บทที่ 258 ธุรกิจครอบครัว
บทที่ 258 ธุรกิจครอบครัว
“จริงสิ ขอเตือนอะไรหน่อยนะ เมื่อสองสามวันที่ผ่านมา มีคนจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ICAC) มาขอรายงานการประเมินสภาพจิตของนายที่แผนกแนะแนวจิตวิทยา” หลี่ซินเอ๋อเอ่ยขึ้นเสียงเบา
หลี่เอ้อร์ชะงัก เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับแววตาเป็นประกาย ดูเหมือนการเลี้ยงมื้อนี้จะไม่เสียเปล่า เขากำลังคิดจะใช้ข้ออ้างหนีไปเข้าห้องน้ำแล้วให้หลี่ซินเอ๋อจ่ายค่าอาหารอยู่พอดี
แม้หลี่ซินเอ๋อจะเป็นนักจิตวิทยาที่เก่ง แต่ก็ไม่ได้รู้ทันหลี่เอ้อร์ถึงขนาดจะเข้าใจเล่ห์เหลี่ยมแผนร้ายของเขา
“นายอย่าบอกนะว่าจริง ๆ แล้วทุจริต” หลี่ซินเอ๋อมองตาหลี่เอ้อร์ พร้อมกับถามเชิงสำรวจ
เมื่อตอนที่หลี่ซินเอ๋อเพิ่งรู้จักหลี่เอ้อร์ใหม่ ๆ เขายังมีฐานะที่ค่อนข้างลำบาก แต่ตอนนี้แม้ว่าเขาจะใส่เสื้อผ้ากีฬาลำลอง แต่ล้วนเป็นแบรนด์ดังทั้งหมด หลี่ซินเอ๋อเคยเห็นกรณีของคนที่ได้ตำแหน่งสูงตั้งแต่อายุยังน้อยมาทำผิดหลายครั้ง เธอคิดว่าหลี่เอ้อร์เป็นคนที่น่าสนใจ และหวังว่าเขาจะเป็นข้อยกเว้น
“เข้ามาใกล้หน่อยสิ ฉันจะบอกความลับให้นายฟัง!” หลี่เอ้อร์กวักนิ้วเรียกด้วยท่าทางมั่นใจ เสื้อผ้าทั้งหมดที่เขาใส่นั้น ไป่อันหนีเป็นคนเลือกซื้อให้ ซึ่งเธอมีรสนิยมในการเลือกซื้อของที่มีราคาสูงเป็นพิเศษ
ถึงแม้หลี่ซินเอ๋อจะรู้ว่าคำพูดจากปากหลี่เอ้อร์ไม่น่าจะมีอะไรดี แต่ความอยากรู้อยากเห็นก็ทำให้เธอยื่นหน้าเข้ามาใกล้
“ความลับอะไร?” หลี่ซินเอ๋อถาม
หลี่เอ้อร์พูดอย่างเก้อเขิน “ฉันโดนเศรษฐีนีเลี้ยงดูอยู่ เธอเชื่อไหม?”
