บทที่ 145: ห้ามทิ้งข้า!
“ฮึ! ข้าเองก็คิดว่าสิ่งที่เจ้าเอ่ยปากสัญญาไปเมื่อกี้นี้ดูค่อนข้างจะใจกว้างมากไปเสียหน่อย” เจ้าส้มพูดอย่างสบายอารมณ์ แล้วเติมเชื้อไฟลงในกองเพลิง “เจ้าจะเสียใจทำไม?”
“เจ้าส้ม! เจ้าจะทำเกินไปแล้ว!” มู่ไป๋ไป่จ้องเจ้าแมวอ้วนเขม็ง “เป็นเพราะเมื่อวานข้าไม่ช่วยเจ้าหรือ? ทำไมเจ้าถึงยังแค้นใจจนถึงวันนี้?”
“ข้าไม่เคยแค้นใคร!” เจ้าส้มร้องเสียงดัง “มันก็เป็นเพียงแค่สุนัขขี้เรื้อน คิดหรือไงว่าแมวตัวนี้จะไม่สามารถเอาชนะมันได้!”
“เจ้าตัวโตเป็นหมาป่า ไม่ใช่สุนัขธรรมดา” เด็กหญิงตอบกลับไปเสียงนิ่ง “นอกจากนี้ ข้าไม่เห็นขนบนก้นของเจ้าแล้ว”
“แง้ววว! มู่ไป๋ไป่ มันจะมากเกินไปแล้ว!” จู่ ๆ แมวส้มก็โมโหขึ้นมา “เจ้าอยากตัดขาดกับข้าใช่หรือไม่?”
“เอาล่ะ ๆ ข้าแค่ล้อเล่น” คนตัวเล็กหยิบขนมที่มู่จวินฝานเอามาฝากเธอขึ้นมาและยื่นให้กับอีกฝ่าย “นี่คือขนมที่ท่านพี่รัชทายาทเอามาจากวังหลวง”
เจ้าส้มรับขนมมากลืนลงท้องในคำเดียว ก่อนจะยอมนั่งลงแล้วจ้องมู่ไป๋ไป่นิ่ง “อย่าคิดว่าเจ้าจะใช้ขนมชิ้นเล็ก ๆ พวกนี้มาหลอกล่อข้าได้”
“ข้าบอกเจ้าไปแล้วว่าเรื่องในครั้งนี้ข้าจะจำไปจนวันตาย!”
“ไหนเจ้าบอกว่าไม่ได้แค้นข้าไง” มู่ไป๋ไป่อดหัวเราะไม่ได้ในขณะที่เธอพูดแหย่มัน
“แง้ว! ใครพูดตอนไหน!” บัดนี้เจ้าส้มรู้สึกเหมือนกำลังจะระเบิด
เด็กหญิงรีบปลอบใจมันทันที “ไม่เป็นไร ๆ ข้ายอมรับเลยว่าแมวหลวงอย่างเจ้าใจกว้างที่สุด แล้วคราวนี้เจ้าจะเดินทางไปกับข้าหรือไม่?”
“เจ้าคิดว่าเจ้าจะสลัดข้าทิ้งไปได้ง่าย ๆ อย่างนั้นหรือ?” เจ้าส้มพูดพลางกลอกตามองบน “แล้วถ้าเจ้านำสัตว์ไปด้วยมากมายขนาดนี้ ใครจะดูแลพวกมันแทนเจ้าหากข้าไม่ได้อยู่ด้วย”
“มู่ไป๋ไป่ อย่าลืมนะว่าเจ้าสัญญากับมู่เทียนฉงแล้วว่าจะเป็นทาสของข้าไปตลอด เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ทิ้งข้า!”
