บทที่ 143: ลูกยินดีที่จะไปแทนเสด็จพ่อ
มู่จวินฝานพยักหน้าน้อย ๆ แล้วหยิบฎีกาขึ้นมาอ่าน หลังจากนั้นคิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากัน
ค้นพบที่ซ่องสุมของสายลับแคว้นหนานซวนในเมืองหลวงอย่างนั้นหรือ?
ทำไมเขาไม่เคยได้ยินข่าวนี้มาก่อน?
“องค์รัชทายาท เจ้ามีความคิดเห็นว่าอย่างไร?” มู่เทียนฉงเอ่ยถามขณะเดินลงมาจากบัลลังก์มังกร เขาดูสูงกว่ามู่จวินฝาน แม้ว่า 2 พ่อลูกจะมีหน้าตาคล้ายคลึงกัน แต่บรรยากาศรอบกายของพวกเขาค่อนข้างแตกต่างกันมาก
คนหนึ่งดูทรงอำนาจและเย็นชา ส่วนอีกคนดูอบอุ่นอ่อนโยนและรักษาอากัปกิริยาตัวเองได้ดี
“ทูลเสด็จพ่อ การกระทำของแคว้นหนานซวนสืบเนื่องมาจากความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดน” เด็กหนุ่มนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบอย่างจริงจังว่า “กระหม่อมขอทูลถามว่ามีจดหมายจากชายแดนส่งกลับมาบ้างหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
มู่เทียนฉงมองบุตรชายตรงหน้าอย่างชื่นชมในขณะที่ตอบว่า “ไม่มีแม้ฉบับเดียว”
“ไม่มีสักฉบับ…” มู่จวินฝานนิ่งคิดไปอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวว่า “เสด็จพ่อ การที่แคว้นหนานซวนส่งคนมากมายลอบเข้ามาในครั้งนี้คงไม่ได้ตื้นเขินอย่างที่เห็น”
“เนื่องจากบริเวณชายแดนไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ ถือได้ว่าเรื่องนี้ผิดปกติมาก”
“บางที…”
บางทีกลุ่มคนที่อยู่ชายแดนอาจจะสมรู้ร่วมคิดกับแคว้นหนานซวน หรือบางทีกลุ่มคนที่อยู่ชายแดนก็อาจจะถูกแคว้นหนานซวนตบตาเช่นกัน ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นั่นก็ไม่เป็นผลดีกับแคว้นเป่ยหลงทั้งสิ้น
มู่จวินฝานไม่ได้ตอบอะไรออกไป แต่มู่เทียนฉงก็เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย
“องค์รัชทายาทมีความคิดเช่นเดียวกับเรา” มู่เทียนฉงมองลูกชายด้วยสายตาลึกซึ้ง “เพราะฉะนั้นเราต้องการใครสักคนเดินทางไปยังชายแดนและสืบสวนเรื่องนี้ให้เรา”
เมื่อมู่จวินฝานได้ยินดังนี้ เขาก็เข้าใจเจตนาที่ผู้เป็นพ่อเลือกตนมาเข้าเฝ้า เขาจึงคุกเข่าลงทันทีพร้อมกับพูดว่า “ลูกยินดีที่จะเดินทางไปยังชายแดนพ่ะย่ะค่ะ”
“ดีมาก” มู่เทียนฉงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “เราคิดเรื่องนี้มานานแล้ว และเจ้าก็คือตัวเลือกที่เหมาะที่สุดที่จะเดินทางไปยังชายแดนในครั้งนี้”
“น้องรองของเจ้าอาศัยอยู่ที่ชายแดนมาตั้งแต่ยังเด็ก เขามีส่วนพัวพันใกล้ชิดกับเรื่องนี้มากจนเกินไป เราจึงไม่อาจวางใจให้เขาเป็นคนสืบสวนได้”
“น้องสามของเจ้า… ร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก หลายปีที่ผ่านมาเขาถูกเลี้ยงดูอยู่นอกวังหลวง ข้าจึงไม่อาจวางใจให้เขามาจัดการเรื่องภายในราชสำนักได้”
“องค์รัชทายาท คราวนี้คงต้องลำบากเจ้าแล้ว”
“การเดินทางจากเมืองหลวงไปสู่ชายแดนอาจมีอันตรายรายล้อม ให้เจ้าพาอวี้เซิ่งไปด้วย เขามีวรยุทธสูงย่อมสามารถปกป้องเจ้าได้”
“ตอนนี้อวี้เซิ่งกำลังทำหน้าที่ปกป้องไป๋ไป่อยู่ที่วัดฮู่กั๋ว ให้เจ้าเตรียมตัวออกเดินทางทันทีและไปพบเขาที่นอกเมือง”
“พ่ะย่ะค่ะ!” ในเวลาเดียวกัน มู่จวินฝานก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้และพูดด้วยสีหน้าลังเลว่า “เสด็จพ่อ ก่อนที่กระหม่อมจะไป กระหม่อมไปที่วัดฮู่กั๋วเพื่อพบไป๋ไป่ก่อนได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
เขาต้องเดินทางไปชายแดนและไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อไหร่
เขาอยากไปบอกลามู่ไป๋ไป่ด้วยตนเองก่อนที่จะออกเดินทาง
มู่เทียนฉงรู้ว่ามู่จวินฝานกับมู่ไป๋ไป่นั้นสนิทกันมากเพียงใด ดังนั้นเขาจึงเอ่ยปากอนุญาตทันที
ดังนั้นในวันรุ่งขึ้น ขบวนที่ดูไม่สะดุดตาก็ออกจากวังไปอย่างเงียบเชียบโดยมุ่งหน้าไปยังวัดฮู่กั๋ว
ทางด้านซูหว่านใช้เวลาทั้งคืนอยู่กับมู่ไป๋ไป่ในศาลาหมื่นอสูร จากนั้นนางจึงกลับไปที่วัดฮู่กั๋ว ในขณะที่มู่ไป๋ไป่รู้สึกลังเลอยากไปส่งผู้เป็นแม่ที่นอกเมือง “ท่านแม่ ข้าจะไปส่งท่าน”
หว่านผินลูบหัวเด็กน้อยอย่างไม่เต็มใจนัก “ไม่ต้องกังวล เจ้ากลับไปทำสิ่งที่เจ้าอยากทำเถอะ”
“ท่านแม่ ข้าจะรีบกลับให้เร็วที่สุด” มู่ไป๋ไป่กอดคนตรงหน้าและทำท่าทางอ้อยอิ่ง เธอชอบซูหว่านที่อยู่ในฐานะแม่ของเธอมาก นางทั้งอ่อนโยนและมีความรักให้กับลูกสาวเต็มเปี่ยม
“ตกลง” หว่านผินกอดเจ้าตัวเล็กอีกครั้ง “ในตอนที่แม่ไม่อยู่ เจ้าจะต้องกินข้าวให้ครบ 3 มื้อและกินให้ตรงเวลาด้วย เข้าใจหรือไม่?”
“พระสนมไม่ต้องกังวลเพคะ” หลัวเซียวเซียวที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “เซียวเซียวจะคอยจับตาดูองค์หญิงหกในขณะที่พระองค์เสวยพระกระยาหาร และจะไม่ให้พลาดไปแม้แต่มื้อเดียวเพคะ”
“เอาล่ะ แม่จะไม่กังวลเรื่องของเจ้าแล้ว” ซูหว่านปาดน้ำตาจากหางตาของตัวเองก่อนจะกล่าวว่า “พวกเจ้ารีบกลับกันไปเถอะ ไม่เช่นนั้นฟ้าจะมืดเสียก่อน”
มู่ไป๋ไป่พยักหน้าแล้วยืนส่งผู้เป็นแม่อย่างเชื่อฟัง
ในขณะที่เธอกำลังจะหันหลังเดินกลับไป จู่ ๆ เธอก็ได้ยินเสียงกีบม้ามาจากด้านหลัง “ไป๋ไป่!”
คนตัวเล็กตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ในไม่ช้าเธอก็รู้ว่าเสียงนั้นเป็นของใครจึงหันกลับไปมองด้วยความประหลาดใจ “ท่านพี่รัชทายาท!”
ยามนี้มู่จวินฝานหล่อเหลามากยามที่อยู่ในชุดทหารและเกราะสีเงิน เขาดูจะโตขึ้นมากหลังจากที่ทั้งคู่ไม่เจอกันเกือบเดือน ดูเหมือนว่าเขากำลังโตเป็นหนุ่มแล้ว
“ไป๋ไป่!” เด็กหนุ่มกระโดดลงจากหลังม้าโดยไม่รอช้าแล้ววิ่งไปอุ้มน้องสาวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่ได้เจอเจ้ามาเกือบ 1 เดือน เจ้าคิดถึงพี่ชายคนนี้บ้างหรือไม่?”
“คิดถึงสิเพคะ!” มู่ไป๋ไป่พยักหน้าซ้ำ ๆ พร้อมกับที่ดวงตากลมโตเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างอธิบายไม่ได้ “ท่านพี่ ท่านไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนที่ไป๋ไป่อยู่ที่วัดฮู่กั๋ว ไป๋ไป่คิดถึงท่านจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ไป๋ไป่น่าสงสารมาก…”
มู่จวินฝานรู้สึกปวดใจเมื่อได้ยินคำพูดของเด็กน้อย ขณะที่เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เขาก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาดังมาจากด้านข้าง “ใช่ พระองค์กินอะไรไม่ลง นอนก็ไม่หลับ แล้วดูเหมือนว่า… จะอ้วนขึ้นด้วย…”
คำพูดนี้ทำให้ใบหน้าของเด็กหญิงชะงักค้างไปด้วยความเขินอาย
เด็กหนุ่มเอียงคอมองน้องสาวในอ้อมแขนพลางขมวดคิ้วพูดว่า “ใช่สิ ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีน้ำมีนวลขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย”
“ข้าอยู่ในวัยกำลังโตนะ!” มู่ไป๋ไป่จ้องอวี้เซิ่งที่พูดขัดจังหวะขึ้นมา “ข้าไม่ได้อ้วนสักหน่อย!”
