บทที่ 60 ยามค่ำคืน
บทที่ 60 ยามค่ำคืน
ไม่นานนัก หยุนเฉินสั่งให้พระลูกวัดนำอาหารเจ และ น้ำอาบมาส่ง
“ขอบคุณท่านอาจารย์มาก” ฟางจือสิงยิ้มพอใจ
หยุนเฉินโบกมือแล้วกล่าวว่า “โยมฟาง จริงๆ แล้วต้องเป็นอาตมาที่ขอบคุณโยม หากไม่ปิดบังความจริง นายอำเภอ หลัวเพยอวิ๋นเตรียมจะมาที่วัดนี้เพื่อจุดธูปขอพรในวันพรุ่งนี้หรือไม่ก็วันถัดไป
เฮ้อ หากไม่มีการแจ้งเบาะแสของโยมล่ะก็ ถ้าหากนายอำเภอลอเกิดอันตรายใดๆ ที่นี่ เกรงว่าวัดเราคงต้องพบกับผลที่ตามมายากจะคาดเดาได้”
หยุนเฉินมีสีหน้าแฝงความหวาดกลัว ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “เฮ้อ หากนายอำเภอหลัวเพยอวิ๋น ถึงแก่ความตายที่วัดซงหลินนี้ ตระกูลหลัวคงกริ้วหนัก และ พระทุกคนในวัดคงต้องสังเวยตามนายอำเภอไปด้วย”
ฟางจือสิงฟังแล้วจับน้ำเสียงของหยุนเฉินได้ เมื่อเอ่ยถึงตระกูลหลัว เขาแสดงออกอย่างเคารพยำเกรงออกมาจากใจลึกๆ และ ยังแฝงความหวาดกลัวเสียยิ่งกว่านั้น
ไม่นานนัก หยุนเฉินลุกขึ้นแล้วจากไป
ฟางจือสิงมองดูอาหารเจบนโต๊ะ แต่ยังไม่จับตะเกียบ
เสี่ยวโก่วได้กลิ่นอย่างละเอียด แล้วสื่อด้วยเสียงเบาว่า “ไม่มีกลิ่นผิดปกติใดๆ ไม่น่ามีพิษหรอก”
ฟางจือสิงตักข้าวใส่ชามหนึ่ง ยื่นให้เสี่ยวโก่วพร้อมพูดว่า “แกกินก่อน”
เสี่ยวโก่วพูดอย่างหมดคำว่า “โธ่เว้ย! แกให้ฉันลองพิษอีกแล้ว!”
ฟางจือสิงกลอกตาใส่ “แกมีตั้งห้าชีวิตนะ ใครจะมาลองพิษล่ะถ้าไม่ใช่แก หรือจะให้ฉันลองแทนแก?”
“เออๆ กินก็ได้” เสี่ยวโก่วหิวจนแทบแย่อยู่แล้ว เลยไม่เกรงใจอีกต่อไป กินผัก และ ข้าวเจจนเกลี้ยง
ฟางจือสิงรอดูอยู่ครู่หนึ่ง พอเห็นว่าเสี่ยวโก่วไม่มีอาการผิดปกติ ถึงค่อยลงมือหยิบตะเกียบกินบ้าง
จากนั้นเขาจึงไปอาบน้ำ ล้างคราบเลือด และ กลิ่นเหงื่อออกจนหมด รู้สึกสดชื่นขึ้นในทันที
“เสี่ยวโก่ว ฉันจะนอนครึ่งแรกของคืน แกเฝ้ายามนะ”
ฟางจือสิงล้มตัวลงบนเตียง
เสี่ยวโก่วอุทานอย่างประหลาดใจ “ต้องระวังขนาดนี้เลยเหรอ? อย่างน้อยที่นี่ก็เป็นวัด คงไม่มีใครมาทำร้ายเราหรอกมั้ง?”
ฟางจือสิงพูดอย่างจริงจัง “ความไม่ประมาทเป็นเรื่องที่ดี คิดดูสิว่ากองทัพกบฏรู้ได้ยังไงว่านายอำเภอหลัวเพยอวิ๋นจะมาที่วัดซงหลินเพื่อขอพร แสดงว่ามีคนส่งข่าวให้พวกเขา!”
เสี่ยวโก่วชะงักไปชั่วครู่ อุทานด้วยความตกใจว่า “มีสายลับ?”
ฟางจือสิงแค่นเสียงเย็น “สายลับอาจแฝงตัวอยู่ข้างกายนายอำเภอหลัวเพยอวิ๋นหรือในวัดซงหลินนี่ก็ได้ สรุปแล้วเราต้องระวังตัวให้ดี อย่าประมาทเด็ดขาด
เสี่ยวโก่วเข้าใจแล้ว จึงมองฟางจือสิงด้วยความชื่นชมอยู่ลึกๆ แล้วก็ก้มศีรษะลงด้วยท่าทีขมขื่น
ในเรื่องของสติปัญญา ยังไงฟางจือสิงก็คิดได้รวดเร็วกว่า เรื่องหลายๆ อย่างเขามักจะคาดการณ์ล่วงหน้าได้ ราวกับมีตาแปดร้อยดวง
ส่วนเขานั้นไม่ใช่เลย มักจะไม่คิดอะไรลึกซึ้ง และ ตามคนอื่นไม่ทันเสมอ
สิ่งนี้ทำให้เสี่ยวโก่วรู้สึกไม่พอใจ และ ขัดใจอยู่บ้าง
...
เมืองชิงหลิน · ที่ว่าการอำเภอ!
ยามค่ำคืนล่วงเลยไป หลัวเพยอวิ๋น นายอำเภอที่กำลังหลับสบาย อยู่ๆ ก็ถูกเวินอวี้เหวิน ผู้ดูแลบ้านปลุกให้ตื่นขึ้นมา
“มีเรื่องอะไร”
หลัวเพยอวิ๋นหาวอย่างง่วงๆ อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ไม่มีใครชอบถูกปลุกตอนหลับสนิทหรอก
เวินอวี้เหวินรีบกล่าวว่า “นายท่าน มีพระจากวัดซงหลินมาขอเข้าเฝ้า บอกว่าทำตามคำสั่งของเจ้าอาวาส มีเรื่องเร่งด่วนต้องแจ้งให้นายท่านทราบ”
หลัวเพยอวิ๋นกระพริบตาสองสามที ใบหน้าฉายแววไม่แน่ใจ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า
“ให้เขาเข้ามา”
ไม่นานนัก พระหนุ่มคนหนึ่งก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ยกมือประนมทำความเคารพ “กระผม เจี้ยคง
“ที่แท้ก็เป็นเจ้าหรอกหรือ”
หลัวเพยอวิ๋นพยักหน้า เขาจำเจี้ยคงได้ เขาลูบหนวดแล้วหัวเราะเบาๆ “มีเรื่องด่วนอะไร ถึงต้องมาหากันกลางดึกแบบนี้?”
เจี้ยคงมีสีหน้าจริงจัง พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำเพื่อเล่าเหตุการณ์ทั้งหมด สรุปหลักๆ คือถ่ายทอดคำพูดของฟางจือสิง
“อะไรนะ พวกโจรน้ำจะมาลอบสังหารข้าในวัดซงหลิน?!”
หลัวเพยอวิ๋นโกรธขึ้นมาทันที หนวดสั่นสะท้าน เขาตบโต๊ะอย่างแรงแล้วพูดด้วยความโกรธว่า “ไอ้พวกกบฏพวกนี้ ช่างกล้าเสียจริง!”
“ท่านนายอำเภอ อย่าได้ทรงกริ้วจนสุขภาพเสีย”
เวินอวี้เหวินที่รักษาความสงบหันไปถามเจี้ยคงว่า “ตรวจสอบตัวตนของผู้แจ้งข่าวแล้วหรือไม่ คำพูดของเขาเชื่อถือได้ไหม?”
เจี้ยคงนิ่งคิดสักครู่ก่อนจะตอบอย่างระมัดระวังว่า “เขาชื่อฟางจือสิง อ้างว่าตนเป็นองครักษ์ของหลัวเค่อเกิง และ เคยเรียนวิชาจากเจิ้งเถียนเอิน นอกจากนี้เขายังนำหัวของโจรน้ำสิบห้าหัวที่ยังเปื้อนเลือดมาให้ดู โดยหนึ่งในนั้นมีโจรชื่อเย่ว์เฉิง หัวหน้ากลุ่มคือกัวติ้งซาน”
“กัวติ้งซาน?”
เวินอวี้เหวินสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แล้วเลิกคิ้วพูดว่า “ใช่ เขาอยู่ในรายชื่อผู้ต้องการตัว ที่เมืองเมืองหยุนสุ่ย เขาเคยสังหารครอบครัวของจางหยวนไว่ และ เปิดโกดังข้าวเพื่อแจกจ่ายจนเกิดการจลาจลจากพวกผู้ลี้ภัย จากนั้นเขาก็หายตัวไป”
หลัวเพยอวิ๋นแค่นเสียงเย็น “ท่านข้าหลวงเคยตรวจสอบพบว่าพวกโจรกลุ่มนี้คือกลุ่มอันธพาลในยุทธภพที่ตั้งตนเป็นวีรบุรุษใจกล้า
แต่ละคนทำตัวเป็นฮีโร่ใจบุญ บ้าบิ่น เก็บความคิดร้ายในใจ และ ถึงขั้นตอบรับคำเรียกร้องของกบฏหวังเทียนปู้ ก่อการกบฏวางแผนล้มล้างราชสำนัก กัวติ้งซานนี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น
เฮอะ! ไอ้พวกสารเลวกลุ่มนี้ คิดจะลอบสังหารข้าราชการเชียวรึ ข้าจะต้องจับพวกมันมาสับเป็นหมื่นชิ้น
พันชิ้น และ ฆ่าล้างโคตรให้สิ้นซาก!”
เวินอวี้เหวินรีบกล่าวต่อว่า “พวกโจรน้ำกลุ่มนี้ฉวยโอกาสช่วงที่สำนักเฉามีความวุ่นวาย ก่อความวุ่นวายในเส้นทางน้ำทั้งสิบแปดสาย จุดไฟ เผา ฆ่า และปล้นสะดมไปทั่ว สร้างความหวาดกลัวไปทั่ว แล้วก็กลายเป็นยิ่งได้ใจหนักเข้าไปอีก จนแต่ละคนคิดว่าตัวเองมีอำนาจพอที่จะทำการได้สำเร็จ”
เวินอวี้เหวินกล่าวเสริม “นอกจากนี้ ในช่วงเย็นวันนี้ เราได้รับข่าวว่าเรือสินค้าของสำนักภูเขาเหล็กลำหนึ่งถูกสัตว์ประหลาดในน้ำโจมตี หลัวเค่อเกิงกับลูกชายของเขาหลัวเซียงเผิงพลัดตกน้ำ และ หายสาบสูญ ยังไม่ทราบชะตากรรม”
หลัวเค่อเกิงเป็นหลานชายของหลัวเพยอวิ๋น มีความผูกพันระหว่างอากับหลานอยู่บ้าง
เจี้ยคงรีบพูดขึ้น “ใช่แล้ว ฟางจือสิงบอกว่าเขาเองก็อยู่บนเรือลำนั้น พอพลัดตกน้ำก็ปีนขึ้นฝั่ง ระหว่างที่เดินในป่าร้าง ก็ได้พบกับกลุ่มนักฆ่าพวกนั้นโดยบังเอิญ”
หลัวเพยอวิ๋นลูบหนวดครุ่นคิดแล้วกล่าว “การที่เรือสินค้าเจอสัตว์ประหลาดในน้ำโจมตีเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหัน และเกิดขึ้นช่วงบ่าย ข่าวยังไม่แพร่ออกไป คนนอกไม่น่ารู้ได้ จากที่ดู คำพูดของฟางจือสิงไม่มีช่องโหว่ให้จับผิด”
เวินอวี้เหวินรีบกล่าว “ท่านนายท่าน ข้าจะติดต่อให้ท่านลูอันฝู่แห่ง ‘หอหล่ออาวุธ’ ของสำนักภูเขาเหล็กมาช่วยในการสืบสวน”
หลัวเพยอวิ๋นกล่าวต่อ “ให้ติงจื้อกังไปวัดซงหลินสืบสวนทันทีคืนนี้ นอกจากนี้ เตรียมตัวด้วย พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปจุดธูปขอพรที่วัดซงหลิน”
เวินอวี้เหวินตกใจ “ท่านนายท่าน เรื่องนี้…”
หลัวเพยอวิ๋นโบกมือ “ข้าจะไม่แสดงความอ่อนแอให้พวกโจรได้เห็น ข้าชอบให้คนอื่นเกลียดข้าแต่ทำอะไรข้าไม่ได้”
เวินอวี้เหวินเข้าใจแล้ว รีบกล่าว “ท่านนายท่านวางใจเถิด ข้าจะจัดการให้เรียบร้อย”
...
รุ่งสางมาถึง บรรยากาศด้านนอกยังมืดสนิท
ทันใดนั้น มีคนเคาะประตูพร้อมกับตะโกนว่า “ท่านฟาง รีบตื่นเถอะ”
ฟางจือสิงไม่ได้หลับ เขาเตะเสี่ยวโก่วที่นอนหลับสนิท แล้วพูดว่า “ข้าตื่นแล้ว เชิญเข้ามา”
เสียงประตูเปิดออกเบาๆ
หยุนเฉิน และ ชายแปลกหน้าอีกสองคนปรากฏตัวที่หน้าประตู
ชายทั้งสองมีอายุใกล้เคียงกัน ราวๆ สี่สิบปี รูปร่างสูงใหญ่กำยำ หนึ่งคนสูงเกินร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร ส่วนอีกคนสูงเกือบสองเมตร
เมื่อหยุนเฉินยืนอยู่ข้างสองคนนั้น เขาดูเป็นคนเตี้ยไปทันที
หยุนเฉินแนะนำด้วยรอยยิ้ม “ท่านฟาง คนนี้คือติงจื้อกัง หัวหน้าผู้จับกุมแห่งที่ว่าการอำเภอ อีกคนคือท่าน
ลูอันฝู่ หัวหน้าหอหล่ออาวุธจากสำนักภูเขาเหล็ก”
ติงจื้อกังไว้หนวดแปดสาแหรก ดวงตาเรียวยาว ให้ความรู้สึกเหมือนพ่อค้าเจ้าเล่ห์
ส่วนลูอันฝู่ไว้หนวดแพะ ใบหน้าขาวสะอาด ยืนกอดอกให้ความรู้สึกน่าเกรงขาม
ฟางจือสิงมีสีหน้าจริงจัง ยกมือขึ้นคารวะแล้วพูดว่า “ข้าน้อยฟางจือสิง ขอคารวะท่านทั้งสอง”
..........