บทที่ 14 บุกเดี่ยว
บทที่ 14 บุกเดี่ยว
“ฉันคาดเดาว่ามันน่าจะเป็นฝีมือขององค์กรที่มีสัญลักษณ์ตรงหน้าปากซอยหรือป่าว?”
ไฮนซ์พูดโดยยอมรับว่าคำกล่าวของเขานั้นเป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น
แต่ไดอาน่าก็อดไม่ได้ที่จะหน้าซีดเมื่อได้ยินอย่างนั้น
“พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรที่ชื่อว่า ‘บาร์โคลรัก’ ซึ่งดูแลพื้นที่นี้ แต่ทำไมล่ะ... ปกติฉันถึงจ่ายค่าคุ้มครองก่อนเวลาด้วยซ้ำ”
ขณะที่เธอพูดอย่างนั้น ไดอาน่าก็รู้สึกได้ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นน่าเป็นความจริง
เมื่อเติบโตขึ้นในเมืองนี้ เธอได้รู้ความจริงบางประการ
จากนั้นเธอก็พูดออกมาว่า
“เมืองนี้…ถูกปกครองโดยแวมไพร์”
"แวมไพร์งั้นหรือ?"
มันเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ใช่ทุกคนจะรู้แน่นอน
พลเมืองส่วนใหญ่และแม้แต่สมาชิกขององค์กรที่ควบคุมท้องถนนยังคงไม่รู้เรื่องอย่างแน่นอน
และการพูดเรื่องนี้ออกมามันมีแต่เพิ่มอันตรายมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นไดอาน่าจึงเก็บเรื่องนี้เอาไว้กับตัวเองจนถึงตอนนี้
“องค์กรส่วนใหญ่ รวมถึงองค์กรบาร์โคลรัก ล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของแวมไพร์ พวกมันเคลื่อนไหวตามคำสั่งของแวมไพร์”
ไดอาน่าค้นพบสิ่งนี้ด้วยเหตุผลที่เรียบง่าย นั่นคือเธอมีประสาทรับกลิ่นที่ไวมาก มันเหมือนเป็นความสามารถเหนือธรรมชาติ
“ปกติฉันจะหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีกลิ่นเลือดแรงๆ!”
มันไม่ใช่เพียงกลิ่นทางกายภาพเท่านั้น แต่เธอยังสามารถรับรู้กลิ่นที่แผ่ออกมาจากสถานที่ที่เป็นอันตรายหรือกลิ่นที่แผ่จากวิญญาณของผู้คนได้อีกด้วย
ด้วยความสามารถนี้ เธอจึงระมัดระวังในการเคลื่อนไหว จนสามารถพาแอรอนอยู่รอดมาจนถึงปัจจุบันนี้
“แต่ตอนนี้สถานการณ์ดูไม่มั่นคงนัก เคยมีเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนหรือป่าว?”
“เมื่อก่อนนี้มีไม่กี่ครั้ง ฉันจะได้กลิ่นคนที่หายตัวไปกะทันหันเพราะไม่จ่ายค่าคุ้มครองมาจากคนที่เดินผ่านไปมา”
ตอนแรกเธอไม่เข้าใจความสามารถของตัวเองดีนัก เธอเพียงคิดว่าความสามารถเหล่านั้นเป็นสิ่งทั่วไปและการที่เธอถอยห่างจากพวกมัน เป็นเพียงทำไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น
แต่เมื่อเธอโตขึ้นและฉลาดขึ้น สังเกตและได้ยินสิ่งต่างๆ มากขึ้น ไดอาน่าก็เริ่มเข้าใจ
“เมืองแห่งนี้คือฟาร์มของพวกเขา พวกเขาเก็บความลับเรื่องตัวตนของพวกเขาเอาไว้เพื่อให้แน่ใจว่าอาหารยังมีเพียงพอสำหรับพวกเขา”
หากทุกคนจ่ายค่าคุ้มครองตรงเวลาก็จะไม่มีปัญหา
แม้จะอยู่ในซอยหลังบ้านก็ไม่มีอาชญากรรมต่างๆ เกิดขึ้น
หากคุณสามารถจ่ายค่าใช้จ่ายได้ แม้แต่การรักษาโรคก็เป็นไปได้
"เธอเคยคิดที่จะออกเดินทางไปยังเมืองอื่นบ้างไหม?"