ฝ่ายที่ได้ยินแทบจะพ่นชาออกจากปาก เธอเพียงแค่ขอเจ้าส้มมาจากมู่เทียนฉง ไม่ได้บอกว่าจะเป็นทาสของมันเสียหน่อย
แต่ในโลกของแมว มนุษย์ก็คือทาสของมันนั่นเอง
“เอาเถอะ ๆ” มู่ไป๋ไป่พยักหน้าให้ความมั่นใจแก่อีกฝ่าย “ข้าไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า คืนนี้เจ้าก็รีบนอนพักผ่อนเก็บแรงเอาไว้ พรุ่งนี้เราจะต้องขี่ม้ากันตลอดทั้งวัน”
“ถ้าเจ้าเผลอหลับไป ข้าคงคว้าตัวเจ้าไว้ไม่ทัน เพราะตัวเจ้าหนักขึ้นอีกแล้ว”
ทันทีที่เด็กหญิงพูดจบ เธอก็รีบเผ่นออกจากห้องไปอาบน้ำก่อนที่เจ้าส้มจะทันได้ประมวลผลคำพูดของเธอ
คราวนี้เธอจะต้องออกเดินทางอย่างกะทันหัน และเสิ่นจวินเฉาก็บังเอิญเดินทางไปยังเมืองใกล้เคียงเพื่อตรวจสอบร้านค้าของตัวเองอีกครั้ง เธอจึงไม่ได้บอกลาเขาด้วยตัวเอง ดังนั้นเธอจึงเขียนจดหมายแล้วสั่งให้คนรับใช้มอบมันให้กับเด็กชาย
วันรุ่งขึ้นก่อนที่ฟ้าจะสาง มู่ไป๋ไป่ได้นำสัตว์ป่าหลายสิบตัวเดินออกนอกเมือง
หากมีคนที่ตื่นอยู่ในเวลานี้ พวกเขาจะได้เห็นกลุ่มสัตว์ดุร้ายเดินล้อมเด็กคนหนึ่งมุ่งหน้าออกจากเมืองอย่างเป็นระเบียบ
“ในระหว่างทางพวกเจ้าควรจะซ่อนอยู่ในป่าเอาไว้ตลอดเวลา” มู่ไป๋ไป่กระซิบบอกให้พวกมันระวังตัว “อย่าไปเผลอทำให้คนตกใจเข้าล่ะ”
“ถ้ามีใครได้รับบาดเจ็บหรือตกอยู่ในอันตรายก็ให้รีบมาบอกข้า”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ ท่านจ้าวอสูร”
หลังจากตอบรับคำสั่งของคนตัวเล็ก สัตว์ดุร้ายหลายสิบตัวก็แยกย้ายกันหายเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว
“ท่านจ้าวอสูร ท่านเองก็รักษาตัวด้วย” เจ้าตัวโตยังคงนั่งอยู่ที่จุดเดิม มันมองมู่ไป๋ไป่ในขณะที่พูดว่า “ข้าจะไปเฝ้าผลเพลิงสีชาดบนเขาให้ท่าน รอท่านกลับมาเก็บมัน”
“อืม ขอบคุณเจ้ามากเจ้าตัวโต” มู่ไป๋ไป่คุกเข่าลงลูบหัวหมาป่าสีเทา “เจ้าเองก็ต้องระวังตัวให้ดี อย่าให้ใครมาจับตัวเจ้าไปได้อีกล่ะ”
“ถ้าข้าไม่ได้อยู่ที่นี่ คงจะไม่มีใครช่วยเจ้าได้ทันเวลาเช่นคราวก่อน”
เจ้าตัวโตก้มหน้าลงพร้อมกับตอบรับเสียงแผ่วเบา
เมื่อหมาป่าสีเทาได้ยินเสียงกีบม้าดังมาจากข้างหลัง มันก็ก้าวถอยหลังไปโค้งตัวทำความเคารพผู้เป็นนายก่อนจะออกตัววิ่งมุ่งหน้าไปยังวัดฮู่กั๋ว
หลังจากนั้นไม่นาน มู่จวินฝานก็ปรากฏตัวพร้อมกับคนของเขา
“ไป๋ไป่ ทำไมเจ้าถึงมาเร็วขนาดนี้?” เด็กหนุ่มมองไปยังคนตัวเล็กที่กำลังอุ้มเจ้าส้มเอาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะถามอย่างประหลาดใจ “ข้าคิดว่าเจ้าจะยังไม่ตื่นเสียอีก”
“ท่านพี่รัชทายาทยอมเลื่อนกำหนดการเพื่อรอข้า แล้วข้าจะนอนตื่นสายได้อย่างไร” มู่ไป๋ไป่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เราออกเดินทางกันเถอะ!”
