บทที่ 252 พายุ (2)
[แปลโดยฝีมือ...ยักษาแปร...มาติดตามได้ที่แฟนเพจหรือเพื่อติดตามเอาข่าวสารได้นะ\]
[Thai-novelจะทำการลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ เป็นจำนวน 5 ตอน แต่เรื่องราคาแพงกว่าที่อื่นนิดหน่อย]
[หลังแปลจบ คิดว่าจะมีการเกลาคำเบื้องต้น แก้คำผิด ปรับสำนวนให้สละสลวย เทียบคำต่อคำ อยากขอให้ทุกคนสนับสนุนไปจนจนนะครับ ส่วนคนที่สนับสนุนแล้ว ก็ขอบคุณที่ให้การสนับสนุนกันเสมอมาครับ]
บทที่ 252 พายุ (2)
รถตู้สีดำแล่นผ่านท้องถนนอันจอแจ ค่อย ๆ มุ่งหน้าสู่ซัมชองดง บรรยากาศภายในรถเงียบสงัด มีเพียงเสียงเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเบา ๆ บ่งบอกถึงกาลเวลาที่ล่วงเลยผ่าน ภายในรถตู้คันนั้น คังวูจินนั่งเอนกายอยู่บนเบาะนุ่ม ดวงตาคมภายใต้หมวกแก๊ปมองทอดผ่านกระจกออกไปยังทิวทัศน์ภายนอกอย่างเหม่อลอย
ยามนี้เป็นเวลาประมาณสิบโมงเช้า หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจอันแสนหนักหน่วงจากLA เหล่าทีมงานต่างพากันปล่อยกายให้หลับไหลไปกับความเหนื่อยล้า ฮันเยจองนั่งหลับตาพริ้มอยู่บนเบาะฝั่งตรงข้าม ขณะที่ชเวซองกุนที่นั่งข้างคนขับก็ดูอ่อนล้าไม่ต่างกัน มือหนายกขึ้นนวดขมับคลายความเมื่อยล้าอยู่เนือง ๆ แม้แต่จางซูฮวาน คนขับรถร่างยักษ์ยังเผลอหาวหวอด ๆ เป็นระยะ
มีเพียง...
“...”
คังวูจินเท่านั้นที่ยังคงตื่นตัวอยู่เพียงคนเดียว แม้จะพยายามทำสีหน้าเรียบเฉยราวกับเหนื่อยล้าไม่ต่างจากคนอื่น แต่ภายในใจกลับรู้สึกสดชื่นเป็นอย่างยิ่ง เขาแอบลอบมองสมาชิกคนอื่น ๆ ในรถอย่างลับ ๆ พลางคิดเปรียบเทียบกับภาพลักษณ์ที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังเมื่อสองสามวันก่อน ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ อย่างขบขัน
‘สมกับงานหนักหนาสาหัสขนาดนี้ล่ะนะ แต่ก็นะ ฉันมีมิติว่างเปล่า เลยไม่มีปัญหาอะไร ฮันเยจองจะไหวหรือเปล่านะ’
วูจินครุ่นคิด ขณะกำลังชื่นชมความพิเศษของมิติว่างเปล่าในใจ รถตู้ก็เคลื่อนมาจอดสนิทอยู่หน้าอพาร์ตเมนต์หรูที่เขาพักอาศัย เหล่าสไตลิสต์ของเขาเริ่มขยับตัวตื่นขึ้นทีละคน ก่อนจะเอ่ยทักทายเขาด้วยน้ำเสียงงัวเงีย
“อื้อหือ... จะตายแล้วเนี่ย... อ๊ะ! พี่คะ เหนื่อยหน่อยนะคะ”
“พักผ่อนเยอะ ๆ นะคะ”
“เจอกันพรุ่งนี้นะครับ!”
