ตอนที่ 29 : บ้านนายมีเหมืองเหรอ?
ฟอรัมของเมืองมหาวิทยาลัยในหลินชวนก็คล้ายๆ กับสิ่งที่เจียงฉินจำได้
หน้าหลักแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ได้แก่ การสนทนาประจำวัน ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย ประกาศภายใน และสื่อการเรียนรู้
เอิ่ม? สื่อการเรียนรู้?
เจียงฉินรู้สึกเหมือนถูกกระตุ้นลึกลงไปถึง DNA เขาเลื่อนเมาส์ไปคลิกที่มัน
[แนวข้อสอบและคำตอบสำหรับเตรียมตัวสอบเข้าศึกษาต่อปริญญาโทในปีที่ผ่านมา]
[คู่มือเตรียมสอบ TOEFL]
[บันทึกการบรรยายฉบับเต็มของศาสตราจารย์เหวิน คณะการเงินและเศรษฐศาสตร์]
เจียงฉินลองเข้าดูแล้วพบว่ามีสื่อการเรียนรู้อยู่จริง และทันใดนั้นความรู้สึกสนใจก็ลดน้อยลงมาก
แต่นี่ก็เป็นเรื่องปกติ ฟอรัมนี้ก่อตั้งร่วมกันโดยมหาวิทยาลัยใกล้เคียงสี่แห่ง มันเป็นเว็บไซต์อย่างเป็นทางการและเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเนื้อหาที่พวกนักศึกษาต้องการดู
แต่ก็เพราะมีเจ้าหน้าที่ควบคุมเนื้อหาอยู่เบื้องหลัง กระทู้ในฟอรัมจึงดูน่าเบื่อและจืดชืดมาก มักจะมีกลิ่นอายที่ล้าสมัยและความเคร่งครัดจริงจังอยู่เสมอ
นักศึกษามหาวิทยาลัยเป็นกลุ่มคนที่เปี่ยมด้วยความสดใสและพลังชีวิต ดังนั้นจึงเป็นเรื่องแปลกที่พวกเขาจะเต็มใจใช้ฟอรัมเชยๆ แบบนี้
ระหว่างที่เจียงฉินกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็ได้วางแผนว่าจะสร้างเว็บไซต์
โดยมีกลุ่มนักศึกษาเป็นผู้ใช้งาน จากนั้นก็แผ่ขยายออกไปรอบๆ
วัยรุ่นชายหญิงอยู่ในช่วงที่ฮอร์โมนพลุ่งพล่านและมีความต้องการในการหาคู่อย่างมาก ดังนั้นส่วนหลักในช่วงแรกจึงจะเน้นไปที่กำแพงสารภาพรัก
อีกทั้งนักศึกษาในวัยนี้ยังเป็นกลุ่มที่มีสภาพจิตใจอ่อนไหวได้ง่าย พวกเขามีหลายอย่างที่ตนไม่อยากพูดคุยกับคนรู้จัก ดังนั้นส่วนที่สองของเขาคือโพรงไม้นิรนาม
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาถึงงานอดิเรกและความนิยมแล้ว เจียงฉินวางแผนที่จะเปิดอีกสองส่วน ส่วนหนึ่งเรียกว่าเกมและแอนิเมชั่น และอีกส่วนหนึ่งเรียกว่าแฟชั่นไลฟ์สไตล์
นอกเหนือจากเรื่องเรียนและเรื่องความรักแล้ว ชีวิตประจำวันของนักศึกษามหาวิทยาลัยยังประกอบไปด้วยตัวละคร 2D และการหลงตัวเอง
ในส่วนของสื่อการเรียนรู้นั้น…
ส่วนนี้ช่างมันเถอะ เพราะเขาไม่ได้อยากจะแย่งจำนวนผู้เข้าชมทั้งหมดมาจากฟอรัมอย่างเป็นทางการ
ในช่วงแรกๆ ที่ยุคอินเทอร์เน็ตกำลังเฟื่องฟู การเข้าชมฟอรัมยังคงเป็นกิจกรรมหลักของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอยู่เสมอ เว็บไซต์ดังๆ อย่าง Zhihu, Douban และ Weibo แทบทั้งหมดก็เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้
เว็บไซต์ที่เจียงฉินต้องการจะสร้างมีแนวโน้มที่จะอยู่ในขอบเขตแบ่งปันชีวิตประจำวัน แต่มันแตกต่างจากคิวโซนที่กำลังนิยมกันอยู่ตอนนี้
เพราะคิวโซนจะมีแค่เพื่อนเท่านั้นที่สามารถเข้ามาดูได้ มันจึงเป็นโซลเชียลเน็ตเวิร์กแบบปิด แต่เว็บไซต์ของเขาต้องการเปิดให้ทุกคนเข้าถึงได้อย่างเต็มที่
ส่วนวิธีดึงดูดผู้เข้าชมนั้นก็เป็นเรื่องง่ายๆ
แค่แกล้งเป็นผู้หญิงแล้วโพสต์ในฟอรัมสักสองสามกระทู้ก็เรียบร้อยแล้ว
มีหนุ่มๆ คนไหนสนใจบ้าง? ช่วงนี้รู้สึกอยากมีแฟนจังเลย มีคนอยากไปส่งฉันที่บ้านบ้างไหม? เกิดมาไม่มีรีเฟลกซ์คอหอยและเคยเรียนเต้นรำจนสามารถชำนาญท่ากางขาได้ ด้านล่างคือภาพถ่ายสุดเซ็กซี่ของเน็ตไอดอลสาว
รับรองว่าผู้ชายดิบเถื่อนพวกนั้นจะต้องกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งแน่นอนหลังจากได้เห็นมัน และคงจะสิงอยู่ในฟอรัมทั้งคืนแบบไม่หลับไม่นอนเลย
การดึงดูดผู้เข้าชมที่เป็นนักศึกษาหญิงนั้นก็ง่ายมาก เพียงแค่สร้างความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ ก็พอแล้ว
ทุกคน มีใครเคยเจอแบบนี้บ้าง? แฟนฉันชวนไปกินข้าวแต่ดันมาขอให้หารกันคนละครึ่ง น่าหงุดหงิดสุดๆ เลย
ทุกคน มีใครเป็นบ้าง? ชอบผู้ชายคนเดียวกับเพื่อนสนิท ควรปล่อยมือดีไหม?
แน่นอนว่ากำไรระยะเริ่มต้นของฟอรัมจะมาจากการโฆษณา แต่ในระยะหลังๆ จะต้องตามกระแสอินเทอร์เน็ตและหาโอกาสพัฒนาไปในทิศทางวิดีโอสั้น
“ต้องซื้อชื่อโดเมนก่อน”
“แล้วก็ยังต้องเช่าเซิร์ฟเวอร์ด้วย”
เจียงฉินไปที่เว็บไซต์ร้านขายโดเมนแล้วเรียกดูราคาคร่าวๆ
ชื่อโดเมนนั้นแบ่งเป็นลำดับ ยิ่งเป็นชื่อโดเมนที่ได้รับความนิยมมากเท่าไหร่ราคาก็ยิ่งแพงมากขึ้นเท่านั้น โดเมนที่เกี่ยวข้องกับนักศึกษาจะมีราคาสูงมาก และโดเมนที่เชื่อมโยงกับ Tencent ก็ยิ่งแพงเข้าไปอีก คำศัพท์ยอดนิยมบางคำก็ถูกนำไปลงทะเบียนแล้วด้วย
ขณะที่เจียงฉินคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทันใดนั้นก็คิดถึงปัญหาหนึ่ง
จือหูก่อตั้งขึ้นในปีไหน?
ดูเหมือนว่าอีกสิบปีข้างหน้าเลยใช่ไหม?
นั่นก็หมายความว่าในเวลานี้ยังไม่มีสิ่งที่เรียกว่าจือหูสินะ?