“ตกลง” เมื่อมู่จวินฝานเห็นว่าน้องสาวดูกระตือรือร้นมากเพียงใด เขาก็ส่ายหัวด้วยความเอ็นดู ก่อนจะก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับยื่นมือออกไปหานาง “มาสิ เจ้ามานั่งม้ากับพี่”
มู่ไป๋ไป่ย่อมตอบตกลงเพราะเธอขี่ม้าไม่เป็นและยังตัวเล็กอยู่ ถ้าเธอนั่งกับเขา เธออาจงีบหลับระหว่างทางได้ด้วย
เด็กน้อยจึงคว้าจับมือของพี่ชายแล้วปีนขึ้นไปบนม้าตัวสูง
ม้าตัวนี้มีสีดำล้วนและดูแข็งแกร่ง เธอมองดูมันอย่างสงสัยพลางอดไม่ได้ที่จะสัมผัสหัวม้าเบา ๆ
“ท่านจ้าวอสูร” เสียงทุ้มต่ำอันไพเราะดังขึ้น “เป็นเกียรติของข้าที่ได้ช่วยเหลือท่าน”
ใช่ เสียงของม้าตัวนี้ฟังดูไพเราะเลยทีเดียว
“มีอะไรหรือ?” มู่จวินฝานเห็นว่ามู่ไป๋ไป่ไม่ยอมปล่อยมือสักที เขาจึงถามขึ้น “เจ้าชอบมันหรือ? หลังจากที่เราจัดการธุระเสร็จและกลับวังหลวงแล้ว เอาไว้ข้าจะเลือกม้าให้เจ้าสักตัว”
เด็กหญิงจินตนาการว่าตัวเองจะดูสง่างามมากเพียงใดในยามที่อยู่บนหลังม้า ก่อนจะพยักหน้าอย่างมีความสุข “เพคะ”
“น้องพี่ เด็กคนนั้นใช่จื่อเฟิงที่เจ้าเคยพูดถึงหรือไม่?” มู่จวินฝานมองไปที่เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่บนพื้น จากนั้นเขาก็ถามอีกฝ่ายว่า “เจ้าขี่ม้าได้หรือไม่?”
