสงบ พร้อมกับเพลิดเพลินไปกับปรากฏการณ์นี้

แม้แต่ในร่างกายของเขาที่กังโอบกอดมันอยู่ก็มีขวดน้ำมันอยู่หลายขวด และเมื่อหน้าอกของเขาถูกเจาะ น้ำมันก็ซึมซาบเข้าสู่ร่างกายของเขา ทำให้เขากลายเป็นคบเพลิงที่มีชีวิต

'จากนั้นเขาก็จุดไฟด้วยอุปกรณ์จุดไฟแบบพิเศษ'

เขาจงใจเก็บมันไว้ในปากเพราะกลัวว่าเมื่อเสียแขนที่ติดตั้งอุปกรณ์จุดไฟนี้ไปจะเป็นปัญหา

"อ๊ากกกกกก!"

เขาตกบนพื้นในขณะที่ร่างแวมไพร์ที่กำลังภูกเผาไหม้ ยังคงเรืองแสงและถูกเผาไหม้ต่อไป

บางทีดวงตาของเขาอาจได้รับความเสียหายจากไฟที่รุนแรง จนไม่สามารถมองเห็นอะไรอยู่ข้างหน้าเขาได้

บู้ม!

เสียงเปลวไฟที่ระเบิดดังสนั่นไปทั่วบริเวณ

แม้จะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ แต่พลังชีวิตอันเหนียวแน่นของเขาก็ยังคงเหลือลมหายใจเฮือกสุดท้ายไว้ให้เขาอยู่

‘ยังดีที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน’

ถือว่าโชคเข้าข้างเขาในหลายๆ ด้าน

แม้การต่อสู้จะพิสูจน์ได้ว่าแวมไพร์นั้นแข็งแกร่งกว่าเขาอย่างมาก แต่มันก็แค่นั้น

มันใช้แค่ความสามารถทางกายภาพที่เหนือกว่าและเลือดเป็นอาวุธ แต่มันไม่สามารถใช้เวทมนตร์พิเศษใดๆ ได้เลย

มันคงเป็นแวมไพร์ที่อ่อนแอที่สุดอย่างแน่นอน

'และด้วยสิ่งนี้ มันก็ไม่สามารถรอดชีวิตจากเพลิงไหม้ครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน'

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไฟถือเป็นจุดอ่อนประการหนึ่งของแวมไพร์

ตุบ!

แก้วหูของเขาที่ยังพอได้ยินบ้างเพราะความสามารถในการฟื้นฟูของตัวเอง ก็หยุดทำงานเมื่อได้ยินเสียงแวมไพร์ล้มลง

ตอนนี้สิ่งเดียวที่เขารู้สึกได้คือความร้อนและความสั่นสะเทือนของอาคารแห่งนี้

ตอนนี้เขาถือว่ากำจัดแวมไพร์ที่สั่งลักพาตัวแอรอนและจัดการปัญหาในอนาคตของสองพี่น้องได้แล้ว

ในตอนแรกเขาก็ยังมีความกังวลอยู่

เพราะในความเป็นจริงสิ่งที่เขากังวลมากที่สุดคือแวมไพร์จะไม่เข้ามาในอาคาร

หากแวมไพร์ซึ่งไวต่อกลิ่นของเลือด ได้สังเกตเห็นความวุ่นวายภายในอาคารแล้วหันกลับไปหรือเรียกคนอื่นๆ จากภายนอกมา แผนดังกล่าวนี้ก็คงจะล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่เริ่มเสียด้วยซ้ำ

'ฉันต้องปล่อยให้เรื่องนั้นขึ้นอยู่กับโชคโดยสิ้นเชิง แต่โชคดีที่มันมั่นใจในตัวเองอย่างมาก'

ท้ายที่สุดแล้ว ความประมาทคือศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตนเองไม่ใช่หรือ?

มันกลายเป็นโอกาสสำหรับเขาที่จะมองย้อนกลับไปดูตัวเองและตรวจสอบให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้นิ่งนอนใจและหลงใหลต่อความสามารถที่เรียกว่า "อวตาร" นี้

'และนี่อาจเป็นโอกาสที่ดีในการทดลองว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากอวตารตายจริงๆ เนื่องจากฉันไม่สามารถเข้าใจมันได้อย่างถูกต้องในตอนที่ฮันส์ตาย... แต่ตอนนี้ฉันสามารถสัมผัสได้ด้วยตัวเองแล้ว'

จริงๆ แล้ว ถือเป็นความโชคดีที่เขารอดชีวิตมาได้จนถึงตอนนี้โดยที่หัวใจของเขาถูกทำลายไปด้วยสิ้นเชิง

พร้อมกับ "ความแข็งแกร่ง" และ "การฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว" ก็ได้กินพลังชีวิตสุดท้ายของเขาไป

เมื่อรู้สึกถึงแรงกระแทกของเศษซากที่ตกลงมาบนร่างกาย เขาก็สัมผัสได้ถึงจุดสิ้นสุดของชีวิต

'ยังไงก็ตาม มันก็สนุกดีเหมือนกันนะ และภารกิจ: 'ช่วยเด็กสาวผู้โชคร้ายตามหาน้องชายของเธอ'...ก็ถือว่าสำเร็จแล้ว...'

วูบ

โครม!

ด้วยเหตุนี้ ไฮนซ์จึงพบจุดจบในโลกนี้เคียงข้างแวมไพร์ตัวนั้น….

…………………

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด