บทที่ 61 การสืบสวน
บทที่ 61 การสืบสวน
ติงจื้อกัง และ ลูอันฝู่ต่างพิจารณาฟางจือสิง มองการหายใจ การยืน และ โครงสร้างกล้ามเนื้อของเขา
ทั้งสองมองกันครู่หนึ่ง ก่อนจะเผลอสบตากันโดยไม่ตั้งใจ
จากนั้นพวกเขาก็เงียบ และ ตามหยุนเฉินเข้าไปนั่งภายในห้อง
ติงจื้อกังเริ่มพูดขึ้นก่อน “ฟางจือสิง ข้ามาที่นี่ตามคำสั่งของท่านนายอำเภอเพื่อสืบสวนเรื่องโจรน้ำลอบสังหาร ต้องการถามเจ้าไม่กี่คำถาม หวังว่าจะตอบตามความจริง”
ฟางจือสิงตอบทันที “ข้าจะให้ความร่วมมือเต็มที่ ท่านติงถามมาได้เลย”
“อย่าเรียกข้าว่าท่านเลย เรียกว่าหัวหน้าติงก็พอ”
ติงจื้อกังยิ้มเล็กน้อย จัดท่านั่งให้สบายขึ้น ก่อนพูดอย่างช้าๆ “ก่อนมาที่นี่ เราตรวจสอบรายชื่อของสำนักภูเขาเหล็กแล้ว ทั้งรายชื่อสมาชิกทางการ และ นอกทางการก็ไม่มีชื่อเจ้าเลย นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
เมื่อได้ยิน ฟางจือสิงที่เตรียมตัวไว้แล้ว ตอบอย่างมั่นใจ “อาจเป็นเพราะข้าอธิบายไม่ละเอียด เลยทำให้เข้าใจผิด ข้าเพียงแต่เคยเรียนวิชากับเจิ้งเถียนเอิน ไม่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกทางการของสำนักภูเขาเหล็ก”
ติงจื้อกังนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนถามว่า “อ้อ งั้นเจ้ารู้จักกับเจิ้งเถียนเอินได้อย่างไร?”
ฟางจือสิงตอบ “ข้าหนีออกมาจากภูเขาใหญ่ มาถึงตลาดเล็กชิงเหอ ได้ยินว่าเจิ้งเถียนเอินรับลูกศิษย์เพื่อสอนวิชา ข้าเลยไปที่นั่นเพื่อฝึกฝนโดยต้องเสียเงิน”
ทันใดนั้น ลูอันฝู่หรี่ตาลงเล็กน้อย ตั้งคำถาม “เจ้าฆ่าโจรน้ำได้ถึงสิบห้าคน แถมหนึ่งในนั้นยังเป็นนักสู้ ฝีมือเจ้าไม่น่าจะธรรมดา เจิ้งเถียนเอินไม่เคยแนะนำให้เจ้าเข้าร่วมสำนักภูเขาเหล็กเลยหรือ?”
คำถามนี้ทำให้จิตใจฟางจือสิงกระตุกเล็กน้อย
เสียงของลูอันฝู่เปลี่ยนเป็นแหลมขึ้นเล็กน้อยเมื่อตอนเอ่ยถึงเจิ้งเถียนเอิน
จุดนี้ทำให้เขานึกถึงหวังอี้ถง
ฟางจือสิงนิ่งคิดครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจเสี่ยงตอบออกไปว่า “ขอสารภาพตามตรง ข้าเคยมีเรื่องกับพวกผู้ลี้ภัยจนเกิดการปะทะ และ สังหารผู้ลี้ภัยบางคนที่พยายามปล้นข้า เจิ้งเถียนเอินรู้เรื่องนี้ เขาจึงมองว่าข้าจิตใจไม่ดีนัก และ ไล่ข้าออกจากกลุ่ม”
เขายักไหล่แล้วพูด “เฮ้อ ข้าไร้ที่พึ่งดีที่ได้หลัวเค่อเกิงเห็นใจ รับข้าไว้เป็นองครักษ์ใกล้ตัว ดังนั้น ข้ากับ
เจิ้งเถียนเอินจึงไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกันอีกแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ลูอันฝู่มองเขาด้วยสายตาเป็นประกายแปลกๆ มุมปากยิ้มออกมานิดๆ พร้อมหัวเราะเบาๆ “เป็นสไตล์เจิ้งเถียนเอินจริงๆ”
ติงจื้อกังไม่ได้แสดงความคิดเห็น เพียงถามว่า “แล้วกัวติ้งซานล่ะ?”
ฟางจือสิงตอบ “ข้ายิงธนูปักเข้าที่อกของเขา ตอนที่เขาพยายามหลบธนู เขาเสียหลักตกหน้าผาลงไปในแม่น้ำชิงสุ่ย”
ติงจื้อกังสีหน้าเปลี่ยน ถามว่า “ยืนยันได้หรือไม่ว่าเขาตายแล้ว?”
ฟางจือสิงตอบทันที “ธนูของข้าปักเข้าที่อกของเขา ก่อนที่เขาจะตกหน้าผา เขาแทบจะเหลือชีวิตครึ่งเดียวอยู่แล้ว เก้าสิบในร้อยตายแน่นอน”
ติงจื้อกังเข้าใจแล้ว ลุกขึ้นพูด “ไป เจ้าพาพวกเราไปดูสถานที่เกิดเหตุ”
ฟางจือสิงไม่มีข้อขัดข้อง
กลุ่มคนเดินออกจากวัดซงหลิน ลัดเลาะผ่านป่า และ มาถึงบริเวณหน้าผาสูงชัน
ท้องฟ้าเริ่มสว่างจางๆ หยาดน้ำค้างเกาะเป็นหย่อมๆ บนพื้นยังมีคราบเลือดเหนียวหนืด ศพไร้หัวกระจัดกระจายอยู่ทุกที่
ติงจื้อกังตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุอย่างละเอียด แล้วถามขึ้นทันที “ตอนเกิดเหตุ เจ้าลำพังคนเดียวหรือ?”
ฟางจือสิงส่ายหัวตอบ “นอกจากข้าแล้ว ยังมีอีกสองคนเดินทางมาด้วยกัน พวกเขาเป็นศิษย์สำนักภูเขาเหล็ก เทียนซานเหมิน ทำหน้าที่คุ้มกันบนเรือสินค้าของเฉียนจี้อวิ๋น ชื่อว่าหลินจื่อกวง และ หม่าอวี่ถัง”
ลูอันฝู่หันหน้ามาถามทันที “พวกเขาหายไปไหนแล้ว?”
ฟางจือสิงตอบ “หลินจื่อกวงถูกลูกธนูยิงเสียชีวิต ส่วนหม่าอวี่ถังหนีลงจากหน้าผา ชะตากรรมยังไม่แน่ชัด”
“อะไรนะ หนีลงจากหน้าผา?”
ลูอันฝู่ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้ากระตุกเล็กน้อยพร้อมกับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
ศิษย์สำนักภูเขาเหล็กหนีโดยไม่สู้?
ฟางจือสิงสังเกตท่าทีแล้วพูดขึ้นทันที “หม่าอวี่ถังมิได้กลัวตาย เขาทำเช่นนั้นเพราะจนตรอก ต้องยอมเสี่ยงกระโดดลงไป กล้าหาญน่ายกย่องทีเดียว”
ลูอันฝู่ก้มมองหน้าผาด้านล่างแต่ไม่ออกความเห็น
หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็เดินทางกลับวัดซงหลิน
ระหว่างทาง ฟางจือสิงถามขึ้นว่า “ท่านทั้งสองทราบหรือไม่ว่า ตอนนี้สถานการณ์ของหลัวเค่อเกิงเป็นเช่นไร?”
ติงจื้อกังตอบเสียงเรียบ “หายตัวไป ยังคงค้นหาอยู่”
ฟางจือสิงรับรู้ได้ทันที
ไม่ทันไร ดวงอาทิตย์ก็ลอยสูงขึ้น มีเสียงกลอง และ ฆ้องดังขึ้น
กลุ่มคนจำนวนมากเดินขบวนมายังวัดซงหลิน
หยุนเฉินนำกลุ่มพระสงฆ์ยืนเรียงแถวต้อนรับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ติงจื้อกัง ลูอันฝู่ และ ฟางจือสิง ก็ออกมารวมตัวกัน ยืนเข้าแถวเพื่อรอต้อนรับนายอำเภอหลัวเพยอวิ๋น
จากระยะไกล หลัวเพยอวิ๋นนั่งอยู่ในรถม้าหรูหราที่ล้อมรอบด้วยกองกำลังรักษาความปลอดภัยสองร้อยนาย แบ่งเป็นข้าราชการที่แข็งแรงหนึ่งร้อยนาย และศิษย์สำนักภูเขาเหล็กที่ดูดุดันอีกหนึ่งร้อยนาย
รถม้าค่อยๆ หยุดลง หลัวเพยอวิ๋นลงจากรถ
“คำนับนายอำเภอ!” ทุกคนทำความเคารพพร้อมเพรียงกัน
“ไม่ต้องมากพิธี” หลัวเพยอวิ๋นยิ้มอย่างอารมณ์ดี และ ยกมือโบกเล็กน้อย
จากนั้น ติงจื้อกังก้าวเข้าไปกระซิบบางอย่างข้างหูหลัวเพยอวิ๋น
หลัวเพยอวิ๋นฟังจบก็หันมามองฟางจือสิงเล็กน้อย
ต่อมา เขาก้าวอย่างองอาจเข้าไปในวัดซงหลิน ท่ามกลางเสียงสวดมนต์ และ เสียงเคาะไม้ของพระสงฆ์ จากนั้นทำพิธีจุดธูปขอพร
“ฟางจือสิง นายอำเภอต้องการพบเจ้า” ติงจื้อกังโบกมือเรียก
ฟางจือสิงรีบก้าวไปข้างหน้า คำนับพร้อมก้มศีรษะแล้วกล่าวว่า “ข้าน้อยฟางจือสิง คารวะท่านนายอำเภอ”
หลัวเพยอวิ๋นยืนอยู่บนบันได มองลงมาด้วยท่าทีเหนือกว่า เขาเลิกคิ้วถามว่า “ฟางจือสิง เจ้าปีนี้อายุเท่าไรแล้ว?”
ฟางจือสิงตอบ “สิบแปด ใกล้จะสิบเก้าแล้วขอรับ”
“อืม วีรบุรุษเกิดในวัยเยาว์จริงๆ!”
หลัวเพยอวิ๋นถอนหายใจพร้อมกับยิ้ม “ในครอบครัวเจ้ามีบิดามารดาหรือญาติพี่น้องไหม?”
ฟางจือสิงส่ายหัวตอบ “ไม่มีแล้ว บิดามารดาข้าเสียชีวิตไปหมดแล้ว เหลือเพียงข้าคนเดียว”
หลัวเพยอวิ๋นพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ข้าเป็นคนยึดมั่นเรื่องรางวัล และ โทษที่ชัดเจน เจ้าสังหารโจรน้ำเป็นความดีความชอบ แถมยังแจ้งเบาะแสอีก สมควรได้รับรางวัล!”
ฟางจือสิงรีบพูดว่า “ข้าน้อยมิได้หวังรางวัล ขอเพียงนายท่านให้โอกาสข้าน้อยได้รับใช้ท่านก็เพียงพอแล้ว”
หลัวเพยอวิ๋นหัวเราะออกมาอย่างขบขัน “โอ้โห เจ้ารู้จักประเมินสถานการณ์จริงๆ นะ”
ฟางจือสิงพูดด้วยท่าทีจริงจัง “แม้ข้าน้อยอาจไม่เก่งกล้า แต่มีใจภักดี ขออุทิศตนรับใช้ราชสำนัก และซื่อสัตย์ต่อนายท่าน โปรดพิจารณาความจริงใจของข้าด้วยเถิด”
“ฮ่าๆ น่าสนใจ!”
หลัวเพยอวิ๋นหัวเราะดังลั่น พยักหน้า “ตอนนี้เจ้าอยู่ในระดับพลังใด มีความสามารถพิเศษอะไรหรือไม่?”
ฟางจือสิงตอบ “ฝึกฝนวิชาภูเขาเหล็กถึงขั้นด่านงูใหญ่ และ เชี่ยวชาญการยิงธนู!”
หลัวเพยอวิ๋นร้อง “โอ้” ออกมา
ติงจื้อกังเตือนขึ้นว่า “โจรน้ำเหล่านั้นล้วนถูกยิงธนูจนตายทั้งหมด”
หลัวเพยอวิ๋นพยักหน้ารับ ร้องเรียก “ใครก็ได้ เอาคันธนูไม้ดำของข้ามา”
ไม่นานนัก ข้าราชการคนหนึ่งถือธนูสีดำตัวใหญ่ยกขึ้นเหนือศีรษะด้วยท่าทางระมัดระวัง
หลัวเพยอวิ๋นกล่าวว่า “ฟางจือสิง เจ้าเห็นเสาที่เป็นหุ่นไม้ปลายสนามนั่นไหม ถ้าเจ้าสามารถยิงลูกธนูโดนหัวของมันได้ ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว”
ฟางจือสิงรับธนูไม้ดำมาพิจารณาเป้าหมายที่อยู่ห่างออกไปกว่าร้อยเมตร จากนั้นเขาเล็งธนู และ ยิง
ลูกธนูลูกที่หนึ่ง ลูกที่สอง ลูกที่สาม!
ในจังหวะต่อเนื่อง!
เสียงหวือหวือหวือ!
ลูกธนูทั้งสามพุ่งผ่านสนาม เสาหุ่นไม้ส่งเสียงดังหนักแน่นขึ้นมาสามครั้ง
สายตาของทุกคนจับจ้องไปยังเป้าหมาย และ ในบรรยากาศก็มีเสียงสูดลมหายใจด้วยความตกใจดังขึ้น
เพราะเห็นได้ชัดว่า ลูกธนูทั้งสามพุ่งเข้าปักกลางหน้าผากของเสาหุ่นไม้อย่างแม่นยำ
และ ที่สำคัญ ลูกธนูทั้งสามทะลุผ่านหัวหุ่นไม้นั้นจนหมด!..
..........