จื่อเฟิงไม่ตอบ เขาเพียงแค่กระโดดขึ้นไปบนม้าสีน้ำตาลแดงตัวใหญ่ที่อยู่ด้านข้าง ซึ่งการเคลื่อนไหวของเขานั้นดูปราดเปรียวและชำนาญมากจนมู่จวินฝานกับอวี้เซิ่งอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากชม
“นี่ จื่อเฟิง ท่านขี่ม้าเป็นด้วยหรือ?” พอมู่ไป๋ไป่เห็นว่าจื่อเฟิงดึงหลัวเซียวเซียวขึ้นไปบนหลังม้า เธอก็รู้สึกประหลาดใจมากเช่นกัน
แต่หลังจากที่อยู่ด้วยกันมันนาน เธอก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ได้ตื้นเขินเหมือนที่เห็น
ยกตัวอย่างเช่น แม้ว่าจื่อเฟิงจะเป็นคนตะกละ แต่เขาก็เป็นคนที่มีมารยาทบนโต๊ะอาหารที่ยอดเยี่ยม
การกระทำของเขาบอกได้ชัดเจนว่านี่ไม่ใช่การขี่ม้าครั้งแรกของเขา
พอคิดเช่นนี้เธอก็รู้สึกว่าตัวตนของเด็กหนุ่มคนนี้ดูเหมือนจะลึกลับมากยิ่งขึ้น
“ใช่” จื่อเฟิงพยักหน้าตามความจริง “แต่ข้าเองก็จำไม่ได้ว่าเมื่อไหร่”
“น้องชาย ฝีมือของเจ้ายอดเยี่ยมมาก” มู่จวินฝานกล่าวชื่นชมอีกฝ่าย
“ฮี่ ๆ ถูกต้อง นี่เป็นคนที่ข้ายอมรับเชียวนะ” มู่ไป๋ไป่รู้สึกภาคภูมิใจยิ่งกว่าตัวเองถูกชมเสียอีก
“เอาล่ะ ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว เริ่มออกเดินทางกันได้” มู่จวินฝานยกแส้ขึ้นมาแล้วพุ่งทะยานออกไปราวกับลูกศร
ส่วนคนอื่น ๆ ก็ตามมาด้านหลังติด ๆ
ขณะนี้แสงยามเช้าสาดส่องบนขอบฟ้า พร้อมกับที่แสงสีส้มค่อย ๆ ย้อมท้องฟ้าสีหม่น กลุ่มของมู่จวินฝานมุ่งหน้าหายไปในเส้นขอบฟ้าสีส้มอย่างไร้ร่องรอย
ข้างหลังพวกเขา ในป่า 2 ข้างทางมีสัตว์ป่าดุร้ายหลายสิบตัวกำลังวิ่งตามอย่างเป็นระเบียบ
“น่าสนใจ น่าสนใจ” เซียวถังอี้ที่นั่งอยู่บนกิ่งไม้มองดูผู้คนหายลับจากสายตาในขณะที่มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย
เขาที่เพิ่งทำธุระเสร็จบังเอิญผ่านมาทางนี้พอดี ใครจะไปคาดคิดว่าตนจะได้พบเห็นเหตุการณ์เช่นนี้
เด็กน้อยคนนั้นชอบจุ้นจ้านมากจริง ๆ นางได้ไปสร้างความยุ่งยากมากมายในศาลาหมื่นอสูร และตอนนี้ดูเหมือนว่านางจะกำลังติดตามมู่จวินฝานไปยังชายแดนอีก
“นายท่าน… มีจดหมายจากฝ่าบาทรับสั่งให้ท่านไปพบพระองค์ที่วังหลวงขอรับ”
องครักษ์คนหนึ่งคุกเข่าลงเงียบ ๆ อยู่ด้านหลังเขา
“หืม?” เซียวถังอี้บิดคอไปด้านข้างด้วยท่าทางเกียจคร้าน “เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีเรื่องอะไร?”
องครักษ์เหลือบมองคนถามแล้วพูดอย่างลังเลว่า “เมื่อเช้านี้ในท้องพระโรงมีขุนนางคนหนึ่งถวายฎีกาเรื่องการแต่งงานของท่าน…”
“เขายังได้ส่งภาพวาดของสตรีที่ถึงวัยออกเรือนมาให้หลายภาพด้วยขอรับ…”
“...” เด็กหนุ่มที่ได้ยินดังนี้ยังคงนิ่งเงียบ
“นายท่าน?” เมื่อองครักษ์เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบ เขาก็เงยหน้าขึ้นก่อนจะเห็นว่าผู้เป็นนายยังคงยืนอยู่ตรงหน้า
“เจ้ากลับไปทูลฝ่าบาทว่าที่ชายแดนอาจจะมีการเปลี่ยนแปลง ข้าจะไปตรวจสอบแทนพระองค์เอง”
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: เอาล่ะ ไปชายแดนกันครบแก๊งเลยทีนี้ ความบันเทิงบังเกิดแน่นอน 555555