“ในตอนแรกฉันก็พยายามจะออกจากเมืองนี้เช่นกัน แต่เมื่อฉันได้รู้อะไรบางอย่าง ฉันก็เข้าใจว่ามันเป็นไปไม่ได้...”
มีคนจำนวนมากพากันออกจากเมืองนี้ไปได้ก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไดอาน่ารู้ว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเดินทางไปถึงเมืองอื่นได้
“เมื่อพวกเขาจากไป ฉันเห็นสิ่งของที่พวกเขาเอาติดตัวไปและสมาชิกขององค์กรก็นำมาติดตัวในวันรุ่งขึ้น คุณอาจคิดว่าเป็นแค่สิ่งของธรรมดาๆ แต่ฉันรับรู้ได้”
เธอรู้ว่าสิ่งของเหล่านั้นเป็นของใครผ่านกลิ่น
ไม่จำเป็นต้องอธิบายก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา
นับจากนั้นเป็นต้นมา ไดอาน่าก็ยกเลิกความคิดที่จะออกจากเมืองและย้ายที่อยู่อาศัยของเธอมาอยู่ในตรอกซอกซอยที่เหล่าแวมไพร์ไม่ค่อยไป โดยหลีกเลี่ยงสถานที่อันตรายอย่างระมัดระวัง
“ตราบใดที่พวกเขาอยู่ในเมือง พวกเขาก็สามารถทำอะไรก็ได้ตามต้องการ แต่หากพวกเขาพยายามหลบหนี พวกเขาก็จะถูกสังหารทันที”
ไฮนซ์ขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิดและพูดออกมาว่า
“แต่ฉันไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงเลือกแอรอน ทั้งที่เธอก็จ่ายค่าคุ้มครองให้แล้ว แต่ถ้านี่เป็นเรื่องจริง เวลาคือสิ่งสำคัญ..เธอรู้ไหมว่าสำนักงานใหญ่ของพวกเขาอยู่ที่ไหน”
“รู้ แต่... คุณจะช่วยเราใช่ไหม?” ไดอาน่าเงยหน้าขึ้นมองไฮนซ์ กัดริมฝีปากของเธอ
เมื่อเธอรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ ดังนั้นตอนนี้เธอจึงเข้าใจถึงความร้ายแรงของสถานการณ์
และไฮนส์ไม่ได้เป็นผู้อาศัยอยู่ในเมือง ดังนั้นไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหากเขาจะออกจากเมืองทันที
แต่ไฮนซ์หัวเราะคิกคักและขยี้ผมของไดอาน่า
ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ทำให้เขาหวาดกลัวได้
“เมื่อฉันรู้เรื่องนี้แล้ว ฉันจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ได้ เชื่อ ‘พี่ใหญ่’ คนนี้เถอะ ฉันจะจัดการไอ้สารเลวพวกนั้นเอง”
เขาย้ำถึงคำว่า ‘พี่ใหญ่’ เพื่อให้มั่นใจในตัวเขา
….
ณ หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ยังคงเหลือเป็นซากปรักหักพัง
ในที่ที่เต็มไปด้วยเศษหินและเศษขี้เถ้า ไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่เลย
“อืม กลิ่นพลังแห่งความมืดยังลอยอยู่ มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่?”
ชายผิวซีดพยายามป้องกันไม่ให้เถ้าถ่านที่ถูกลมพัดมาเข้ามาใกล้ และค้นหาทั่วหมู่บ้าน แต่ก็พบเพียงเศษซากเล็กน้อย
แม้ว่าจะมีร่องรอยการสู้รบที่ยังคงเหลืออยู่จางๆ บนพื้นดิน รวมทั้งสถานที่ที่ดูเหมือนเป็นอาคาร
“พวกนี้คือ... ศพเหรอ? แต่ทำไมพวกศพถึงมารวมตัวกันที่นี่ล่ะ?”