ฮ่าๆ ช่างบังเอิญจริงๆ โทษที งั้นชื่อโดเมนนี้ขอจองไว้ก่อนแล้วกัน
เจียงฉินหยิบกล่องเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋า เสียบยูเอสบีโทเคนเข้าไปในคอมพิวเตอร์ จากนั้นกดซื้อชื่อโดเมน zhihu อย่างไม่ลังเล
ชื่อนี้ยังคงดูมีระดับมาก และถึงแม้จะเป็นคำพ้องเสียงก็ยังฟังดูมีกลิ่นอายทางวัฒนธรรมและค่อนข้างสอดคล้องกับกลุ่มนักศึกษา
“เหล่า…เหล่าเจียง นายใช้เงินตั้งสามพันซื้ออะไรน่ะ?”
“ฉันซื้อชื่อโดเมน ตั้งใจว่าจะทำเว็บไซต์เล่นๆ”
เจียงฉินเพิ่งรู้ว่าสามหน่อข้างหลังเขายังไม่ได้ไปไหน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้คิดจะปิดบังมัน
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ ทั้งโจวเชาและเหรินจื้อเฉียงต่างก็อ้าปากค้างทันที พวกเขาไม่ค่อยเข้าใจเรื่องเว็บไซต์เท่าไหร่ แต่เรื่องเงินพวกเขาเข้าใจเป็นอย่างดี พวกเขาได้ค่าขนมแค่หกร้อยกว่าหยวนเท่านั้น ใครจะไปคิดล่ะว่าเจียงฉินใช้เงินตั้งสามพันซื้อของที่มองไม่เห็นแบบนี้ นี่มันไร้สาระมากเกินไป
อีกด้านหนึ่ง มุมปากเฉากวงอวี่กระตุกเล็กน้อย และหลังจากคิดอยู่นานเขาก็ไม่ได้พูดอะไร
แม้ว่าเขาจะเป็นคนรวยรุ่นสอง แต่เขาก็ไม่กล้าใช้เงินสามพันหยวนในคราวเดียว ไม่ว่าครอบครัวเขาจะมีเงินมากแค่ไหนมันก็เป็นของพ่อเขา และเขาก็ได้ค่าขนมแค่เดือนละหนึ่งพันหยวนเท่านั้น
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เฉากวงอวี่รู้สึกว่าเจียงฉินต่างหากที่ดูเหมือนจะเป็นคนรวยรุ่นสอง เจ้าเหรียญสุนัขนี่แสร้งทำเป็นหมูหลอกกินเสืออยู่หรือไง?
“เหล่าเจียง ที่บ้านนายทำอะไร ทำไมนายถึงมีเงินใช้มากขนาดนี้?”
“ชนชั้นแรงงานธรรมดาทั่วไป”
เหรินจื้อเฉียงรู้สึกสมองชา: “นายได้ค่าขมมเดือนละเท่าไหร่?”
เจียงฉินล้วงเข้าไปในเสื้อผ้าแล้วหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา: “ห้าร้อย ซื้อตั๋วรถไฟแล้วเหลือสามร้อยหกสิบ เอ๊ะ มีเศษเหรียญอยู่ในกระเป๋าฉันด้วย ใครอยากได้บ้าง?”
“ฉันอยากได้ ให้ฉัน!”
โจวเชายื่นมือออกมาแล้วหยิบเศษเหรียญไป: “พี่เจียง นายสุรุ่ยสุร่ายจริงๆ แต่ฉันชอบ”
เจียงฉินเก็บกระเป๋าสตางค์: “ฉันไม่ใช่คนสุรุ่ยสุร่าย แต่เศษเหรียญในกระเป๋ามันชอบหาย เลยทำบุญกับคนอื่นดีกว่า”
หลังจากได้ยินสิ่งนี้เฉากวงอวี่ก็ถึงกับอุทาน: “เหล่าโจว นายนี่มันไร้ค่าจริงๆ แค่หยวนเดียวนายก็เอาเหรอ? นายไม่เคยเห็นเงินเลยหรือไง?”
“นายอาจคิดว่าฉันอยากได้มันเพราะเลขหนึ่งด้านหน้า แต่จริงๆ แล้วฉันรักตราสัญลักษณ์ประจำชาติที่อยู่ด้านหลังต่างหาก!”
