บทที่ 140: ข้อตกลง
“ข้าดีใจที่เจ้าเห็นด้วย” เซียวถังอี้มองไปที่มู่ไป๋ไป่พลางยิ้มมุมปาก
เด็กหญิงที่เห็นดังนั้นก็รู้สึกพูดไม่ออกและทำได้เพียงจ้องอีกฝ่ายเขม็งด้วยดวงตาคู่สวยเพื่อแสดงให้เห็นว่าตนไม่พอใจ
ทั้งคู่แทบไม่เคยเป็นมิตรต่อกัน ในขณะที่เซียวถังอี้ยังคงนั่งสบาย ๆ อยู่ที่เดิม แถมยังหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบ
เนื่องจากท่าทางสบายอารมณ์และพึงพอใจของเด็กหนุ่ม มันทำให้ในสายตามู่ไป๋ไป่มองว่าเขาเหมือนไม่มีความกระตือรือร้นที่จะให้ความร่วมมือกับเธอเลย
“ท่านจะไม่เปลี่ยนใจทีหลังใช่หรือไม่?” คนตัวเล็กเริ่มรู้สึกไม่สบายใจเมื่อเห็นการแสดงออกของเขา
เซียวถังอี้รู้ว่ามู่ไป๋ไป่ต้องการอะไร เขาจึงหันไปพูดกับนางว่า “ในตอนที่ข้าร่วมมือกับผู้อื่น ข้ามักจะได้สิ่งที่ต้องการก่อนเสมอ”
คำพูดของเขาชัดเจนมาก ทำให้เด็กน้อยต้องกัดฟันด้วยความโกรธ แต่เธอก็ต้องการเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดโดยเร็วที่สุด ดังนั้นเธอจึงลุกขึ้นยืนทันที
ในระหว่างที่เธอกำลังจะหันไปพูดกับเจ้าสัตว์ประหลาด พอเธอเผชิญหน้ากับร่างกายที่สูงใหญ่กว่าของเขา เธอก็ชะงักค้างไป ทั้ง ๆ ที่เขานั่งอยู่แต่เธอก็ยังเตี้ยกว่าเขาอยู่ดี
มู่ไป๋ไป่รู้สึกหายใจไม่ออก สุดท้ายเพื่อแสดงพลังของตัวเอง เธอได้ยืนเท้าเอวขณะถามว่า “ท่านจะรักษาคำพูดของตัวเองหรือไม่?”
“แน่นอน!” เมื่อเซียวถังอี้พิจารณาจากท่าทางของคนตัวเล็ก เขาก็ต้องยอมรับว่าเด็กน้อยคนนี้น่าสนใจมากจริง ๆ
“เอาล่ะ เช่นนั้นก็ช่วยจัดให้คนพาข้าไปหาคนพวกนั้นได้เลย” มู่ไป๋ไป่ไม่อยากทนรออีกต่อไปแล้ววางแผนที่จะไปสอบปากคำทันที
เมื่อเด็กหนุ่มได้ยินคำพูดที่หนักแน่นของเด็กหญิง เขาก็เรียกคนเข้ามาโดยไม่รอช้า “พาองค์หญิงหกไปที่คุกใต้ดินเพื่อให้นางสอบปากคำเถ้าแก่ศาลาหมื่นอสูร”
จากนั้นมู่ไป๋ไป่ก็ได้คนนำทางไปที่คุกใต้ดินและเห็นว่าเถ้าแก่ของศาลาหมื่นอสูรซึ่งก่อนหน้านี้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีและมีชีวิตชีวา ตอนนี้เขากำลังถูกมัดไว้กับเสาในสภาพร่อแร่ใกล้ตายโดยที่มุมปากของเขามีเลือดไหลออกมา
แล้วสภาพของเขาก็ดูเหมือนว่ากำลังเหนื่อยล้าจนไม่สามารถแม้แต่จะลืมตาขึ้นมาได้ แต่เมื่อมีคนตะโกนว่า “องค์หญิงหกเสด็จ!” ชายคนนั้นก็เบิกตากว้างขึ้นเพื่อเพ่งมองไปยังผู้มาเยือน
นี่เป็นครั้งแรกที่มู่ไป๋ไป่ได้เห็นนักโทษด้วยตาตัวเอง พอเทียบกับภาพครั้งสุดท้ายที่เธอเห็นบุคคลนี้ เธอก็ยังตกใจกับมันอยู่เล็กน้อย
“องค์หญิงหก?” เสียงของเถ้าแก่เริ่มอ่อนลงเรื่อย ๆ
เด็กหญิงพยายามเพ่งฟังเสียงแผ่วเบาของเขา ก่อนจะเรียกคนที่อยู่ด้านข้างให้ไปหาอาหารให้เขากิน
จากนั้นมู่ไป๋ไป่ก็ไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่พวกเขาเตรียมไว้ให้เพื่อนั่งรอชายหนุ่มตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เพราะถึงอย่างไรตอนนี้เธอก็ต้องการเค้นข้อมูลบางอย่างจากปากของเถ้าแก่ร้านคนใหม่คนนี้