เขายังค้นพบสถานที่ที่ดูเหมือนจะเป็นที่ศพไปรวมตัวกันมากๆ
ศพส่วนใหญ่กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้วและไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้ แต่เขาก็ยังมองออก
“ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ แต่ก็น่าเสียดาย..”
เขาตั้งใจที่จะนำชิ้นส่วนของราชาอมตะที่ดูเหมือนจะเติบโตอย่างสมบูร์ แต่มันกลับหายไปอย่างไม่มีร่องรอยแล้ว
“ฉันไม่รู้ว่าใครเป็นชุบมือเปิบไป แต่เราจะจับพวกมันได้ในไม่ช้า ชิ้นส่วนของราชาอมตะไม่ใช่สิ่งที่ซ่อนได้ง่าย ๆ” ชายคนนั้นพูดพลางหันไปมองตามร่องรอยสุดท้าย
การเคลื่อนไหวของเหล่าอันเดดที่มุ่งหน้าเข้าสู่ป่าทางทิศตะวันออก
“ทิศทางนั้น ดูเหมือนโชคเข้าข้างเราหรือเปล่า?”
พูดออกมาอย่างนั้น ร่างกายของชายคนนั้นก็กลายร่างเป็นค้างคาวและกระจัดกระจายหายไปในป่าทางทิศตะวันออก
….
เขามุ่งหน้าไปยังสำนักงานใหญ่ขององค์กรบาร์โคลรักพร้อมกับไดอาน่า
พวกเขาต้องการนำแอรอนกลับมาก่อนที่เขาจะไปถึงมือของพวกแวมไพร์
ใครก็ตามที่เผชิญหน้ากับแวมไพร์คงจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากอย่างมาก ยกเว้นฮันส์เท่านั้น
'ฉันน่าจะจัดการสมาชิกทั่วไปได้'
ด้วยร่างกายที่มีทักษะพิเศษด้ายความแข็งแกร่งการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง และพลังของ 'การฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว' เขาน่าจะสามารถจัดการกับสมาชิกทั่วไปขององค์กรได้
ถ้าเขาต้องการปรับปรุงความแข็งแกร่งทางกายภาพด้วยร้านค้ากรรมา เขาจำเป็นต้องเรียกไฮนซ์กลับไปอีกครั้ง
“และในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ ฉันไม่สามารถพึ่งความช่วยเหลือจากฮันส์ได้”
เหลือเวลาอีกสามวันก่อนที่การเคลื่อนย้ายมิติจะกลับมาใช้ได้
เขาต้องจัดการบางอย่างด้วยความแข็งแกร่งของไฮนซ์เพียงอย่างเดียว
เขามองดูไดอาน่าซึ่งนำทางอยู่
เธอจับมือที่สั่นเทาของตัวเองไว้แน่นในขณะที่เร่งฝีเท้าไป
โดยใช้ประสาทการดมกลิ่นของเธอ เราจึงสามารถเคลื่อนที่ไปในสถานที่ที่ไม่มีผู้คนได้
เราไม่สามารถเปิดเผยที่อยู่ของเราได้ เพราะไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
'เธอพยายามปกป้องครอบครัวของเธออย่างสุดชีวิตทั้งที่เธอยังเด็กมาก ฉันไม่สามารถปล่อยเธอในตอนนี้ได้'
ปกติแล้วไดอาน่าต้องใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกถึงความรับผิดชอบเป็นแรงผลักดัน และยึดมั่นในความหวังเล็กๆ ของตัวเอง แม้จะอยู่ภายใต้เมืองที่บัดซบเช่นนี้ก็ก็ตาม
แต่ตอนนี้ความหวังนั้นของเธอเหมือนจะพังทลายลงแล้ว
