ตอนที่แล้วบทที่ 177 เช็งเม้ง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 179 เทียบกับคนในเมืองไม่ได้

บทที่ 178 เท้าคู่สวย


บทที่ 178 เท้าคู่สวย

เดินกลับไปตามทางใหญ่ในระหว่างทางที่มา

รอบข้างมีคนเดินกันอย่างรีบร้อนเต็มไปหมด

มองข้ามทุ่งนาออกไป พวกเขากลายเป็นจุดสีดำเล็ก ๆ ในระยะไกล

ทุกคนกำลังทำสิ่งเดียวกัน

เสียงประทัดดังสนั่นไปทั่ว ฟุ้งด้วยควันและเศษกระดาษปลิวว่อน

เฉินเฉิงมองไปยังจุดสีดำเหล่านั้นที่อยู่ไกลออกไป

ราวกับว่าทุ่งนาคือรากเหง้าของคนจีนที่สลักลึกลงไปในกระดูก

เพราะบนเส้นทางนั้นฝังไว้ด้วยวัยเยาว์ และในผืนดินนั้นฝังบรรพบุรุษ

ความคิดถึงบ้านจะเข้าใจได้ก็ต่อเมื่อห่างไกลจากบ้านไปแล้ว

เดินมาถึงสุดปลายทางโคลนแฉะ

จักรยานของเจียงลู่ซีจอดอยู่ตรงนั้น

มอเตอร์ไซค์ของเฉินเฉิงก็จอดอยู่ตรงนั้นเช่นกัน

ในชนบทการหาพื้นที่ของทุ่งนานั้นแยกแยะได้ยากมาก

แม้ว่าเฉินเฉิงจะถามทางจากคนในหมู่บ้านจนรู้ที่ฝังพ่อแม่ของเจียงลู่ซี

แต่ถ้าไม่เห็นจักรยานของเจียงลู่ซีจอดอยู่ข้างทาง ก็คงหายากมาก

“ฉันจะขี่นำไปข้างหน้า นายตามมา” เจียงลู่ซีบอกเขา

เธอกลัวว่าเขาจะไม่รู้ทางไปบ้านเธอหรืออาจหลงทางในทุ่งนา

“ฉันรู้ทางไปบ้านเธอแล้ว” เฉินเฉิงตอบ

“อืม” เจียงลู่ซีพยักหน้า พึ่งนึกออกว่าเขาเคยมาบ้านเธอหลายครั้งแล้ว

ถึงกระนั้น เธอก็ยังขี่จักรยานนำทางให้

ไม่นานนัก ทั้งสองก็มาถึงบ้าน

เจียงลู่ซีลงจากรถแล้วเปิดประตูใหญ่

“นายเอารถเข้ามาในลานบ้านได้เลย” เธอพูด

“จอดไว้ข้างนอกก็ได้ ไม่เป็นไรหรอก” เฉินเฉิงตอบ

เจียงลู่ซีส่ายหน้า “เดี๋ยวฝนจะตก นายจอดไว้ในโรงเก็บเถอะ”

เฉินเฉิงมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆดำครึ้ม

ดูท่าว่าฝนจะเทลงมาได้ทุกเมื่อ

เขาจึงเข็นมอเตอร์ไซค์เข้าไปไว้ในโรงเก็บของในลานบ้าน

เจียงลู่ซีก็เข็นจักรยานไปเก็บไว้เช่นกัน

ตอนนั้นเอง คุณยายของเจียงลู่ซีเดินออกมาจากในบ้าน เมื่อเจียงลู่ซีเห็นคุณยายออกมาและเห็นท่าทีแปลกใจของคุณยายเมื่อเห็นเฉินเฉิง เธอจึงเดินไปเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่สุสานให้คุณยายฟัง

เมื่อฟังจบ คุณยายยิ้มแล้วพูดกับเฉินเฉิงว่า “ในเมื่อมาถึงแล้ว ก็ไม่ต้องรีบกลับไปแล้วล่ะ อยู่กินมื้อเย็นด้วยกันก่อนนะ”

“คุณยาย ต่อให้คุณยายจะไล่ผมกลับตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้วล่ะ ดูเหมือนฝนจะตกจริง ๆ ถ้าออกไปตอนนี้คงเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำแน่” เฉินเฉิงพูดกับคุณยายเจียงลู่ซีพลางหัวเราะ

“คุณยายไม่มีทางไล่นายหรอก” เจียงลู่ซีพูด

เฉินเฉิงส่ายหน้าหัวเราะ และพูดกับคุณยายว่า “คุณยาย หลานสาวของคุณยายดีทุกอย่างเลยนะ แต่จริงใจเกินไป”

คุณยายหัวเราะออกมาเช่นกัน

หลานสาวของเธอคนนี้ ช่างดื้อและจริงใจเหลือเกิน

เจียงลู่ซีเห็นทั้งสองคนหัวเราะกันจึงหน้าแดงด้วยความเขิน

เธอไม่ได้พูดอะไรผิดเสียหน่อย ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกเขาต้องมาหัวเราะเธอด้วย

เจียงลู่ซีล้างมือและล้างหน้าที่เปื้อนดิน

จากนั้นเธอจัดเตรียมอ่างน้ำให้เฉินเฉิง “นี่ นายล้างมือที่นี่ได้เลย”

เฉินเฉิงพยักหน้าแล้วเดินไปล้างมือ

หลังจากที่เฉินเฉิงล้างมือเสร็จ เจียงลู่ซีช่วยเทน้ำทิ้งให้

“ฉันขอไปเปลี่ยนรองเท้าและเสื้อผ้าก่อนนะ” เจียงลู่ซีบอก

“รีบไปสิ” เฉินเฉิงตอบ

คุณยายของเจียงลู่ซีสังเกตเห็นว่าตัวหลานสาวเปื้อนดินเต็มไปหมดจึงถามอย่างห่วงใยว่า “ไปทำอะไรมา ทำไมตัวถึงเปื้อนดินมากขนาดนี้?”

“ไม่เป็นไรค่ะคุณยาย ทางมันลื่นน่ะค่ะ เลยลื่นล้มไปหลายที” เจียงลู่ซีตอบ

“บอกให้ระวัง ๆ แล้วก็ไม่เชื่อ” คุณยายเจียงลู่ซีส่ายหน้า

เจียงลู่ซีเดินเข้าไปในบ้านเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า

ในลานบ้านจึงเหลือเพียงเฉินเฉิงและคุณยายของเธอ

“เฉินเฉิง เรียกว่าหนูเสี่ยวเฉินก็แล้วกันนะ ช่วงเวลาที่ผ่านมา ขอบใจหนูมากเลยนะ” คุณยายของเจียงลู่ซีกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“เป็นสิ่งที่ผมควรทำอยู่แล้วครับ” เฉินเฉิงยิ้ม

คำว่า ‘ควร’ ของเขานั้นไม่ได้เกี่ยวกับความชอบพอ

ไม่ว่าจะชอบเจียงลู่ซีหรือไม่

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เขาควรทำ

คุณยายเจียงลู่ซีฟังแล้วก็ยิ้มก่อนพูดต่อ “คืนวันก่อนที่พวกหนูปิดเทอม เสี่ยวซีได้เล่าเรื่องหลายอย่างเกี่ยวกับหนูให้ยายฟังนะ”

“มีเรื่องอะไรบ้างเหรอครับ?” เฉินเฉิงถามด้วยความอยากรู้

คุณยายยิ้มแล้วเล่าเรื่องที่เจียงลู่ซีเล่าให้เธอฟังในคืนนั้นทั้งหมด

เฉินเฉิงฟังจบก็มองคุณยายตรงหน้าและกล่าวว่า “ขอบคุณครับ”

ด้วยความสำคัญที่เจียงลู่ซีมีต่อคุณยายของเธอ

หากตอนนั้นคุณยายไม่ช่วยพูดให้เขา เธออาจจะไปขอให้ครูประจำชั้นเปลี่ยนที่นั่งใหม่ตอนเปิดเทอมก็เป็นได้

คุณยายเจียงลู่ซีได้ยินจึงโบกมือ “ต้องเป็นยายต่างหากที่ต้องขอบใจหนู ยายแก่แล้วก็จริง แต่ยังไม่ได้เลอะเลือน ยายรู้ว่าที่หนูทำเหมือนแกล้งเธอไปงั้น แต่ที่จริงคือหนูกำลังช่วยเหลือเธออยู่ ช่วงนี้เสี่ยวซีทั้งร่างกายและจิตใจสดใสขึ้นมาก ยายดูออกนะ”

คุณยายยิ้มและถามว่า “หนูเสี่ยวเฉิน หนูชอบเสี่ยวซีของยายใช่ไหม?”