วูจินพยักหน้ารับคำทักทายจากทีมงานด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาเปิดประตูรถก้าวลงมา ตามด้วยชเวซองกุนที่เดินบิดขี้เกียจพร้อมกับหาวหวอด ๆ ออกมาอีกครั้ง
“อ้าาา! รอดชีวิตกลับมาจนได้ วูจิน พรุ่งนี้ไม่ต้องรีบมากก็ได้ มาถึงสักบ่ายสองก็แล้วกัน”
“ครับ พี่”
“พรุ่งนี้ฉันคงไปร่วมงานด้วยไม่ได้น่ะ มีธุระที่บริษัทนิดหน่อย ฉันบอกทุกคนไว้หมดแล้ว มีอะไรก็โทรหาละกัน”
วูจินสะพายกระเป๋าขึ้นบ่า พยักหน้ารับคำอย่างใจเย็น ชเวซองกุนหรี่ตามองอย่างพิจารณา ก่อนจะสาวเท้าเข้ามาใกล้ สายตาคมกริบไล่มองสำรวจร่างกายกำยำตั้งแต่ต้นแขนลงไป
"ทำอะไรเหรอครับ?" วูจินเอ่ยถามเสียงเรียบ
ชเวซองกุนที่มัดผมหางม้ายาวสลวยหัวเราะหึในลำคอ
"เปล่า แค่เช็คดู เห็นนายแน่ขนาดนี้ นึกว่าเป็นหุ่นยนต์ปลอมตัวมาซะอีก"
"ผมเป็นมนุษย์ครับ"
"เคล็ดลับอะไร บอกมาเถอะ ทำยังไงร่างกายถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้"
จะให้บอกว่าเพราะได้พักผ่อนในมิติว่างเปล่าได้ยังไง วูจินได้แต่ตอบเลี่ยง ๆ ไป
"คงเป็นเพราะพันธุกรรมมั้งครับ"
"พันธุกรรมอย่างนั้นเหรอ...ถ้างั้นนายแต่งงานมีลูกอย่างน้อยต้องสามคนนะ ไม่สิ สี่คน พูดตรง ๆ เลยนะ ห้าคนยังน้อยไปด้วยซ้ำ"
"นั่นมันอะไรกันครับ"
"ยีนส์ของนายต้องถูกส่งต่อเท่านั้น เรื่องนี้รัฐบาลควรจะสนับสนุนเลยด้วยซ้ำ"
ทันใดนั้น ความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวของวูจิน มิติว่างเปล่านั้น... มันจะตกทอดไปถึงลูก ๆ ของฉันด้วยหรือเปล่านะ
ชเวซองกุนเหลือบมองนาฬิกาข้อมือก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย
"พูดถึงเรื่องแต่งงานแล้ว วูจิน นายจะเอ่อ...มีแฟนก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ แต่ต้องบอกฉันก่อนนะ เข้าใจไหม?"
"ครับ"
"คือนายตอนนี้มันดังมาก ถ้ามีข่าวหลุดออกไปจะรับมือไม่ไหว โอเคไหม?"
"...ครับ"
"หรือว่ามีใครแล้ว มีคนคุย ๆ อยู่หรือเปล่า"
คนคุย ๆ งั้นเหรอ... นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้ยินคำนี้ วูจินถึงกับชะงักไปเล็กน้อย ชเวซองกุนเห็นท่าทางนั้นก็ยิ้มกว้าง ก่อนจะตบบ่ากว้างเบา ๆ
"ไม่ว่าจะเป็นเกาหลี ญี่ปุ่น หรือฮอลลีวูด บอกมาเถอะ แค่กระซิบบอกก็พอ"
"ญี่ปุ่น...ฮอลลีวูดเหรอครับ?"
"เออ จริงด้วยสิ เรื่องภาษาคงไม่เป็นปัญหาสำหรับนายอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นไมลีย์ คาร่า หรือดาราญี่ปุ่นระดับท็อป พวกเธอนายก็สนิทด้วยทั้งนั้น ส่วนเกาหลีไม่ต้องพูดถึง"
วูจินครุ่นคิดตาม รอบตัวเขามีแต่ผู้หญิงสวย ๆ เต็มไปหมด จากที่เคยอยู่ในจินตนาการก่อนจะมาเป็นนักแสดง ตอนนี้พวกเธอกลายเป็นเป้าหมายในการออกเดทในชีวิตจริง ยิ่งเป็นถึงดาราดังระดับโลก ยิ่งทำให้วูจินแทบหลุดขำ
"เอาเป็นว่าพักผ่อนให้เต็มที่ก่อนแล้วกัน" ซองกุนพูดจบก็โบกมือลา ก่อนจะเดินกลับไปขึ้นรถตู้ที่จอดรออยู่ วูจินมองตามครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหลังกลับและเดินเข้าไปในลิฟต์
'ออกเดทกับดาราระดับท็อปพวกนั้นน่ะนะ บ้าไปแล้ว' ไม่รู้เพราะบทสนทนากับซองกุนหรือเปล่า ทำให้จู่ ๆ วูจินก็รู้สึกแปลก ๆ ลิฟต์มาหยุดที่ชั้น 1 ผู้คนที่อาศัยอยู่ในคอนโดเดียวกันทยอยเดินเข้ามา ทั้งครอบครัวที่พาเด็กเล็กมาด้วย และกลุ่มผู้หญิง แน่นอนว่าสำหรับคนที่นี่ คังวูจินคือคนดัง
แทบจะไม่มีใครที่ไม่รู้จักเขาเลย
"สวัสดีครับ"
"ว ว วูจิน กลับมาจากทำงานแล้วเหรอ?"
"แม่คะ! คังวูจิน! ใช่คังวูจินจริง ๆ ด้วย!!"
"นี่! เบา ๆ หน่อยสิ!"
วูจินยืนแจกลายเซ็นและทักทายกับผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ ถือเป็นการบริการแฟนคลับแบบรวดเร็ว เขาเต็มใจทำเพราะไม่ได้ใช้เวลานานอะไร
ในที่สุดเขาก็มาถึงห้อง วูจินถอนหายใจอย่างโล่งอก
"เฮ้อ ไม่ได้กลับบ้านนานเท่าไหร่แล้วนะ"
หลายวันมานี้คังวูจินต้องเก็บอาการมาดขรึมไว้ตลอดเวลา พอกลับถึงบ้านปุ๊บ เขารีบปลดปล่อยตัวเองทันที หมวกกับเสื้อตัวนอกถูกถอดออกอย่างรวดเร็ว แล้วเปลี่ยนเป็นชุดอยู่บ้านแสนสบายแทน จากนั้นก็หาวออกมาอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนโซฟานุ่ม
“ฟินสุด ๆ ... บ้านเรานี่มันสวรรค์ชัด ๆ!”
นาน ๆ ทีวูจินจะได้สลัดคราบซุปตาร์ เขานอนเกาพุงไปพลางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเช็คข้อความต่าง ๆ ที่ส่งมาหา กวาดตามองข้อความที่เรียงรายเต็มไปหมด เริ่มจากพ่อแม่และน้องสาว คังฮยอนอา คนในครอบครัวต้องมาก่อนเสมอ หลังจากนั้นถึงจะเป็นข้อความในแชทหรือข้อความส่วนตัวจากคนอื่น ๆ ‘ครัวเรือนหรรษาของเรา’ แชทกลุ่มครอบครัวของเขา ตามมาด้วยข้อความส่วนตัวจากฮวาลิน ฮงฮเยยอน รยูจองมิน ทุกคนล้วนแต่เป็นซุปตาร์ระดับท็อปทั้งนั้น
ยิ่งไปกว่านั้น
- [คุณวูจิน!! ถึงเกาหลีแล้วเหรอคะ? มิฟุยุถ่ายหนังอยู่ ไม่เห็นคิโยชิซังเลย เหงาจัง…]
“อ๊ะ มิฟุยุจังนี่เอง”
ข้อความส่วนตัวในโซเชียลมีเดีย เต็มไปด้วยข้อความจากนักแสดงระดับท็อปของญี่ปุ่นมากมาย รวมถึงสาวน้อยอวบอิ่ม อุรามัตสึ มิฟุยุ ด้วย คังวูจินใช้เวลาตอบกลับอยู่พักใหญ่ จู่ ๆ ก็เผลอคิดออกมา
“โทรศัพท์มือถือเรามันโคตรเทพเลยแฮะ”
เขาเพิ่งนึกถึงมูลค่าของโทรศัพท์มือถือเครื่องนี้ขึ้นมาได้ สมัยก่อนจะมีก็แค่เพื่อนสนิทไม่กี่คนเท่านั้นที่ติดต่อมา แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะคนเกาหลีหรือต่างประเทศ ต่างก็ส่งข้อความมาหาเขาทุกวัน
แถมยัง...
“คึ ๆ โวะ ชิท นี่เรากำลังเมินข้อความพวกนี้อยู่เหรอเนี่ย”
คังวูจินกำลังเมินข้อความจากบุคคลระดับตำนานเหล่านี้ นี่มันชีวิตบ้าบออะไรกันเนี่ย บ้าไปแล้ว บ้าไปหมดแล้ว
ทันใดนั้นเอง
-♬♪
เสียงกริ่งดังก้องกังวานไปทั่วทั้งบ้าน ไม่ใช่เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังรบกวน แต่เป็นสัญญาณของใครบางคนที่เดินทางมาถึงยังบ้านของวูจิน ทว่า คังวูจินกลับไม่แสดงท่าทีตื่นตระหนก เขาลุกขึ้นอย่างไม่ใส่ใจและเดินตรงไปที่ประตู ราวกับรับรู้ได้ถึงต้นเสียงที่ดังขึ้น บ่งบอกว่าใครมาเยือน
เสียง -แกร็ก! ดังขึ้นพร้อมกับประตูที่เปิดออก เผยให้เห็นร่างของชายสามคนยืนถือซองจดหมายสีน้ำตาลขนาดใหญ่ยักษ์อยู่ตรงหน้า
“โอ้โห ดาราคัง” เสียงทักทายแรกดังขึ้น
“นานโคตร นานชิบหาย” เสียงที่สองตามมาติด ๆ
“หลับอยู่หรือไงวะ” และเสียงที่สามก็ปิดท้าย
ทั้งสามคนไม่ใช่ใครที่ไหน พวกเขาคือเพื่อนซี้ของคังวูจินนั่นเอง
ย้อนกลับไป...
ค่ำคืนหนึ่ง คังวูจินนั่งล้อมวงดื่มด่ำกับรสชาติแอลกอฮอล์กับเพื่อนซี้เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี นี่ไม่ใช่การนัดกันแบบปุบปับ แต่เป็นแผนที่วางไว้ล่วงหน้าหลายเดือน เหล้าเป็นหน้าที่ที่เพื่อน ๆ เป็นคนซื้อมา ส่วนกับแกล้มคังวูจินเป็นคนจัดการ แน่นอนว่าเขาไม่ได้ลงมือทำเอง แต่สั่งมาจากแอปพลิเคชั่นส่งอาหารชื่อดัง
“โหย จกบัล ดูสีมันดิ โคตรสวยอะ คุณภาพขั้นเทพ” เสียงของอีกยองซองดังขึ้น
“เฮ้ย บ้าไปแล้ว อีกยองซอง ไอ้เวร อย่าใช้มือหยิบดิ! นี่แกไม่ใช่ออสตราโลพิเทคัสนะ” คิมแดยองเอ่ยตำหนิเพื่อน
คิมแดยองร่างยักษ์ อีกยองซองที่อ้วนขึ้นกว่าเดิม นาฮยองกูที่ดูผอมบางราวกับนกฮูก และคังวูจิน ทั้งสี่คนที่ไม่ได้พบหน้าค่าตามานาน กำลังจัดวางกับแกล้มและเครื่องดื่มลงบนโต๊ะในห้องนั่งเล่นอย่างเป็นระเบียบ ถึงแม้จะไม่ได้เจอกันนาน แต่ทุกอย่างก็ยังคงเดิม บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความคุ้นเคย ราวกับเพิ่งเจอกันเมื่อวาน
“เฮ้ย คังวูจิน ดูสิวะ อีกยองซอง ไอ้บ้านี่ พุงยื่นออกมาขนาดนี้ แม่งเล่นสไลเดอร์ได้เลยมั้ง” นาฮยองกูพูดแซวเพื่อน
“หุบปากไปเลย นาฮยองกู ไอ้ตัวนาก” อีกยองซองสวนกลับทันควัน
“ก็นี่บอกให้ไปลดความอ้วนไง ตอนไปส่องกล้องนี่หมอบอกว่าเจออะไรในลำไส้บ้างล่ะ?” นาฮยองกูยังคงแกล้งเพื่อนต่อ
วงสนทนาเริ่มต้นด้วยการพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบแบบง่าย ๆ เอ่อ จริง ๆ ก็ออกแนวหยาบคายหน่อย ๆ ซึ่งคังวูจินเองก็วางมาดเท่ ๆ แล้วกลับไปเป็นตัวเองแบบสมัยก่อนเช่นกัน
"นี่ ๆ ใครก็ได้ เอาหิมะไปโยนใส่เรือของคยองซองหน่อย!"
"บ้าไปแล้วหรือไง คังวูจิน ไอ้บ้า"
"ทางลาดขนาดนี้ เอาสโนว์บอร์ดมาเล่นยังได้เลย"
คิมแดยองร่างกำยำมองวูจินอย่างเอ็นดู พร้อมยกแก้วโซจูขึ้น
"พวกบ้าเอ๊ย ชนแก้วกันก่อนเถอะ"
แน่นอนว่าต้องชนแบบหมดแก้วทีเดียว แต่พอแก้วว่างก็มีคนเติมให้เต็มทันที พร้อมกับชนแก้วกันอีกรอบ ไม่นานกับแกล้มต่าง ๆ ก็ถูกยกมาเสิร์ฟจนเต็มโต๊ะ ทั้งจกบัล ไก่ทอด และอื่น ๆ อีกมากมาย
"นี่ ดาราคัง นายเห็นในแชทกลุ่มหรือยัง? นาฮยองน่ะ ไอ้บ้านั่นมีแฟนแล้ว แถมยังกลายเป็นพ่อหนุ่มคลั่งรักซะด้วย"
"คลั่งรักอะไรของนาย ฟังดูเวอร์วัง"
คังวูจินมองนาฮยองพลางขมวดคิ้ว ก่อนจะยิ้มออกมา
"ก็นี่ไง เขาซื้อช่อดอกไม้ให้แฟนอะ ถือว่าคลั่งรักแล้วใช่ไหมล่ะ?"
"เออ ก็แบบนั้นแหละ ลองซื้อให้ดูสักครั้ง มันก็ไม่ได้แพงอย่างที่คิด อ๊ะ จริงสิ วูจิน นายบอกแฟนฉันว่าเป็นเพื่อนกับนายได้ไหม? คือแฟนฉันเป็นแฟนคลับนายอะ เธออยากเจอนายจะแย่อยู่แล้ว"
"ได้สิ ไม่มีปัญหานาฮยอง นายมาชนแก้วกับฉันดี ๆ สักทีสิ กับแกล้มก็เตรียมไว้ให้แล้วด้วย"
"โหย ไอ้นี่ นายคิดว่าฉันจะยอมเป็นทาสรับใช้แกงั้นเหรอ?"
นาฮยองทำท่าหงุดหงิด ก่อนจะรีบชี้ไปที่จกบัลสองมือทันที
"พี่ครับ วันนี้จกบัลอร่อยมากกกกก เอาเป็นจานนี้ก็แล้วกันครับ"
"เออ ดีมาก"
"งั้นวันนี้ ขอลายเซ็นหน่อยได้ไหมครับ?"
ในที่สุดคังวูจินก็ได้ปลดผนึก ยอมดื่มอย่างเต็มที่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี คงเพราะแบบนั้นแอลกอฮอล์เลยออกฤทธิ์เร็วเป็นพิเศษ หรือว่าจะเป็นเพราะบรรยากาศกันนะ? คังวูจินไม่มีเวลาคิด เขามัวแต่คุยกับเพื่อนสนิทอย่างออกรส
"ว่าแต่คิมแดยอง แกน่ะ วูจินไม่ได้ไปร่วมทีมกับแกเหรอ?"