“ใช่แล้ว ฉันไม่มีอะไรจะเสียมากนัก ดังนั้นฉันจะทำเท่าที่ทำได้ ถือสะว่ามันเป็นเกมและภารกิจคือ: ช่วยเหลือเด็กสาวผู้โชคร้ายและตามหาน้องชายของเธอ” ฟังดูแล้วน่าจะใช่ และรางวัล... ก็เป็นแบบสุ่ม ฮ่าๆๆ”
สำหรับเขามันก็เหมือนภารกิจอย่างหนึ่ง
และเกมเมอร์ในเกาหลีไม่เคยละทิ้งภารกิจระหว่างทาง
ในขณะที่เขากำลังเพิ่มความกล้าให้กับตัวเองอยู่นั้น ไดอาน่าก็หยุดกะทันหันและเริ่มดมกลิ่นในอากาศ
“อ๋อ! ฉันเริ่มได้กลิ่นแอรอนแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะอยู่ที่สำนักงานใหญ่ของบาร์โคลรักนะ”
“นี่ถือว่าได้รับการยืนยันแล้ว เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ลางสังหรณ์เป็นเรื่องจริง แต่ความจริงที่ว่าเขาไม่ได้ตกอยู่ในมือของแวมไพร์ก็ถือว่าเป็นข่าวดี”
เขาเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้โดยเดินตามไดอาน่าที่เริ่มวิ่งอีกครั้ง
“ลุง... คุณคิดจริงๆ เหรอว่าเราจะช่วยแอรอนได้?”
ไดอาน่ากระซิบด้วยน้ำเสียงกระสับกระส่าย แม้ว่าจะมองเห็นเพียงด้านหลังศีรษะของเธอเท่านั้น แต่เขาก็รู้ว่าใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกังวล
“ใช่แล้ว ฉันจะพาเขากลับคืนมาให้ได้ เพราะฉะนั้นไว้ใจฉันได้เลย”
ในความเป็นจริงการช่วยแอรอนออกมานั้นก็คงไม่สามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้
และในความเป็นจริง มันถือเป็นจุดเริ่มต้นที่แท้จริงด้วยซ้ำ
เมืองนี้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของแวมไพร์ และบุคคลที่ถูกจับตัวไปก็เป็นเพียงเบี้ยของพวกเขาเท่านั้น
'ฉันจะคิดเรื่องนี้ทีหลัง ตอนนี้ก็ต้องดับไฟที่อยู่ตรงหน้าก่อนก็แล้วกัน!”
ในขณะที่เริ่มมืดลง เราก็สามารถไปถึงสำนักงานใหญ่ของบาร์โคลรักได้ในไม่ช้า
มันเป็นอาคารสองชั้นเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในซอย
“ดูเหมือนว่าจะไม่มียามอยู่เลย”
องค์กรต่างๆ ในตรอกซอกซอยล้วนอยู่ภายใต้การปกครองของแวมไพร์ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องคอยระวังกันเอง
"เธอรู้ไหมว่าข้างในมีกี่คน" เขาถามออกมา
“อืม.. ประมาณสิบห้ามั่ง มันก็เหมือนออฟฟิศของพวกเขานั่นแหละ ปกติพวกมันจะกระจายกันอยู่ทั่วถนน” ไดอาน่าตอบพร้อมกับหลับตาและดมกลิ่นอากาศ
เธอพยักหน้าตอบ
“อืม..สิบห้าน่าจะพอจัดการได้”
“ฉันจะเข้าไปพาแอรอนออกมา เธอรออยู่ที่นี่ก่อนนะ” เขาพูดเหมือนเป็นคำสั่ง
“...ฉันรู้ว่ามันไร้ยางอาย แต่ฉันขอร้องลุงโปรดช่วยแอรอนด้วย” ไดอาน่าตระหนักดีว่าเธอจะไปเป็นภาระ เธอจึงกัดริมฝีปากและก้มศีรษะก่อนจะก้าวถอยหลัง
‘เอาล่ะ ฉันจะเข้าไปแล้ว’
เขาคำนวณสถานการณ์คร่าวๆ อยู่ในใจและได้เตรียมสิ่งที่จำเป็นไว้บ้างแล้ว
สิ่งที่เหลืออยู่คือการแสดงทักษะและการพึ่งพาโชคสักเล็กน้อย
'ดีที่โชคของฉันก็อยู่ในช่วงพีคสุดในช่วงนี้!'
เขาเปิดประตูด้วยความระมัดระวังแล้วเดินเข้าไป
ชั้นแรกมีลักษณะคล้ายบาร์ แต่ต่างจากสำนักงานใหญ่ขององค์กรชั่วร้ายทั่วไป ตรงที่ชั้นนี้ดูสะอาดเรียบร้อยอย่างน่าประหลาดใจ
'ตอนแรกฉันจินตนาการว่าข้างในคงจะรกร้าง เต็มไปด้วยควันบุหรี่ และสมาชิกกำลังเล่นการพนันและดื่มเหล้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง'
อาจเป็นเพราะพวกแวมไพร์มาเยี่ยมเยียนเป็นครั้งคราว ดังนั้นมันจึงได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม ความคาดเดาของเขาก็ไม่ได้ผิดไปจากความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง เพราะมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งรวมตัวกันอยู่ด้านหนึ่งเพื่อดื่มเหล้าและเล่นการพนัน
“ใครมานะ?”
“เฮ้ พี่ชาย คุณมีธุระอะไรหรือ?”
พอพวกเขาเห็นเขา พวกเขาก็เริ่มกระซิบกันเองแล้วชี้มาทางเขา
เขาเดินเข้าไปหาพวกเขาอย่างใจเย็น
“อ๋อ นี่ไม่ใช่สุภาพบุรุษที่เราไปเจอเมื่อกี้เหรอ?”
“เฮ้ แกรู้จักผู้ชายคนนี้งั้นหรือ?”
มีคนๆ หนึ่งซึ่งเขาเคยเจอบนถนนเมื่อก่อนหน้านี้อยู่ในจำนวนนั้นด้วย ซึ่งเขาได้บริจาคเงินบางส่วนให้เขาไปแล้ว
“พี่ชาย อะไรทำให้คุณมาที่นี่ เป็นเพราะว่าเงินบริจาคก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะน้อยไปหน่อยหรือเปล่า?”
พวกเขาหัวเราะกันเอง จากนั้นก็ลุกจากที่นั่งและพากันเดินเข้ามาหาเขา
เขายิ้มอ่อนๆ ให้กับผู้ชายร่างใหญ่ที่กำลังเดินเข้ามา
“ยิ้มอะไรวะ ห๊ะ..ไอ้นี่มันต้องการจะทำอะไร…”
และทันใดนั้น เขาก็ชักมีดสั้นออกมาอย่างรวดเร็วและแทงเข้าไปที่คอของเขา ก่อนจะดึงออกมาทันทีพร้อมกับพุ่งเข้าหาคนอื่นๆ ที่ยังไม่สามารถตอบสนองได้
“เห้อ อะไรวะ!”
“แกคิดว่าแกเป็นใครถึงกล้ามาก่อเรื่องที่นี่ ฆ่ามันซะ!”
ร่างกายของเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว และด้วย "แยกจิต" ของเขา เขาสามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวของศัตรูได้อย่างใจเย็น
เขาแทงมีดสั้นเข้าที่คอของผู้ชายคนหนึ่งที่พยายามจะลุกขึ้นด้วยมือข้างหนึ่ง และใช้อีกมือหนึ่งดึงดาบออกจากสะโพก
มันเป็นดาบที่ลูกสมุนของมัลคอล์มใช้ และแน่นอนว่าเขาไม่คุ้นเคยกับการใช้มัน แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันก็ไม่มีทางเลือกอื่น
'ฉันไม่สามารถเล็งไปที่จุดสำคัญๆ ได้ในคราวเดียว ดังนั้นฉันจะเล็งไปที่อวัยวะที่จำกัดการเคลื่อนไหวให้มากที่สุด!'
เขาฟันดาบออกไปใส่ขาของคู่ต่อสู้
แต่อีกฝ่ายกลับฟันมาที่แขนของเขาแทน แต่ด้วย "ความแข็งแกร่ง" ทำให้บาดแผลไม่ลึกมากนัก
นอกจากนี้ยังสามารถรักษาได้รวดเร็วด้วย "การฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว"
"โอ๊ย ไอ้นี่มันฟันไม่เข้าว่ะ!"
แม้ว่าเขาจะถูกแทงที่หน้าท้อง แต่เขาสวมเสื้อเกราะเวทมนตร์ที่ซ่อนไว้ใต้เสื้อผ้าของเขา
เขาเพิกเฉยต่อความเจ็บปวดด้วย "แยกจิต" และเริ่มฟันคอของคนที่หยุดการโจมตีเพื่อแทงเขา
โครม!
เก้าอี้และอุปกรณ์ต่างๆ แตกกระจายไป จนสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง
เขาเคลื่อนไหวร่างกายอย่างใจเย็น จัดการพวกมันทีละคน
ตุบ!
ในขณะเดียวกัน ผู้ชายคนหนึ่งถือไม้กระบองเล็งมาข้างหลังเขา แต่เกราะเวทมนตร์ปกป้องจุดสำคัญของเขาไว้ ทำให้แรงกระแทกลดลง
“โอ้ย ไอ้นี่มันเป็นใครวะ มันใช้เวทย์มนตร์ได้ด้วยเหรอ...”
อย่างไรก็ตาม ผลของเกราะเวทย์มนตร์นั้นควบคุมจำกัด ดังนั้นเขาจึงปกป้องได้แค่จุดสำคัญบางจุดเท่านั้น
เขาล้มคนๆ หนึ่งลงและได้รับบาดเจ็บที่ขา
เขาแทงอีกคนและถูกแทงข้างหลัง แต่เขาไม่สนใจและยังคงโจมตีต่อไป
อึก!
เขาดึงมีดที่อยู่ในท้อง แต่มีดไม่ยอมออกมา
เขาจึงรีบคว้าขวานจากคนที่เพิ่งล้มลงและฟาดมันไปด้านข้าง
บางจังหวะเขาก็ใช้แขนข้างหนึ่งป้องกันมีดที่ฟันมา
ตอนนี้แขนขาของเขาได้รับบาดแผลอย่างมากและเลือดไหลนอง
ในไม่ช้าผลของเกราะเวทย์มนตร์ก็สิ้นสุดลง และหน้าผากของเขาก็ได้รับบาดเจ็บ เลือดไหลออกมาบดบังการมองเห็นของเขา
จากนั้นสายตาของคนตรงหน้าเขาก็หันไปมองด้านหลังเขา
การเคลื่อนไหวที่เหมือนการสบตากับใครสักคน
แน่นอนมีอีกคนดูเหมือนจะกำลังเล็งมาทางหลังเขา
เขารีบก้มตัวหยิบอาวุธที่ร่วงหล่นจากพื้นขึ้นมาและฟาดมันไปข้างหลังอย่างรุนแรง
“อ๊ากกก!”
คนที่อยู่ข้างหลังเขาจับข้อเท้าของตัวเองแล้วล้มลง แต่การต่อสู้ยังไม่จบสิ้น
ถ้าไม่มี “ความแข็งแกร่ง” และ “การฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว” เขาคงไม่สามารถเคลื่อนไหวได้มานานแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้เลย
ด้วยการแลกเปลี่ยนการโจมตีโดยไม่กลัวกลัวตายของเขาเช่นนี้ ทำให้เขาล้มศัตรูลงทีละตัว
หนึ่ง, สอง, สาม......และคนสุดท้าย…
"ฮึก..."
“อ๊าก แกเป็นใครกันแน่…”
ในขณะที่เขายังคงต่อสู้ต่อไป พื้นที่รอบๆ ตัวเขาก็เต็มไปด้วยร่างกายที่กระจัดกระจายอยู่ รวมทั้งผู้ที่ลงมาจากชั้นสองเพราะได้ยินเสียงความวุ่นวาย
“เฮ้อ...ยังมีคนมาอีกงั้นหรือ”
ในขณะที่การต่อสู้ยังดำเนินต่อไป และเขาดูเหมือนว่ากำลังจะล้มลงได้ทุกขณะ
กำลังใจของพวกเขาก็ถูกทำลายลงโดยสิ้นเชิง บางส่วนพยายามที่จะหลบหนี แต่ตอนนี้มันก็สายเกินไปแล้ว
คนส่วนใหญ่ถูกเขาฟันขาทำให้สูญเสียการเคลื่อนไหว และเขาจัดการผู้ที่แสดงสัญญาณของการพยายามหลบหนีได้ ตอนนี้พละกำลังของเขาถูกรีดออกจนถึงวินาทีสุดท้ายแล้ว…
แต่ก็ช่วยไม่ได้ ถ้าเขาไม่ทำอย่างนี้ เขาคงปล่อยให้พวกมันหลุดลอยไปบ้าง
"แฮ่กๆๆ"
หลังจากการต่อสู้ เขายืนนิ่งอยู่กับที่สักพักเพื่อปรับลมหายใจ
เลือดของเขาหยุดไหลแล้ว และบาดแผลก็ค่อยๆ หาย แต่เขาเปียกเลือดมากจนไม่รู้สึกตัว
“เฮ้ เด็กที่พวกแกพามาวันนี้อยู่ที่ไหน?”
“อะไร แกพูดบ้าอะไร? อ๊ากกก!”
โดยไม่ลังเลแม้แต่วินาทีเดียว เขาก็ได้จี้เข้าไปในบาดแผลของคนที่พยายามพูดจาไร้สาระ
“ห้องใต้ดิน! เขาอยู่ในห้องใต้ดิน!”
“แล้วกุญแจอยู่ไหน?”
“มันแขวนอยู่ที่ประตู!!”
หลังจากถามคำถามอีกสองสามข้อ เขาก็ลุกจากที่และมองไปรอบๆ
ทั่วห้องนั้นเต็มไปด้วยความยุ่งวุ่นวาย มีทั้งชิ้นอวัยวะเกลื่อนกลานและร่างกายที่กำลังดิ้นรนหรือหยุดเคลื่อนไหวไปแล้วก็มี
จากนั้นเขาก็หยิบอาวุธขึ้นมาอีกครั้ง
เพื่อความปลอดภัยของพวกเขา คงไม่สามารถปล่อยให้ใครที่อยู่ที่นี่รอดชีวิตไปได้
“เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน! ปล่อยฉันไปเถอะ! ขอร้อง... อ๊ากก!”
เขาทำการฆ่าคนไปทีละคนโดยไม่สนใจคำขอร้องใดๆ
การใช้ "แยกจิต" ทำเรื่องสกปรกเช่นนี้ถือว่าไม่ถูกต้องนัก แต่เมื่อพิจารณาว่าคนเหล่านี้แม้ว่ามีชีวิตอยู่ก็มีแต่จะก่อกรรมทำชั่วเท่านั้น เขาจึงขยับร่างกายของตัวเองเพื่อทำให้โลกสูงขึ้นอีกสักหน่อย
“ด้วยสภาพแบบนี้ ถ้าเด็กเห็นคงตกใจจนหมดสติแน่...”
ขณะที่เขามองไปรอบๆ เขาก็เดินไปด้านหนึ่งซึ่งมีขวดเหล้าและภาชนะใส่น้ำวางอยู่
เขาคว้าขวดก่อนแล้วเทแอลกอฮอล์ลงบนศีรษะเพื่อล้างเลือดออก
"กลิ่นของแอลกอฮอล์ก็ดีกว่ากลิ่นคาวเลือดล่ะนะ"
หลังจากล้างเลือดออกไปจำนวนมากแล้ว เขาก็คว้าถังแล้วเทลงบนศีรษะของเขาอีกครั้ง
"ตอนนี้คงได้เท่านี้"
เสื้อผ้าของเขาเปียกและยังมีคราบเลือดอยู่ แต่ก็ดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้
จากนั้นเขาก็เดินไปทางประตูที่นำไปสู่ห้องใต้ดิน….
………………………