นักฆ่าหนุ่มยักไหล่และไม่ได้ต่อปากต่อคำกับเจ้าตัวเล็ก
“ไป๋ไป่พูดถูก” มู่จวินฝานวางเด็กน้อยไว้บนหลังม้า ก่อนจะจูงม้าให้เดินไปข้างหน้าเพื่อมุ่งหน้าเข้าไปในเมืองหลวง “ทันเวลาพอดี ข้าได้นำขนมที่เจ้าชอบมาให้เจ้าเยอะแยะเลย คนของข้าจะเอาไปส่งให้เจ้าในภายหลัง”
“เจ้าเองก็อย่าได้กินขนมมากจนเกินไป มันจะทำให้เจ้ากินข้าวได้น้อยลง”
มู่ไป๋ไป่เริ่มน้ำลายสอเมื่อได้ยินว่าพี่ชายเอาขนมมาฝาก แม้ว่าเธอจะกินดีอยู่ดีตอนที่อยู่ในศาลาหมื่นอสูร แต่เธอก็ไม่ได้กินขนมที่ห้องครัวหลวงทำมานานแล้วเหมือนกัน
“ท่านพี่รัชทายาทใจดีที่สุด” เด็กหญิงพูดพร้อมกับยิ้มหวาน “ท่านออกจากวังหลวงมาหาข้าแล้วยังเอาขนมมาให้ข้าด้วย”
มู่จวินฝานยิ้มแล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ
ในตอนนั้นเอง มู่ไป๋ไป่สังเกตเห็นว่าทหารหลายคนที่ติดตามพี่ชายมากำลังถือสัมภาระอยู่ ไม่นานเธอก็คาดเดาบางสิ่งได้จึงถามขึ้นมาอย่างสงสัยว่า “ท่านพี่รัชทายาท ท่านกำลังจะเดินทางไกลหรือ?”
“ใช่” มู่จวินฝานไม่ได้ปิดบังอะไรกับน้องสาว เขาพยักหน้าและเล่าให้นางฟังเกี่ยวกับเรื่องที่เสด็จพ่อส่งเขาไปยังชายแดนเพื่อสืบสวนคดีเกี่ยวกับแคว้นหนานซวน
เมื่อมู่ไป๋ไป่ได้ยินดังนั้น เธอก็ไม่สามารถนั่งนิ่งได้อีก “ท่านพี่รัชทายาท ข้าอยากไปกับท่านด้วย!”
เธอเคยถูกเจ้าสัตว์ประหลาดหลอกใช้มาก่อน ทำให้เธอไม่สามารถได้เบาะแสอะไรจากปากเถ้าแก่ศาลาหมื่นอสูรเลย
ทีแรกเธอคิดว่าเรื่องควรจะจบลงที่นี่ แต่เธอไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับมู่จวินฝานที่กำลังจะเดินทางไปยังชายแดน
หากเธอพลาดโอกาสดี ๆ ในครั้งนี้ไป สกุลที่เป็นเจ้าของแผ่นดินนี้จะไม่ใช่สกุลมู่อีกต่อไป
“ไม่ได้” มู่จวินฝานปฏิเสธด้วยน้ำเสียงจริงจัง “การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก เจ้าจะติดตามข้าไปได้อย่างไร? ข้าขอปฏิเสธ”
“ท่านพี่รัชทายาท พาข้าไปด้วยเถอะนะ~” มู่ไป๋ไป่ปีนลงจากหลังม้าไปกอดขาคนตัวสูงกว่า ก่อนจะใช้ความน่ารักของตัวเองออดอ้อนเขา “ข้าจะระวังตัวให้ดี ท่านลืมไปแล้วหรือว่าท่านสอนอะไรข้าบ้าง?”
“นอกจากนี้ข้ายังมีเซียวเซียวกับจื่อเฟิงอยู่ด้วย อ๊ะ! ท่านคงยังไม่รู้จักจื่อเฟิง เขามีร่างกายที่แข็งแรงมากจนน่าทึ่งเลยล่ะ”
“แม้แต่อวี้เซิ่งก็ยังบอกว่าจื่อเฟิงเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ และยังต้องการรับเขาเป็นลูกศิษย์อีกด้วย!”
“จริงหรืออวี้เซิ่ง?” มู่จวินฝานหันไปถาม
นักฆ่าหนุ่มที่อยู่ด้านข้างจู่ ๆ ก็ถูกดึงมาเอี่ยวด้วย เขาไม่รู้ว่าควรตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ดี
“สรุปก็คือข้าจะไม่สร้างปัญหาให้กับท่าน นะท่านพี่รัชทายาท”
“ท่านพาข้าไปกับท่านเถอะนะ ตกลงหรือไม่?”
เด็กหนุ่มรู้สึกวิงเวียนเพราะคำโน้มน้าวของน้องสาว เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วบอกเหตุผลกับนางว่า “ไป๋ไป่ พี่ไม่กลัวว่าเจ้าจะสร้างปัญหาให้พี่…”