"ไม่รู้สิ บริษัทไม่ส่งไป ฉันจะทำอะไรได้ล่ะ วูจิน แกช่วยพูดให้หน่อยได้ไหม? เออ พวกแกรู้ป่ะ วูจิมันโคตรมีอิทธิพลเลยนะในบริษัท"
"โอ้โห สุดยอดดาราคัง!"
"แดยอง ได้ข่าวว่าแกจะได้เลื่อนขั้นเป็นผู้จัดการในทีมของฮงฮเยยอนเหรอ? เป็นผู้จัดการฝ่ายตารางงานด้วย คงยุ่งน่าดูเลย"
"โอ้โห คังวูจิน อย่าเพิ่งแช่งกันสิว่ะ"
หัวข้อสนทนาของพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังคงวนเวียนอยู่ในเรื่องเดิม ๆ ตามประสาผู้ชาย นั่นคือเรื่องงานกับเรื่องทหาร
"คึ ๆ คังวูจิน นายเพิ่งไปใส่ชุดทหารในรายการ 'เกาะแห่งผู้สูญหาย' มาใช่ไหม เห็นในยูทูบแหละ"
"อ่า ใช่ รู้สึกเหมือนได้กลับไปเป็นทหารอีกครั้งเลย"
"บ้าชะมัด กลับไปเป็นทหารอีกรอบเนี่ยนะ ทำไปได้"
"เฮ้ แต่ว่าใครสวยกว่ากัน ระหว่างฮายูรากับฮงฮเยยอน"
"นาฮยอง ไอ้นี่มันยังไม่เข็ดอีกเหรอ ระวังแฟนเล่นงานเอา"
"ขอโทษคร้าบ! เฮ้ อีกยองซอง พูดจริง ๆ ไม่สงสัยบ้างเหรอ?"
บทสนทนาจากเรื่องผู้หญิงที่ดูเหลวไหลเปลี่ยนไปเป็นเรื่องผู้หญิงอย่างรวดเร็ว และเพื่อนซี้ของเขาก็เริ่มตื่นเต้นกับการแจ้งเตือนข้อความและข้อความส่วนตัวที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์ของคังวูจิน
"โอ้โห บ้าไปแล้ว!! คุยกับฮวาลินด้วยเหรอเนี่ย คังวูจินโคตรน่าอิจฉา!"
"เฮ้ย จริงดิ มีฮงฮเยยอนด้วย!"
"เฮ้ คังวูจิน ในกลุ่มแชทงานที่มีชื่อโปรเจกต์นั่น มีแต่ดาราอยู่ในนั้นใช่ไหม?"
"มันน่าตกใจจริง ๆ นี่หว่า แค่ได้รับข้อความส่วนตัวจากนักแสดงญี่ปุ่นก็ว่าน่าประหลาดใจแล้ว แต่การที่มีนักแสดงระดับท็อปของเกาหลีอยู่ในกลุ่มแชทเยอะขนาดนี้ มันเหมือนเป็นโลกอีกใบเลย"
"นึกถึงวันนั้นเลยว่ะ ตอนนั้น แม่ง พวกเรากำลังดูหนังอยู่ดี ๆ คังวูจิน ไอ้เวรนี่โผล่มาบนจอเฉย โคตรตกใจเลย”
"เออ ฉันเกือบอ้วกแตก"
อีคยองซองกับนาฮยองคุยเรื่องผู้หญิงกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย คิมแดยองร่างกำยำที่กำลังรินโซจูให้เพื่อน ๆ อยู่ เหลือบไปมองคังวูจินที่กำลังยิ้มร่า ก่อนจะเอ่ยขึ้น
"แต่แบบ พูดตรง ๆ บางทีมองหน้ามันอยู่ตรงนี้ก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่ะ"
"จริง ฉันก็ยังคิดว่าชีวิตฉันมันไม่ใช่แบบนี้"
"แต่นี่แกดังเป็นพลุแตกขนาดนี้ ยังไม่เป็นโรคดาราเลย ก็สมกับเป็นแกดี"
"โรคดารา?"
"อืม พวกหน้าใหม่ที่แบบ เล่นละครดังแค่เรื่องเดียวแล้วเป็นดาวรุ่งไรงี้ โดนยกยอปุปานจนเป็นโรคกันเยอะแยะ โรคดารา นั่นแหละ"
"อ่า-"
"นี่แกดังระดับแบบ ประเทศอื่นเขายังฮือฮากันเลยนะ แต่แกไม่เห็นจะเปลี่ยนไปเลย สมกับเป็นแกจริง ๆ แหละ ก็แบบ แกมันเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเองมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่"
'โรคดารางั้นเหรอ' วูจินชนแก้วโซจูกับคิมแดยองพลางครุ่นคิดอย่างจริงจัง ดารา? ในตอนนี้ โลกทั้งใบต่างคลั่งไคล้คังวูจิน มองจากความนิยมในตอนนี้ ต่อให้พูดว่าเป็นซุปเปอร์สตาร์อันดับต้น ๆ ก็คงไม่มีใครเถียง แต่ตัววูจินเองกลับไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้นเลยสักครั้ง
'โรคดาราบ้าอะไร?'
มันไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนถ่อมตัวหรือขี้อาย แต่อย่างใด ตรงกันข้าม วูจินกลับเป็นคนที่สนุกกับสถานการณ์ปัจจุบันเสียด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นความสนใจจากผู้คนที่ไม่เคยได้รับมาก่อน ทักษะการแสดงที่พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ หรือแม้แต่สภาพแวดล้อมรอบตัวที่เปลี่ยนไปอย่างไม่หยุดหย่อน
แต่เขาก็ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะกลายเป็น 'ดารา'
บางทีอาจเป็นเพราะต้องทุ่มเทให้กับการแสดงอย่างหนักหน่วงในทุก ๆ วัน จนทำให้แต่ละวินาทีของคังวูจินเต็มไปด้วยความตึงเครียดและดุเดือด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาได้ถ่ายทอด "ตัวตนที่แท้จริง" ของตัวเองออกมา
'จะเป็นดาราหรือไม่เป็นมันจะไปต่างอะไรกัน ทำในสิ่งที่ทำอยู่ให้ดีก็พอแล้ว' คังวูจินครุ่นคิด
ความจริงแล้วทุกอย่างกำลังไปได้สวย แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะโอ้อวดอะไร นี่แหละคังวูจิน เขาเป็นคนแบบนี้มาตั้งแต่ตอนที่เขาได้มิติว่างเปล่ามาครั้งแรก ตรงไปตรงมา ไม่ชอบยุ่งกับใคร แต่ถ้าใครมาแหยมเขาก่อนละก็ เขาเอาจริงแน่!
แต่ใครสนเรื่องโรคดาราหรือเรื่องอะไรพวกนี้กันล่ะ?
รอยยิ้มที่ไม่ค่อยได้เห็นนักได้ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเขา เพราะส่วนใหญ่จะเห็นเขาแสดงบทบาทที่เคร่งขรึม แต่ถึงอย่างนั้น รอยยิ้มนี้ก็ไม่ได้ดูขัดเขินแต่อย่างใด
"นี่ แดฮยอง เอาเหล้ามาเสิร์ฟได้แล้วน่า อย่าเรื่องมาก" คังวูจินตะโกนบอกเพื่อน
ถึงชีวิตของเขาจะพลิกผันไปอย่างไม่น่าเชื่อ แต่คังวูจินก็ยังเป็นคังวูจินคนเดิม
"ไม่ได้กินนานแล้ว อร่อยชะมัด" เขาพึมพำกับตัวเองหลังจากกระดกเหล้าเข้าปาก
และมันก็จะเป็นแบบนี้ต่อไป...