“แม่มันเถอะ…นายแก้ตัวได้เก่งจริงๆ”
โจวเชายกมุมปากขึ้นอย่างภาคภูมิใจ ใส่เศษเหรียญไว้ในกระเป๋า หันหลังกลับแล้วเอนตัวลงบนเตียง
เหรินจื้อเฉียงบิดขี้เกียจพลางหาวขณะที่เขาเดินเข้าห้องน้ำ
เฉากวงอวี่เหลือบมองโทรศัพท์มือถือของตน จากนั้นก็มองไปที่คอมพิวเตอร์ของเจียงฉิน สีหน้าพลันดูหดหูเล็กน้อย
วันนี้เขาพยายามแสร้งทำเป็นเจ๋งไปตั้งสามครั้ง อุตส่าห์คิดว่าจะสร้างสถานะและศักดิ์ศรีจนกลายเป็นพี่ใหญ่ในห้อง แต่กลับถูกเจียงฉินเข้ามาเตะตัดขาอยู่ทุกครั้งไป ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดมาก
“เหล่าเจียง ครั้งหน้าตอนฉันแสร้งทำเป็นเจ๋งนายช่วยเห็นแก่หน้าฉันหน่อยได้ไหม?”
“แล้วฉันไม่ได้ทำแบบนั้นเหรอ?”
“นายเคยทำด้วยหรือไง?”
“ก็ได้ๆ เข้าใจแล้ว ครั้งหน้าฉันจะให้นายเสแสร้งให้เต็มที่เลย”
เฉากวงอวี่เม้มริมฝีปากโดยไม่รู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั้นเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นมาก เขาจึงเริ่มท่องอินเทอร์เน็ตด้วยโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่
ในเวลาเดียวกันเจียงฉินเห็นว่ามีข้อความ QQ ปรากฏขึ้นที่แถบล่างขวาของคอมพิวเตอร์ เขาจับเมาส์แล้วคลิกไปที่มัน สุดท้ายก็พบว่าเป็นหงหยานที่เขาพบเมื่อเช้านี้
“เจียงฉิน นายว่างหรือเปล่า? ออกไปกินข้าวข้างนอกด้วยกันไหม?”
“ตอนนี้?”
“พรุ่งนี้หลังจากรายงานตัวแล้วเป็นไง?”
เจียงฉินประสานมือไว้หลังศีรษะ เอนตัวพิงพนักเก้าอี้เบาๆ สีหน้าราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
เขาและหงหยานเคยพบกันแค่ครั้งเดียว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ถือว่าสนิทกัน เต็มที่ก็แค่คนรู้จักเท่านั้น ถึงแม้เมื่อเช้าพวกเขาจะบอกว่าไว้ค่อยเจอกัน เจียงฉินก็คิดว่ามันเป็นแค่คำพูดตามมารยาททั่วไป แต่เขาไม่ได้คาดคิดว่าผู้หญิงคนนี้จะจริงจังขนาดนี้
“โอเค งั้นพรุ่งนี้เราค่อยนัดกันอีกทีดีไหม?”
“ok~”
(จบตอน)
อธิบายมุกเกิดมาไม่มีรีเฟลกซ์คอหอยและเคยเรียนเต้นรำจนสามารถชำนาญท่ากางขาได้ ประโยคแรกจะสื่อว่า ผู้หญิงจะไม่มีอาการอยากอ้วกหากเอาอะไรแหย่เข้าไปในคอ หรือก็คือ อ๊อกๆ นั่นแหละ ส่วนประโยคหลังหมายถึงท่ายาก
คำว่าสื่อการเรียนรู้ ถ้าเกิดว่าใครเคยสร้างแฟ้มเก็บของที่ไม่อยากให้ใครรู้ หรือสารคดีญี่ปุ่นบางอย่างจะเข้าใจคำนี้ คือต้องตั้งชื่อให้ไม่น่าสนใจเพื่อกันคนเข้าไปแอบส่อง