เฉินเฉิงพยักหน้าแล้วยิ้ม “ไม่ปิดบังคุณยายนะครับ ผมชอบเธอจริง ๆ ครับ”

“แล้วหนูชอบเธอตรงไหนล่ะ?” คุณยายถาม

“ข้อดีของเธอคงไม่ต้องให้ผมบอกนะครับ” เฉินเฉิงยิ้ม

“ได้ยินมาว่าหนูเคยชอบเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งอยู่ตั้งห้าหกปี?” คุณยายถาม

“ใช่ครับ เคยมีช่วงเวลานั้น” เฉินเฉิงตอบ

“แล้วตอนนี้หนูยังชอบเธอคนนั้นอยู่ไหม?” คุณยายถาม

เฉินเฉิงส่ายหน้าแล้วมองคุณยายพลางยิ้ม “คุณยาย ต่อไปอย่าถามแบบนี้เลยนะครับ ตอนนี้ผมชอบแค่เจียงลู่ซีคนเดียว ตอนนี้ชอบ และจะชอบตลอดไป”

คุณยายมองเฉินเฉิงด้วยสายตาจริงจัง

แววตาของเขาในตอนนี้ทั้งใสซื่อและจริงใจ

“คุณยายคุยอะไรกันอยู่เหรอ?” ตอนนั้นเอง เจียงลู่ซีเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จและเดินออกมาจากบ้าน

“ไม่มีอะไร คุยเรื่องทั่วไปน่ะ” คุณยายมองหลานสาวพลางกล่าว “เปลี่ยนเสื้อผ้าทำไมนานจัง?”

เจียงลู่ซี

หน้าแดงขึ้นเล็กน้อย มองเฉินเฉิงแล้วพูดว่า “เฉินเฉิง นายหันไปมองทางทิศตะวันออกก่อน”

แม้ว่าเฉินเฉิงจะไม่รู้ว่าเธออยากทำอะไร แต่เขาก็ทำตามที่เธอบอก

เมื่อเห็นเฉินเฉิงหันหน้าไปทางตะวันออก

เจียงลู่ซีก็รีบวิ่งออกมาจากบ้าน

เธอวิ่งไปที่บ่อน้ำและเริ่มสูบน้ำ

เมื่อสูบน้ำออกมาแล้ว เจียงลู่ซีก็พับขากางเกงขึ้นและล้างเท้า

จริง ๆ แล้ว เจียงลู่ซีเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยในบ้านแล้ว

เหตุผลที่เธอไม่กล้าออกมาก็เพราะตอนที่เธอไปทำพิธีให้พ่อแม่ เธอเดินอยู่บนทางแฉะกลางทุ่งนา เท้าของเธอจมลงในโคลนทำให้รองเท้าและเท้าของเธอเลอะไปหมด

เมื่อถอดถุงเท้าออกมาดู เธอก็เห็นว่าเท้าเลอะไปหมด และเนื่องจากเฉินเฉิงอยู่ข้างนอก เธอเลยไม่กล้าออกมาล้างเท้าเพราะกลัวว่าเขาจะเห็น

เท้าของเธอไม่เคยให้ใครดูเลยนอกจากคุณยาย

ทุกปีเมื่อถึงหน้าร้อน เจียงลู่ซีจะไปเรียนโดยใส่รองเท้าผ้าปิดเท้าสนิท

ในความคิดแบบโบราณของเธอที่ค่อนข้างหัวโบราณ

เท้าของผู้หญิงไม่ควรให้ผู้ชายเห็น

ดังนั้นเมื่อเธอคุยกับเฉินเฉิงจากในบ้าน เธอก็พับขากางเกงลงต่ำที่สุดและใช้ธรณีประตูช่วยบังไว้เพื่อไม่ให้เขาเห็นเท้า