“ฝันไปเถอะ!” หลี่ซินเอ๋อจ้องหลี่เอ้อร์ตาขวาง พลางพูดพร้อมเสียงหัวเราะเหยียด ๆ
“ไม่งั้นจะอธิบายยังไงได้ล่ะว่าผมหนุ่มแน่นแต่รวยเหลือล้น!” หลี่เอ้อร์ยักไหล่ยิ้มพลางทำท่าทางผายมือ
เมื่อเห็นสีหน้ามั่นใจของหลี่เอ้อร์ หลี่ซินเอ๋อก็รู้ว่าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคงไม่ได้เรื่องอะไรจากเขา จึงขี้เกียจจะพูดคุยเรื่องนี้ต่อ แถมเธอเองยังไม่ได้จ่ายค่าเช่าบ้านของเดือนนี้ด้วย
ในอีกฟากหนึ่ง หลี่อี้และหลี่ซานสองพี่น้องกำลังวุ่นวายจนหัวหมุน หลังจากที่ถงเข่อเหรินเข้ามาร่วมลงทุนใน “โปจี้ชาชานถิง” ธุรกิจก็ขยายตัวอย่างรวดเร็วจนบ้าคลั่ง ทั้งสองคนทำงานกันวันละสิบแปดชั่วโมงก็ยังไม่พอ หลี่ซานกลัวว่าตัวเองจะทำงานไม่ทันตามจังหวะการเติบโตของบริษัท จนถูกถงเข่อเหรินกับซาเหลียนหน่าหลอกเอา
“พี่ใหญ่ ให้พี่รองกลับมาช่วยงานที่บ้านเถอะ! เรื่องงานในบริษัทมันเยอะเกินไป พวกเราก็ไม่มีคนพออยู่แล้ว เป็นตำรวจจะได้เงินเท่าไหร่กันเชียว” หลี่ซานอ้อนวอนให้หลี่อี้กดดันหลี่เอ้อร์ให้กลับมาช่วยงาน ซึ่งเขาเองไม่กล้าบอกหลี่เอ้อร์โดยตรง
หลี่อี้เหลือบมองหลี่ซานแต่ไม่ได้ตอบอะไร เรื่องเงินนั้น หลี่อี้ไม่เคยสนใจมากเท่าไร สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความสามัคคีในหมู่พี่น้อง
“โปจี้ชาชานถิง” ได้ยกระดับเป็น “โปจี้อาหารและเครื่องดื่ม จำกัด” อย่างเป็นทางการ หลี่อี้รับตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป และด้วยความที่ขาดคน เขายังต้องทำหน้าที่เป็นผู้จัดการฝ่ายจัดหาและฝ่ายครัวอีกด้วย
หลี่ซานดำรงตำแหน่งรองผู้จัดการทั่วไป และยังทำหน้าที่ผู้จัดการของ “โปจี้บริการส่งด่วน จำกัด” ซึ่งแยกตัวออกจาก “โปจี้ชาชานถิง” ทำหน้าที่จัดการบริการส่งอาหารของ “โปจี้ชาชานถิง” และ “เบอร์เกอร์ไก่ทอดหมายเลขหนึ่ง”
หวังก่างเซิง ที่กำลังตั้งครรภ์ ต้องเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายหน้าร้าน คอยดูแลพนักงานบริการและพนักงานทำความสะอาดของสาขาทั้งหมด ส่วนหลี่ซือหย่าเองก็เข้ามาช่วยดูแลบัญชีและการเงินของแต่ละสาขาหลังเลิกเรียนเพื่อช่วยหลี่ซานตรวจสอบยอดเงิน
ในบรรดาคนในครอบครัว มีเพียงหลี่เอ้อร์ที่ไม่ได้ทำอะไรเลย และรับเงินปันผลอยู่ทุกเดือนอย่างเดียว