เช้าวันรุ่งขึ้น วันที่ 5 ณ โรงแรมแห่งหนึ่งในโซล
ห้องโถงสุดหรูของโรงแรม สถานที่แห่งนี้มักถูกใช้จัดงานอีเวนต์ต่าง ๆ แต่วันนี้กลับเต็มไปด้วยนักข่าวกว่าร้อยชีวิต พวกเขานั่งอยู่ที่โต๊ะ ซึ่งปูด้วยผ้าสีขาว ทุกคนต่างตั้งตารอคอยที่จะเก็บภาพ บ้างก็กำลังจดบันทึกข้อมูลลงในโน้ตบุ๊กคู่ใจ
"ว้าว คนเยอะเป็นบ้า นี่มันงานแถลงข่าวเปิดตัวภาพยนตร์หรืองานแถลงข่าวอะไรกันเนี่ย" นักข่าวคนหนึ่งอุทาน
"ก็เหมือน ๆ กันนั่นแหละน่า นี่มันงานแถลงข่าวเปิดตัวภาพยนตร์เรื่อง 'เกาะแห่งผู้สูญหาย' ของผู้กำกับควอนกีแท็กนะเว้ย"
"แต่มันก็ไม่บ่อยนะที่จะมีงานใหญ่ขนาดนี้"
"ผู้กำกับควอนกีแท็กเชียวนะ แค่ชื่อเสียงของเขาก็เรียกแขกได้มากขนาดนี้แล้ว ยิ่งมีนักแสดงระดับท็อปมาร่วมงานอีก แล้วยังมีคังวูจินอีกต่างหาก คุณดูหน้านักข่าวคิมสิ น้ำลายไหลเชียว เห็นไหมล่ะ บอกแล้วว่าทุกคนตั้งใจมาทำข่าวนี้โดยเฉพาะ"
“อะไรกัน ถูกของเธอ คังวูจินน่ะ นอกจากเรื่องบ้า ๆ ที่เป็นข่าวครึกโครม เขาก็ไม่ค่อยจะออกสื่อนี่นา โอ้ย ไม่นะ หรือว่าวันนี้เขาจะไม่มาอีก?”
“ฉันถามทีมงานแล้ว เขาบอกว่ามาแน่ ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์”
ท่ามกลางเสียงซุบซิบของนักข่าวมากมาย บรรดาทีมงานที่อยู่บริเวณด้านหน้าของฮอลล์ต่างก็กำลังจัดเตรียมสถานที่ โต๊ะยาวที่ตั้งอยู่บนเวที ไมโครโฟนแบบถือ และขวดน้ำดื่ม วางอยู่ด้านหลังโปสเตอร์ขนาดใหญ่ ซึ่งก็คือโปสเตอร์อย่างเป็นทางการของภาพยนตร์เรื่องที่จัดงานแถลงข่าวในวันนี้
ทหารที่อยู่ในชุดทหารยืนอยู่หน้าถ้ำขนาดใหญ่ ไม่สิ เป็นนักแสดงต่างต่างหาก คังวูจินที่ส่งยิ้มเจื่อน ๆ อยู่สะดุดตาขึ้นมาทันที
และด้านหน้าของพวกเขามีชื่อเรื่องสีขาวฟอนต์หยาบ ๆ ปรากฏขึ้น
- ‘เกาะแห่งผู้สูญหาย’
งานอีเวนต์ใหญ่ที่ต้องจัดขึ้นก่อนภาพยนตร์จะเข้าฉายสองถึงสามเดือน
ทันใดนั้นเอง
- แอ๊ด
ประตูทางเข้าด้านหน้าฮอลล์ก็เปิดออก เผยให้เห็นผู้กำกับควอนกีแท็กที่ผมเกือบจะขาวโพลนทั้งศีรษะ นักข่าวหลายร้อยคนที่จำเขาได้ต่างก็กดชัตเตอร์กันรัวราวกับคนบ้าในชั่วพริบตาเดียว บริเวณหน้าเวทีก็เต็มไปด้วยแสงแฟลชวาบไปมา
และผู้ที่เดินตามหลังผู้กำกับควอนกีแท็กก็คือนักแสดงนำของ ‘เกาะแห่งผู้สูญหาย’ นั่นเอง พูดง่าย ๆ ก็คือเหล่านักแสดงระดับท็อป และข้างหน้า…
“โอ้โห! คังวูจินมาแล้ว!!”
คังวูจินเดินนำมาเป็นคนแรก
-จบ-
ติดตามผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:ยักษาแปร ผู้แปลลงแค่ในMy-NovelและThai-novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นรบกวนมาสนับสนุนทีนะครับผม หรือจะมากดไลก์แฟนเพจก็ได้ กระซิกกระซิก ;-;_