แม้จะอายไม่อยากให้เขาเห็น แต่เธอก็จำเป็นต้องออกมาเพราะใกล้จะสิบเอ็ดโมงแล้ว เธอยังต้องไปเก็บฟางมาใช้เป็นเชื้อเพลิง ต้องไปล้างผัก และทำอาหารอีก

เจียงลู่ซีถอดรองเท้าแล้วเหยียบบนแผ่นหินที่อยู่ใต้บ่อน้ำ

เมื่อสัมผัสกับความเย็นของสายน้ำที่ไหลผ่านเท้า

เจียงลู่ซีก็ใช้มือขัดคราบสกปรกที่เท้าออกจนสะอาดหมดจด

แม้กระทั่งร่องนิ้วเท้าสวย ๆ ก็ไม่ปล่อยให้มีรอยสกปรกหลงเหลือ

เมื่อเท้าคู่งามกลับมาสะอาดอีกครั้ง เจียงลู่ซีตั้งใจจะพับขากางเกงลงแล้วกลับเข้าไปในบ้านเพื่อเปลี่ยนรองเท้า แต่ทันใดนั้น เฉินเฉิงที่กำลังหันไปทางตะวันออกก็รู้สึกว่าตอนที่เธอคุยกับเขาจากในบ้าน เธอใส่เสื้อผ้าที่ค่อนข้างเรียบร้อยดีไม่ได้มีอะไรน่าอาย

ดังนั้นด้วยความอยากรู้ เฉินเฉิงจึงหันกลับมา

และสิ่งที่เขาเห็นก็คือ เท้าคู่งามสีขาวเนียนใต้ขาเรียวขาวที่เผยให้เห็นเพียงครึ่งหนึ่ง

เท้าที่มักถูกซ่อนในรองเท้า ไม่เคยเผยให้ใครเห็นมาก่อน

เท้าคู่งามของเจียงลู่ซีขาวสะอาดและงดงามมาก

โดยเฉพาะหลังจากที่ถูกน้ำล้างทำความสะอาด ยิ่งดูขาวสะอาดมีน้ำฉ่ำวาว

เท้าที่ดูดั่งหยกขาวคู่นั้นยืนเรียงกันอยู่บนแผ่นหิน

เฉินเฉิงเข้าใจทันทีว่าทำไมบรรดานักเขียนในอดีตจึงหลงใหลในเท้าของสาว ๆ ขนาดนั้น แม้แต่มาสเตอร์กิมย้งยังบรรยายเท้าของนางเอกในเรื่องด้วยคำศัพท์ที่วิจิตรบรรจง

เท้าคู่งามของเจียงลู่ซี

ทั้งน่ารักและงดงามมาก

แต่หลังจากที่เผลอจ้องมองอยู่นาน ในที่สุดเฉินเฉิงก็ต้องเผชิญกับสายตาอันโกรธจัดของเจียงลู่ซีที่หน้าแดง เธอถลึงตามองเขาแล้วรีบสวมรองเท้าใส่ขากางเกงให้เรียบร้อย ก่อนจะรีบวิ่งเข้าบ้านไป

ส่วนคุณยายเจียงลู่ซี ก็แกล้งทำเป็นไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้

ไม่นาน เจียงลู่ซีเปลี่ยนมาใส่รองเท้าแล้วเดินออกมาจากบ้าน

แก้มเธอยังแดงระเรื่อ เดินผ่านเฉินเฉิงโดยไม่พูดอะไร แต่ถือกระจาดออกไปเก็บฟางเตรียมเป็นเชื้อเพลิง เมื่อเก็บฟางเสร็จแล้ว เธอก็ล้างมือเตรียมทำอาหาร

“เสี่ยวเฉิน เข้าไปนั่งในบ้านดื่มน้ำชาไปก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะไปช่วยเสี่ยวซีเตรียมอาหาร อาหารเสร็จเร็ว ๆ นี้แหละ” คุณยายเจียงลู่ซีบอกเฉินเฉิง