ชาวจีนมักทำธุรกิจครอบครัว เพราะไม่ค่อยไว้วางใจคนภายนอก ไม่ว่าจะเป็นหลี่อี้หรือหลี่ซาน ทั้งคู่ก็ไม่ค่อยเชื่อใจซาเหลียนหน่ากับถงเข่อเหริน พี่น้องทั้งสองมีความเห็นตรงกันที่จะสอดแทรกคนที่ไว้วางใจเข้ามาในบริษัท เช่น เหอจินหยิน พนักงานส่งอาหารมือทองที่ปัจจุบันกลายเป็นคนสำคัญของ “โปจี้บริการส่งด่วน จำกัด”
หลังจากหลี่เอ้อร์เลี้ยงอาหารหลี่ซินเอ๋อเสร็จ เขาก็ไปที่โรงเรียนเพื่อรับจู๋หว่านฟางกับหลี่ซือหย่าเลิกเรียน
“พี่รอง!” หลี่ซือหย่าเห็นรถยนต์ของหลี่เอ้อร์จากระยะไกล พลางโบกมือเรียกด้วยความภูมิใจ
ช่วงนี้หลี่เอ้อร์มักจะปรากฏตัวในหน้าข่าวของหนังสือพิมพ์อยู่บ่อย ๆ จากการที่เขาสามารถไขคดีสำคัญได้หลายคดี หลี่ซือหย่าจึงรู้สึกภาคภูมิใจในตัวพี่รองของเธอมาก และย่อมต้องอวดให้เพื่อน ๆ ได้เห็นบ้าง
“ยังไม่รีบขึ้นรถอีก จะโพสท่าถ่ายรูปเหรอ?” หลี่เอ้อร์พูดอย่างไม่สบอารมณ์นัก
ในขณะที่ธุรกิจของ “โปจี้ชาชานถิง” เติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อนของหลี่ซือหย่าที่โรงเรียนก็มากขึ้นตามไปด้วย
“ฮึ! พี่รอง ฉันยังไม่อยากกลับบ้านนะ ฉันอยากไปบริษัท!” หลี่ซือหย่าเอามือเท้าเอว พลางเชิดปากบอกอย่างไม่พอใจที่ถูกหลี่เอ้อร์ตัดบท
“ซือหย่า ฉันไปด้วยนะ” จู๋หว่านฟางรีบบอก เธอเองก็ยังไม่เคยไปที่ออฟฟิศของบริษัทเลย
“ดีเลย! พี่หว่านฟาง ฉันจะบอกอะไรให้ ที่ทำงานของบริษัทเราใหญ่โตมากเลยนะ!” หลี่ซือหย่าอธิบายด้วยท่าทางโอเวอร์ พลางยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเพื่อแสดงขนาด
“ไปบริษัทตอนนี้จะไปทำอะไร ตอนนี้ใกล้เวลาเลิกงานแล้วนะ” หลี่เอ้อร์ขมวดคิ้ว
หลี่ซือหย่าตาโต “ใครเขาจะเลิกงานเร็วขนาดนี้กัน พี่ใหญ่กับพี่สามต้องทำงานจนถึงสี่ทุ่มทุกวัน พี่สะใภ้ก็ต้องทำถึงหกโมงหรือเจ็ดโมงเช่นกัน”
“พี่รองนี่แหละขี้เกียจที่สุด!” หลี่ซือหย่าไม่ลืมที่จะประชดประชันพี่ชายของเธอ
ลี่เอ้อร์ยิ้มเก้อ ๆ ออกมา
“ซือหย่า พี่รองของเธอก็มีงานที่สถานีตำรวจต้องทำมากมายเลยนะ” จู๋หว่านฟางรีบพูดขึ้นเพื่อช่วยหลี่เอ้อร์จากความกระอักกระอ่วน
หลี่ซือหย่าพยักหน้าเห็นด้วย เพราะเธอเองก็คิดว่าพี่รองของเธอเป็นตำรวจที่ดีและมีงานยุ่งเสมอ
ตึกหุ้ยหวง
ตึกหุ้ยหวงมีทั้งหมดสามสิบสองชั้น โดยมีชั้นบนดินสามสิบชั้นและใต้ดินสองชั้น สำนักงานของครอบครัวหลี่ตั้งอยู่ที่ชั้นสิบเจ็ดและสิบแปด โดยชั้นสิบเจ็ดเป็นที่ตั้งของ “โปจี้บริการส่งด่วน จำกัด” ส่วนชั้นสิบแปดเป็นที่ตั้งของ “โปจี้อาหารและเครื่องดื่ม จำกัด”