การรอคอยนี้กินเวลานานถึง 3 เค่อ โชคดีที่ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาสักที แต่เมื่อเขามองเห็นคนตัวเล็ก ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“ท่านมองข้าเช่นนี้เพราะข้าเป็นองค์หญิงของแคว้นเป่ยหลงเช่นนั้นหรือ?” คนของแคว้นหนานซวนเกลียดเธอมากจนเธอมองว่ามันเป็นความแค้นระหว่าง 2 แคว้นที่ฝังลึกอยู่ในใจอีกฝ่าย
หลังจากชายคนนั้นได้ยินคำพูดของเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ เขาก็เริ่มหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“ถูกต้อง” ปัจจุบันเขาถูกแคว้นศัตรูจับตัวได้ ดูเหมือนว่าเขาจะมาถึงทางตันเรียบร้อยแล้ว
มู่ไป๋ไป่มองท่าทีไม่แยแสของเขาและก็ไม่ได้คิดที่จะแสดงออกถึงความเมตตาต่ออีกฝ่ายเลย ไม่นานเธอก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านคิดว่าการยอมพลีชีพของตัวเองดีกว่าเปิดปากนั้นจะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างนั้นหรือ หรือท่านคิดว่าทุกสิ่งที่แคว้นหนานซวนทำในช่วงหลายปีที่ผ่านมา… สามารถจัดการกับแคว้นเป่ยหลงได้ในคราวเดียว?”
“เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร!?” ยามที่เด็กหญิงพูดถึงแคว้นหนานซวน ดูเหมือนว่าเถ้าแก่ศาลาหมื่นอสูรจะอ่อนไหวกับเรื่องนี้มาก
“ท่านไม่ใช่เชื้อพระวงศ์หรอกหรือ?” เมื่อมู่ไป๋ไป่เห็นปฏิกิริยาของเขา เธอก็นึกถึงความเป็นไปได้ในใจ
หลังจากเถ้าแก่ศาลาหมื่นอสูรได้ยินคำถามของอีกฝ่าย เขาก็ยิ่งเงียบลง
“ข้าอยากจะรู้ว่ามีกองกำลังเท่าไหร่ที่ถูกส่งเข้ามาในแคว้นเป่ยหลง และท่านได้มาเป็นเถ้าแก่ศาลาหมื่นอสูรได้อย่างไร?” คนตัวเล็กถามออกไปตามตรง
ตอนนี้ชายหนุ่มพยายามหลีกเลี่ยงการตอบคำถามที่ว่าเขาเป็นเชื้อพระวงศ์ของแคว้นหนานซวนหรือไม่ ทว่าตั้งแต่ครั้งแรกที่มู่ไป๋ไป่พบเขา เธอก็เริ่มสงสัยในตัวตนที่แท้จริงของเขาแล้ว
แต่เด็กหญิงก็ยังไม่ยอมแพ้ เธอค่อย ๆ ยิงคำถามออกไปทีละคำถาม
เถ้าแก่ศาลาหมื่นอสูรที่ได้ยินดังนี้ก็ยิ่งนิ่งเงียบมากกว่าเดิม ในเวลานี้เขาเอาแต่จ้องมองคนสอบปากคำด้วยสายตาที่ล้ำลึกยากจะคาดเดา
“ท่านมองข้าทำไม?” มู่ไป๋ไป่เริ่มรู้สึกโมโหขึ้นมาเล็กน้อย
“ตอนนี้เจ้าต้องการทราบข้อมูลจากข้า เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ เรามาแลกเปลี่ยนกันดีกว่า” เถ้าแก่ศาลาหมื่นอสูรยิ้มเย็นแล้วเสนอทำข้อตกลงกับอีกฝ่ายโดยไม่สนใจที่จะตอบคำถาม
“...”
วันนี้มันวันอะไรกัน? ทำไมถึงมีคนเสนอข้อตกลงกับเธอบ่อยนัก นั่นทำให้มู่ไป๋ไป่ยิ่งรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
แต่ในเวลานี้ไม่ว่าเธอจะโมโหมากแค่ไหน เธอก็ต้องอดทนกักเก็บความรู้สึกนั้นไว้ในใจ ก่อนจะมองเขาด้วยสายตาประเมินแล้วพูดว่า “ท่านอยากรู้อะไร?”
“เจ้าไปเรียนภาษาสัตว์มาจากที่ไหน?” ตามปกติเขาไม่เคยใส่ใจเด็กน้อยตัวเท่านางมาก่อน
แต่ปีศาจน้อยตรงหน้าเขาไม่เพียงแค่สามารถเข้าใจภาษาของสัตว์ได้ แต่นางยังทำให้สัตว์พวกนั้นเชื่อฟังคำพูดนางได้อีกด้วย ซึ่งนี่มีประสิทธิภาพยิ่งกว่าพิษที่เขาใช้เสียอีก
“มันเป็นความสามารถที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด” มู่ไป๋ไป่ตอบออกไปตามตรง
เธอเองก็ไม่รู้ว่าตนนั้นมีความสามารถเช่นนี้ได้อย่างไร
“มีมาตั้งแต่เกิด?” ชายหนุ่มไม่เชื่อสิ่งที่เด็กหญิงพูดและถามต่อไปว่า “เจ้าทำอย่างไรให้พวกมันเชื่อฟังคำสั่งของเจ้า?”
“ข้าก็แค่ทำข้อตกลงกับพวกมัน พวกมันต้องการต่อต้านท่านและข้าเองก็อยากจะเอาชีวิตรอด” มู่ไป๋ไป่ตอบคำถามอีกฝ่ายสั้น ๆ
แต่เธอพูดเพียงบางส่วนเท่านั้น แน่นอนว่าเธอไม่บอกอีกส่วนหนึ่งให้เขารู้แน่ ใครจะบอกว่าตัวตนที่แท้จริงของเธอคือจ้าวอสูรของเหล่าสัตว์ทั้งปวง ถึงพูดออกไปเธอก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายคงไม่เชื่ออยู่ดี
“ทำไมท่านถึงสนใจเรื่องนี้?” มู่ไป๋ไป่ถามออกมาอีกครั้ง
“ไม่มีอะไร” ผู้ชายคนนี้เป็นคนหัวแข็ง หลังจากรู้ว่าจะไม่ได้รับเบาะแสที่ตนต้องการจากคนตัวเล็ก เขาก็แสดงท่าทีเย็นชาใส่เธอทันที
ตอนนี้กลายเป็นมู่ไป๋ไป่ที่เป็นฝ่ายพูดไม่ออก เธอมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างเย็นชาและพูดว่า “ข้าขอแนะนำให้ท่านรักษาคำพูดของตัวเอง”
“เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าอยากรู้ ข้าจะบอกเจ้าก็ได้ อย่างไรเสียตอนนี้ก็ไม่มีอะไรให้ต้องปิดบังอีกแล้ว” เถ้าแก่ศาลาหมื่นอสูรมองเด็กหญิงด้วยท่าทางไม่เกรงกลัว
ถ้อยคำของชายหนุ่มทำให้มู่ไป๋ไป่อยากรู้คำตอบจากปากเขามากยิ่งขึ้น และในไม่ช้าเขาก็พูดกับเธอว่า “กองกำลังของเราแทรกซึมเข้ามาในแคว้นเป่ยหลงมานานแล้ว เกือบทุกคนในราชสำนักและวังหลวงของเจ้ามีสายลับของเราปะปนอยู่ เพียงแค่ทหารของเรายังไม่ได้รับการขัดเกลาเพียงพอในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่เช่นนั้นแคว้นเป่ยหลงของเจ้าคงจะล่มสลายไปนานแล้ว”
หลังจากกล่าวจบเถ้าแก่ศาลาหมื่นอสูรก็หัวเราะเยาะเสียงดัง ก่อนจะมองเด็กน้อยด้วยท่าทางยั่วยุ
“ท่านคิดจะทำอะไรถึงให้สัตว์พวกนั้นกินยาพิษเข้าไป?” มู่ไป๋ไป่รู้ว่ายานั้นไม่ได้ถูกทำขึ้นมาโดยบังเอิญแน่นอน
เมื่อชายหนุ่มถูกถามอย่างกะทันหัน เขาก็หน้าซีดลงทันทีราวกับว่ามีคนล่วงรู้ความลับที่เขาไม่ต้องการจะบอกคนอื่นเข้าเสียแล้ว
“ท่านกำลังพยายามฝึกสัตว์พวกนี้เพื่อนำมาช่วยท่านทำศึกใช่หรือไม่?” มู่ไป๋ไป่เริ่มจะคาดเดาจุดประสงค์ของอีกฝ่ายได้แล้ว และเธอก็มาที่นี่เพื่อยืนยันคำตอบ
พอเธอได้มาสอบปากคำ เธอก็อยากจะถามเขาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ทันทีที่เถ้าแก่ศาลาหมื่นอสูรได้ยินคำถามขององค์หญิงหก เขาก็ยิ่งโกรธมากขึ้นจนทำให้เห็นเส้นเลือดปูดบนหน้าผาก แล้วเขาก็ตอกกลับไปว่า “พวกเราชาวหนานซวนไม่เคยคิดเช่นนี้มาก่อน!”