“อะแฮ่ม คุณยาย ให้ผมช่วยก็ได้ครับ” เฉินเฉิงยังรู้สึกเขินอยู่ที่เมื่อครู่เขาหันไปเห็นเท้าของเจียงลู่ซี

ประเด็นคือ สาว ๆ คนอื่นคงไม่ถืออะไร

แต่จากที่เขาเห็น เจียงลู่ซีที่มักจะรักษามารยาท เธอคงถือมากเรื่องนี้

“ไม่ต้อง ไม่ต้อง” คุณยายส่ายหน้า “จะให้แขกมาช่วยทำอาหารได้ยังไง หนูไม่ต้องทำอะไร แค่พักอยู่ในบ้านก็พอ”

พูดเสร็จ คุณยายก็เดินเข้าไปในครัว

เฉินเฉิงก็แค่พูดไปงั้น เพราะถ้าเข้าไปในครัวจริง เขาคงถูกเจียงลู่ซีมองค้อนแน่ ๆ

เมื่อครู่นี้เขาไม่ได้คิดจริง ๆ ว่าเจียงลู่ซีจะถอดรองเท้าล้างเท้า

แต่เขาก็ไม่เสียใจที่หันกลับไป

บางภาพ ถ้าพลาดไปแล้ว ก็คงไม่มีโอกาสได้เห็นอีก

เฉินเฉิงเดินเข้าไปในบ้านมองดูรอบ ๆ เขายังไม่เห็นรางวัลที่ติดบนผนังบ้านเลย ตอนเดินเข้ามาในบ้าน เขาก็แอบชำเลืองมองผนังห้องของเจียงลู่ซี ก็ไม่เห็นรางวัลใด ๆ เหมือนกัน

เฉินเฉิงเริ่มสงสัยจริง ๆ ว่ารางวัลที่เจียงลู่ซีได้รับทุกเทอมไปอยู่ที่ไหน? รางวัลที่เขาได้มาในปีที่แล้วก็ถูกแม่ของเขานำไปติดไว้ในห้องโถงให้คนเห็นชัด ๆ หมดแล้ว

เจียงลู่ซีที่สวมผ้ากันเปื้อนเดินเข้ามาพร้อมชาม จากนั้นรินน้ำร้อนใส่ชามให้เฉินเฉิง

เธอหยิบถุงเล็ก ๆ ใส่ลูกอมจากบนโต๊ะและบอกกับเฉินเฉิงว่า “บ้านเราไม่มีชาน่ะ แต่ยังมีลูกอมที่เหลือจากปีใหม่ นายใส่ลงในชามได้”

“ไม่ต้องหรอก” เฉินเฉิงส่ายหน้า “น้ำร้อนธรรมดาก็ดีที่สุดแล้ว เธอไม่ต้องดูแลฉัน ไปทำงานของเธอเถอะ”

“อืม” เจียงลู่ซีพยักหน้าแล้วเดินไปทำงานต่อ

ตอนนั้นเอง เสียงคนรับซื้อของเก่าดังมาจากนอกบ้าน

เจียงลู่ซีพูดขึ้นว่า “คุณยายคะ เดี๋ยวหนูไปขายของเก่าก่อนนะคะ”

เจียงลู่ซีถอดผ้ากันเปื้อน เดินกลับเข้าไปในห้องของเธอ

เธอเปิดตู้และนำรางวัลที่เก็บไว้หลายปีออกมาหมด

พร้อมทั้งหยิบสมุดที่ใช้หมดไปแล้วออกมาทั้งหมด

สมุดที่ใช้หมดแล้วเหล่านี้ เธอมัดรวมกันไว้ล่วงหน้าเพื่อความสะดวกในการขาย จึงสามารถหยิบยกออกมาได้ง่ายดาย

คุณยายเจียงลู่ซีเดินออกมาพร้อมไม้เท้าด้วยสีหน้าเศร้าเล็กน้อย

คุณยายมองรางวัลที่เงาวับในมือของหลานสาวแล้วพูดว่า “เสี่ยวซี สมุดหมดพวกนี้ขายได้ แต่รางวัลเก็บไว้ไม่ดีกว่าเหรอ? เราก็ไม่ได้ขัดสนขนาดนั้นนะ เก็บรางวัลไว้เป็นที่ระลึกจะดีกว่า”

