บทที่ 250 ช่างหอมอะไรเช่นนี้!
บทที่ 250 ช่างหอมอะไรเช่นนี้!
หลี่เอ้อร์กับไป่อันหนีทำงานกันอยู่หลายชั่วโมง จนในที่สุดก็จัดวางกล้องวงจรปิดทั่วทั้งตึกเสร็จสิ้น เพื่อประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย ไป่อันหนีติดกล้องไว้ที่ทางเดินทุก ๆ สองชั้น
"ติ๊ง!"
เสียงลิฟต์เปิดออก กลุ่มพนักงานต้อนรับหญิงของโรงแรมจวินตู้ก้าวเข้ามาในลิฟต์ พวกเธอถอยออกห่างจากหลี่เอ้อร์และไป่อันหนีทันที เนื่องจากทั้งคู่มีเหงื่อเต็มตัวและกลิ่นไม่ค่อยน่าอภิรมย์นัก
"ช่วยกดชั้นลบสองให้หน่อย!" หัวหน้าของกลุ่มพนักงานต้อนรับหญิงพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ
หลี่เอ้อร์ทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่สนใจใด ๆ
"เฮ้! หูหนวกรึไง กดชั้นลบสองให้หน่อย!" หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงไม่สุภาพ
หลี่เอ้อร์เงยหน้าขึ้นจากใต้หมวกแก๊ปพร้อมตอบกลับ "ฉันเป็นพ่อเธอเหรอ ถึงต้องเชื่อคำสั่งของเธอเอง มือใช้การไม่ได้รึไง กดเองสิ"
พนักงานต้อนรับหญิงหน้าแดงด้วยความโกรธ "นาย นาย นาย กล้าดียังไงมาด่าคนอื่น บอกหมายเลขพนักงานมาซิ เราจะฟ้องหัวหน้าแผนกซ่อมบำรุง!"
"เธอฟ้องฉันแล้ว ฉันยังต้องบอกหมายเลขพนักงานให้ด้วยเหรอ? ถ้าโง่ก็อย่าคิดว่าคนอื่นจะโง่ตามไปด้วย" หลี่เอ้อร์พูดพลางยิ้มเยาะ
ต้องยกความดีให้ฝีมือการปลอมตัวของไป่อันหนี เพราะพนักงานต้อนรับเหล่านี้ไม่มีใครจำได้เลยว่าหลี่เอ้อร์ตรงหน้าคือ "เทพมรณะ" แห่งวงการตำรวจที่น่ากลัว
"ไม่มีมารยาท น่าสมเพชที่จะต้องเป็นช่างซ่อมบำรุงไปทั้งชีวิต" หัวหน้าพนักงานต้อนรับกล่าวอย่างขุ่นเคือง กดปุ่มเปิดลิฟต์อย่างแรง เพราะไม่อยากอยู่ร่วมลิฟต์กับหลี่เอ้อร์และไป่อันหนี
"ระวังกดจนปุ่มพังล่ะ" หลี่เอ้อร์เตือนเมื่อเห็นเธอกดปุ่มอย่างรุนแรง
"ฉันกดตามใจ!"
ขณะที่พนักงานต้อนรับกดปุ่มอย่างเพลิดเพลิน เสียง "ป๊อบ!" ดังขึ้นพร้อมกับประกายไฟฟ้าจากแผงควบคุม ลิฟต์หยุดทำงานและล็อกประตูทันทีเพื่อความปลอดภัย
หลี่เอ้อร์กระตุกหางคิ้ว
‘นี่ฉันติดโรคปากเหรอเนี่ย โดนเสาไป่ซิงสาปมาแน่ ๆ!’
"ว้าย! ทำไงดีล่ะทีนี้?" พนักงานต้อนรับหญิงเริ่มตื่นตกใจ
"คุณช่างซ่อมบำรุง ช่วยซ่อมลิฟต์ให้หน่อยสิคะ!" พนักงานต้อนรับหญิงหน้าตาดีคนหนึ่งพูดกับหลี่เอ้อร์ด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
หลี่เอ้อร์ยักไหล่ "ฉันเก่งแค่เรื่องแก้ท่อน้ำตัน เรื่องลิฟต์นี่ระดับสูงเกินไป ชอบก็ซ่อมเองละกัน" เขายื่นไขควงให้พนักงานต้อนรับหญิงคนนั้น
"หา?" พนักงานหญิงอึ้งไป
"ที่แผงควบคุมลิฟต์มีปุ่มกดสัญญาณแจ้งเตือน กดปุ่มนี้แล้วห้องควบคุมก็จะรับรู้ถึงปัญหาเอง" หญิงสาวผู้เงียบขรึมซึ่งเป็นพนักงานต้อนรับอีกคนแนะนำขึ้นม
"โอ้ จริงด้วย รีบกดแจ้งไปสิ" พนักงานต้อนรับที่ตื่นเต้นรีบกดปุ่มแจ้งเตือนในลิฟต์
ความปลอดภัยของโรงแรมจวินตู้นั้นเข้มงวดมาก ไม่นานเจ้าหน้าที่ก็มาถึงและใช้กุญแจพิเศษเปิดประตูลิฟต์ให้พนักงานหญิงออกมาได้
หลี่เอ้อร์และไป่อันหนีเดินตามออกมาเป็นกลุ่มสุดท้าย
"อาจารย์คะ เธอระแวดระวังเกินไป ฉันเลยติดเครื่องติดตามที่ตัวเธอไม่สำเร็จ" ไป่อันหนีมองหลังพนักงานต้อนรับหญิงคนนั้นด้วยความรู้สึกผิดหวัง
หลี่เอ้อร์และไป่อันหนีต่างรู้สึกถึงท่าทางแปลก ๆ ของพนักงานต้อนรับที่เงียบขรึม เธอมีท่าทีระมัดระวังและรีบเข้าประจำมุมที่ได้เปรียบที่สุดทันทีที่เข้าลิฟต์ แถมยังชำเลืองมองกระเป๋าของหลี่เอ้อร์อย่างระแวดระวัง หลังจากมั่นใจว่าไม่มีอาวุธเธอจึงยืนนิ่ง ท่าทางเหล่านี้ดูไม่เป็นปกติ แต่สำหรับตำรวจเก๋าอย่างหลี่เอ้อร์และไป่อันหนีก็พอจะดูออกว่าเธอมีพิรุธ
หลี่เอ้อร์ปลอบใจไป่อันหนีด้วยการยักไหล่ "ไม่เป็นไรนะ ครั้งนี้ไม่สำเร็จก็คราวหน้า เธอไม่ได้ทำงานแค่วันเดียวสักหน่อย พรุ่งนี้เราสลับกัน ฉันจะเป็นคนติดเครื่องติดตามเอง"
หลี่เอ้อร์รีบปิดปากทันทีที่พูดจบ ในใจเขาสงสัยว่าปากตัวเองจะเป็นโรคปากพาจน พนักงานที่ต้องสงสัยนี่จะไม่กลับมาทำงานพรุ่งนี้จริง ๆ รึเปล่า?
"โอ้..." ไป่อันหนีพยักหน้า
หลี่เอ้อร์เดาถูกเสียจริง เพราะแม้จูเฟยจะไม่รู้ว่าหลี่เอ้อร์กับไป่อันหนีจับตาดูเธออยู่ แต่เธอก็รู้สึกกระวนกระวายใจอย่างประหลาด เธอจึงตัดสินใจไม่กลับมาทำงานที่นี่อีก ทำให้รอดพ้นจากการถูกหลี่เอ้อร์และไป่อันหนีติดตามไปได้อย่างหวุดหวิด
อีกด้านหนึ่ง ไช่หยวนฉีก็กำลังตรวจสอบเป้าหมายที่เขารับผิดชอบ เขายังจัดการทดสอบจำลองสถานการณ์การบุกปล้นแบบจริง เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยขนาดที่แม้แต่กองทัพก็ยากที่จะเข้าถึงเป้าหมายได้
“ฮัลโหล หลี่เอ้อร์ สถานการณ์ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง?” ไช่หยวนฉีโทรมาอย่างห่วงใย เพราะกลัวว่าการที่หลี่เอ้อร์ข้ามเขตไปทำงานจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากสถานีตำรวจเขตหว่านไจ๋
"เรียบร้อยดี ไม่มีปัญหา" หลี่เอ้อร์พูดปัดอย่างขำ ๆ “ผมถามทางผู้จัดงานแล้ว งานแสดงอัญมณีจะจัดอยู่บนชั้นเจ็ดสิบกว่า ผมตั้งใจว่าพอเริ่มงานจะตัดไฟลิฟต์ซะเลย จะได้ให้พวกโจรปีนบันไดขึ้นไปแทน แค่นี้ขามันก็อ่อนแล้ว”
“เอ่อ...” ไช่หยวนฉีถึงกับเหงื่อตก “นี่คุณไม่ได้พูดจริงใช่ไหม?”
“พูดจริงสิ ผมเตรียมกรรไกรตัดสายไฟมาแล้วสองอัน ถ้างานจบปลอดภัยผมก็ต่อลิฟต์ให้ใช้งานได้ตามปกติ” หลี่เอ้อร์ตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
ไช่หยวนฉีถึงกับอึ้งกับวิธีการเจ้าเล่ห์ของหลี่เอ้อร์ แต่พอคิดดูดี ๆ วิธีนี้ก็ได้ผลอยู่ ถ้าโจรต้องปีนบันไดกว่าจะถึงชั้นเจ็ดสิบคงหมดแรง และต่อให้ขโมยอัญมณีได้ การหนีลงมาก็คงเป็นปัญหาใหญ่เช่นกัน“หลี่เอ้อร์ โรงแรมจวินตู้เป็นทรัพย์สินของกลุ่มบริษัทตระกูลหลี่นะ หากนายไปทำให้ลิฟต์เสียหายล่ะก็ คำร้องเรียนอาจทำให้นายเดือดร้อนได้” ไช่หยวนฉีรู้สึกว่าจำเป็นต้องเตือนหลี่เอ้อร์
“โอ้! เป็นแบบนี้เองเหรอ” หลี่เอ้อร์พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “งั้นผมก็แค่เสนอไอเดียเฉย ๆ ผมไม่ได้ทำจริงสักหน่อย แต่ถ้าลิฟต์มันเสียเองขึ้นมาล่ะก็...ใครจะรู้ได้?”
“เอ่อ... ถือว่าผมไม่ได้พูดแล้วกัน” ไช่หยวนฉีรีบวางสายทันที
“ไช่ซือ หลี่เอ้อร์น่าจะพูดเล่นน่ะครับ พวกเราเป็นตำรวจนะ จะไปทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไง” ผู้ช่วยของไช่หยวนฉีแอบกระซิบเบา
“อืม! มีเหตุผล” ไช่หยวนฉีพยักหน้าเห็นด้วย “นายไปซื้อกรรไกรยี่ห้อหวังมาจื้อมาให้สองอันด้วยนะ”
“หา???” ผู้ช่วยของไช่หยวนฉีถึงกับอึ้ง
ไช่หยวนฉีปฏิเสธปากแข็ง แต่ในใจกลับเห็นด้วย วิธีนี้เข้าท่ามาก เพราะเป้าหมายที่เขาต้องคุ้มครองก็อยู่บนชั้นเจ็ดสิบกว่าเหมือนกัน
ในขณะเดียวกัน จูเฟยกลับมาถึงที่ซ่อนขององค์กร
“เฟยเฟย เป็นไงบ้าง ระบบความปลอดภัยของโรงแรมจวินตู้มีอะไรพอจับตาได้ไหม?” หมอถามขึ้นอย่างสบาย ๆ
ขณะนั้นลูกน้องคนอื่น ๆ ของหมอกำลังทดสอบอาวุธกันอยู่ ทางด้านกระต่ายเองก็ซื้ออาวุธจากจอห์นนี่ หวังมาได้ครบทุกอย่าง แม้แต่ระเบิดพลาสติกก็ยังหาได้จากเกาะเล็ก ๆ อย่างฮ่องกงนี้
“ทั้งตึกมีทีมรักษาความปลอดภัยประมาณยี่สิบถึงสามสิบคน ลิฟต์ทั้งหมดมีกล้องวงจรปิด และปุ่มสัญญาณแจ้งเตือนในล็อบบี้เชื่อมต่อกับสายด่วนของสถานีตำรวจหว่านไจ๋” จูเฟยยิ้มเล็กน้อยขณะเอนกายพิงหมอ “แต่ทั้งหมดก็แค่ดูดีเท่านั้นเอง ที่ลานจอดรถใต้ดินของพวกเขามี รปภ. แค่สองคนเท่านั้น”
หมอพยักหน้าอย่างพอใจ ดูเหมือนพวกเขาจะสามารถบุกจากลานจอดรถใต้ดินได้
“กระต่าย เรือพร้อมแล้วใช่ไหม?” หมอหันไปถามน้องชายของเขา
ชายสวมแว่นดำทำท่าโอเคด้วยความมั่นใจ
“เตรียมไว้ที่ท่าเรือหว่านไจ๋ พร้อมออกทะเลทันทีที่ได้ของ และยังมีพวกนักเลงอีกสามกลุ่มคอยสร้างสถานการณ์ที่ท่าเรืออื่น ๆ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของพวกตำรวจ” กระต่ายยิ้มกว้างอย่างภาคภูมิใจ “พวกตำรวจบ้านนอกในเกาะนี้ไม่มีทางคิดหรอกว่า สถานที่ที่อันตรายที่สุดจะเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด”
ในขณะเดียวกัน เหลียงคุนมองดูเงินหนึ่งหมื่นบนโต๊ะด้วยความประหลาดใจ
“แค่ไปสร้างเรื่องที่ท่าเรือซือเตี่ยนเฉิน ก็ได้เงินตั้งสามหมื่น?” เหลียงคุนรู้สึกว่าเรื่องนี้ดูง่ายเกินไป เงินที่หล่นมาจากฟ้าแบบนี้ ไม่น่าจะตกใส่เขาได้โดยบังเอิญ เรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำแน่ ๆ ปีนี้เขาเคราะห์ร้ายมาตลอดทั้งปี จึงไม่คาดหวังว่าจะมีโชคดีอะไร
“เสี่ยงเฉียง แกไปสืบมาให้ฉันหน่อยว่า มีใครคนอื่นได้เงินแบบนี้อีกหรือเปล่า?” เหลียงคุนพูดอย่างระมัดระวัง เขาเพิ่งจะรับงานจอดรถเพิ่มมาอีกสองที่ และไม่อยากทำอะไรให้พลาดจนโดนจับได้ เขาเชื่อว่าทำธุรกิจแบบค่อยเป็นค่อยไปนั้นดีกว่าไม่ว่าทางไหน ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เขาจะเปิดเผยตัวเองมากเกินไป