เมื่อหลี่เอ้อร์ หลี่ซือหย่า และจู๋หว่านฟางมาถึงชั้นสิบแปด ก็พบว่าหลี่ซานอยู่ที่นั่นกำลังคุยงานกับหลี่อี้พอดี
“พี่รอง วันนี้ว่างมาแวะช่วยงานที่บริษัทเหรอ!” หลี่ซานกล่าวพร้อมกับส่งสัญญาณให้หลี่อี้ แต่โชคไม่ดีที่ฝีมือการแสดงของเขาห่วยจนหลี่เอ้อร์จับพิรุธได้ทันที
“พี่สาม เป็นอะไรรึเปล่า? จู่ ๆ ทำไมกระตุกไปมา อายุยังน้อยอย่าเพิ่งมีอาการพวกนี้” หลี่เอ้อร์กล่าวพร้อมกับส่งเสียงฮึดฮัด
“เอ่อ...” หลี่ซานเกาหัวอย่างเก้อเขิน “พี่รอง ผมมีธุระที่ชั้นล่าง ต้องขอตัวไปก่อนนะ”
เจ้าหมอนี่กลัวหลี่เอ้อร์ตั้งแต่เด็ก แม้หลี่เอ้อร์จะไม่เคยทำร้ายเขา เขาก็ยังกลัวอยู่ดี
“พี่ใหญ่ ถ้าคนไม่พอก็จ้างคนเพิ่มสิ จะทำให้บริษัทเติบโตขึ้นมาพึ่งแรงคนแค่ไม่กี่คน ต่อให้ทำงานจนเหนื่อยตายก็ไม่มีประโยชน์ ต้องให้คนที่เชี่ยวชาญมาทำงานแต่ละด้านโดยเฉพาะ แบบนี้ถึงจะเป็นหนทางที่ถูกต้อง เงินจ้างคนไม่ควรประหยัด” หลี่เอ้อร์มองไปรอบ ๆ ที่ออฟฟิศกว้างใหญ่แต่มีพนักงานเพียงสิบกว่าคน
“พูดเหมือนง่าย อยากจะปฏิเสธการทำงานที่บริษัทก็พูดมาตรง ๆ อย่าไปทำให้พี่สามกลัวนัก นายก็รู้ว่าเขาขี้ขลาดแค่ไหน” หลี่อี้มองจ้องหลี่เอ้อร์ตาขวาง
“เฮะ ๆ...” คราวนี้หลี่เอ้อร์ถึงกับยกมือเกาหัวไปบ้าง
“พี่หว่านฟางดูนี่สิ นี่คือห้องทำงานของพี่ใหญ่ ใหญ่มากเลยใช่ไหมคะ และตรงนี้คือห้องประชุม ตรงหน้าต่างบานใหญ่สามารถมองเห็นวิวทะเลได้ด้วยนะ!” หลี่ซือหย่าพาจู๋หว่านฟางเดินชมอย่างภาคภูมิใจ
จู๋หว่านฟางสนใจห้องทำงานของหลี่เอ้อร์มากกว่า แต่ก็น่าเสียดายที่เขาไม่มีห้องทำงานเป็นของตัวเอง
คนที่กินส่วนแบ่งกำไรอย่างเดียวโดยไม่ทำงานจะมีห้องทำงานไปทำไม
“พี่ใหญ่ ผมเห็นว่า ‘เบอร์เกอร์ไก่ทอดหมายเลขหนึ่ง’ ของซาเหลียนหน่าขยายตัวอย่างรวดเร็ว บริษัทส่งอาหารของพี่สามจะตามทันไหม?” หลี่เอ้อร์เอ่ยถาม
ซาเหลียนหน่าเป็นผู้หญิงที่คล่องแคล่วว่องไว หลังจากได้ลงทุนจากถงเข่อเหริน เธอก็เร่งขยายสาขาอย่างเต็มที่ ทั้งลงโฆษณาหนังสือพิมพ์และออกโทรทัศน์ ตอนนี้ใคร ๆ ในวงการอาหารฟาสต์ฟู้ดก็รู้จักเธอแล้ว
“ก็พอไหวอยู่ พี่สามก็ไม่ได้บอกว่ามีปัญหาอะไร สำคัญที่สุดคือเขาจัดการให้ออเดอร์จาก ‘โปจี้ชาชานถิง’ เป็นลำดับแรก ส่วน ‘บริการส่งด่วน’ ก็อยู่ในช่วงการรับสมัครพนักงานจำนวนมาก” หลี่อี้พยักหน้า
“คุณอาคะ น้ำค่ะ” หวังก่างเซิงที่กำลังตั้งครรภ์ยื่นขวดน้ำให้หลี่เอ้อร์