เจียงลู่ซีส่ายหน้า “คุณยายคะ มีตั้งห้าหกสิบใบ ขายได้เยอะเลย ปีนั้นรางวัลสมัยมัธยมต้นที่หนูขายได้เงินไม่ใช่น้อย ๆ เลย ตอนนี้ราคากระดาษก็ขึ้นอีก กระดาษรางวัลนี่ดีกว่ากระดาษทั่วไปด้วยนะคะ”

เจียงลู่ซีนำรางวัลออกไปที่หน้าบ้าน เธอตะโกนเรียกคนรับซื้อของเก่าที่ขี่รถสามล้อ “ที่นี่มีของเก่าค่ะ!”

เมื่อชายชราคนรับซื้อของเก่าได้ยิน ก็ขี่รถสามล้อเข้ามาที่หน้าบ้าน เจียงลู่ซียื่นรางวัลที่เธอมัดรวมไว้ให้เขา

“กระดาษดีแบบนี้ต้องให้ราคาหน่อยนะคะ” เธอบอก

ชายชราคนนั้นบอกว่า “กระดาษมันดีอยู่แล้ว ให้แปดสลึงต่อหนึ่งจิน (ครึ่งกิโลกรัม) แล้วกัน”

เจียงลู่ซีส่ายหน้า “แค่กระดาษหนังสือพิมพ์ยังตั้งบาทหนึ่งต่อจินเลยนะ กระดาษรางวัลนี้ดีกว่ากระดาษหนังสือพิมพ์อีก ต้องหนึ่งบาทสามสลึงนะคะ ถ้าต่ำกว่านี้หนูไม่ขายค่ะ”

“งั้นบาทหนึ่ง” ชายชราบอก

“งั้นหนูไม่ขายค่ะ” เจียงลู่ซีตอบ

“ก็ได้ ๆ หนึ่งบาทสามสลึงก็หนึ่งบาทสามสลึง” ชายชราตอบ

“คุณไม่ใช่คนรับซื้อของเก่าแท้ ๆ ทำไมถึงรู้ราคาขนาดนี้นะ” ชายชราส่ายหน้า

เขาหยิบตาชั่งขึ้นมา ใช้ขอเกี่ยวกระดาษแล้วพูดว่า “นี่เป็นตาชั่งแบบกิโลกรัมนะ มองดูดี ๆ”

เจียงลู่ซีพยักหน้า

เมื่อคิดราคากระดาษรางวัลเสร็จ เธอก็ยื่นสมุดที่ใช้หมดแล้วให้ชายชรา

กระดาษของสมุดพวกนี้ราคาต่ำกว่า

แต่ก็มีน้ำหนักมากพอ

ชายชราใช้ตาชั่งวัดน้ำหนักทีละมัด ก่อนจะคิดราคาให้เจียงลู่ซี

“รางวัลทั้งหมดนี่เป็นของคนเดียวเหรอ? และทุกวิชาก็ได้ที่หนึ่งทั้งหมดเลยนะ! นี่เป็นรางวัลของหนูหรือเปล่า?” ชายชราพบว่ารางวัลทั้งหมดนั้นมีชื่อคนเดียวและทุกใบได้ที่หนึ่งทั้งนั้น

เจียงลู่ซีไม่ตอบ

เธอแค่ตั้งใจนับเงิน

เมื่อพบว่าเงินครบถ้วนไม่มีธนบัตรปลอม เธอก็พยักหน้าแล้วกำเงินไว้ในมือ

“ก่อนหน้านี้เธอก็ขายรางวัลแบบนี้ไปแล้วเหรอ?” ในลานบ้าน เฉินเฉิงเอ่ยถาม

“อืม” คุณยายของเจียงลู่ซีถอนหายใจและกล่าวว่า “เฮ้อ... รางวัลพวกนี้ ยายไม่อยากให้เธอขายเลย ไม่มีเด็กบ้านไหนจะจนขนาดต้องขายรางวัลของตัวเองไป!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด