บทที่ 54 นักยิงธนู
บทที่ 54 นักยิงธนู
เมื่อได้ยินดังนั้น หลินจื่อกวงก็เริ่มครุ่นคิดตามก่อนพูดว่า “วิชาภูเขาเหล็กเป็นวิชาเฉพาะของสำนักเทียนซานเหมิน ผู้ที่สอนวิชานี้ให้กับเจ้าคงต้องมีความเกี่ยวข้องกับสำนักเราอย่างมากแน่ๆ”
เขาเผยให้เห็นฟันที่มีสีเหลืองนิดๆ พร้อมรอยยิ้มกว้าง “ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็นับเป็นคนของสำนักเทียนซานเหมินเหมือนกัน!”
หม่าอวี่ถังพยักหน้าอย่างเห็นด้วย รีบพูดเสริม “ใช่ๆ พวกเดียวกัน!”
ฟางจือสิงรู้ว่าทั้งสองต้องการสร้างความสัมพันธ์ จึงหัวเราะและพูดว่า “ก็จริง อยู่ฝ่ายเดียวกันทั้งนั้น”
ระหว่างการพูดคุย พระอาทิตย์ค่อยๆ ลับขอบฟ้า ทั้งสามคน และ สุนัขเดินทางไกลออกไปเรื่อยๆ
ไม่นานนัก พวกเขาเดินมาได้ราวๆ ยี่สิบหลี่ (ประมาณสิบกิโลเมตร) ถนนเริ่มเปลี่ยนเป็นทางลาดชัน
และ ขรุขระ
ริมแม่น้ำทั้งสองฝั่งเริ่มไต่ระดับสูงขึ้นกลายเป็นหน้าผาสูงชัน และ แม่น้ำเองก็แคบลงกลายเป็นหุบเขาลึก
“ที่นี่คือ…”
หลินจื่อกวงหยิบแผนที่ขึ้นมาตรวจสอบอีกครั้ง
“เราไม่หลงทางหรอก ข้ามหุบเขานี้ไป เดินต่อไปอีกสักสิบหลี่ก็จะถึงตัวเมืองแล้ว” เขาพูดด้วยความยินดี
หม่าอวี่ถังพูดต่อ “งั้นเรารีบไปกันดีกว่า น่าจะทันก่อนที่ฟ้าจะมืดสนิท”
ฟางจือสิงพยักหน้าเห็นด้วย
พวกเขาทั้งสาม และ สุนัขรีบเร่งฝีเท้า ขึ้นไปบนทางลาดชันจนถึงยอดหน้าผา
เส้นทางบนภูเขานั้นขรุขระ และ ไม่ราบเรียบ มีหินแหลมโผล่ขึ้นมาเหมือนอุปสรรคขวางทาง
ยังไม่หมดแค่นั้น ทางเดินยังเต็มไปด้วยพุ่มหนามซึ่งอาจทำให้ข้อเท้าได้รับบาดเจ็บได้ง่าย
“เฮ้อ โอ้โห ลำบากชะมัด!”
หลินจื่อกวงเดินนำหน้าไปบ่นตลอดทาง “การออกมาเที่ยวครั้งนี้ ไม่ได้หาเงิน ได้แต่อดทนทนลำบากเปล่า!”
หม่าอวี่ถังเองก็รู้สึกอึดอัดเช่นกัน เขาพูดเสียงหงุดหงิด “ถ้ารู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ ฉันไปล่าสัตว์อสูรในเขตต้องห้ามดีกว่า”
หลินจื่อกวงเริ่มมีอารมณ์ขึ้น พูดขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้มีคนบอกว่าการเดินทางกับเรือของเฉียนจี้อวิ๋นปลอดภัยมาก ไม่เคยเกิดเรื่องอะไรเลย การรับภารกิจนี้แทบจะเป็นการหาเงินแบบสบายๆ ใครจะไปคิดว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้”
เฉียนจี้อวิ๋นก็คือชื่อของเฉียนเหล่าป่าน
ทันใดนั้น หม่าอวี่ถังก็รู้สึกกังวล ถามขึ้นว่า “ถ้าภารกิจนี้ไม่สำเร็จ พวกเราจะถูกลงโทษไหม?”
หลินจื่อกวงกระพริบตา แสดงสีหน้ากังวลขึ้นมาเช่นกัน แต่ยังปลอบใจตัวเองว่า “ไม่น่าจะโดนหรอก พวกเราก็แทบเอาชีวิตไม่รอดแล้ว อย่างน้อยเราก็ทำเต็มที่แล้วล่ะ”
หม่าอวี่ถังคิดตาม และ พยักหน้าเห็นด้วย
ขณะที่เดินต่อไป ทิวทัศน์สวยงามก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ดอกชวนชมบานสะพรั่งเต็มพื้นที่ สวยงามราวกับทอด้วยผืนผ้าหลากสีสดใส จนทำให้รู้สึกตื่นตาตื่นใจ
“วิวสวยมาก ทำให้นึกถึงหอหานเซียงเลย” หลินจื่อกวงพูดอย่างตื่นเต้นพร้อมทั้งเลียริมฝีปากเบาๆ
หม่าอวี่ถังหัวเราะ และ พูดว่า “ที่สวนของหอหานเซียงก็ปลูกดอกชวนชมไว้เต็มเหมือนกัน แต่เจ้าคิดถึงดอกไม้พวกนี้ หรือคิดถึงสาวๆ ในหอหานเซียงกันแน่?”
หลินจื่อกวงเงยหน้ามองดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงชวนฝัน
“กลับไปแล้วจะพาเจ้าไปสนุกที่หอหานเซียง ฟางจือสิง เจ้าก็ไปด้วย ข้าบอกเลยว่าสาวๆ ที่นั่นน่ะ ผิวเนียนนุ่ม…”
พรึบ!
หลินจื่อกวงหยุดพูดไปกลางคัน ใบหน้าเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อ เขาก้มลงมองหน้าอกตัวเอง เห็นลูกธนูปักเข้าที่อก เลือดค่อยๆ ซึมออกมาเปื้อนคอเสื้อ
“หา???”
หม่าอวี่ถังยืนนิ่งตะลึง สายตาจับจ้องไปที่หลินจื่อกวง ราวกับสมองของเขากลายเป็นสูญญากาศในทันที
“ระวัง!” ระวัง!”
ทันทีที่เห็นหลินจื่อกวงถูกยิง ฟางจือสิงรีบหมอบลงพร้อมกับสอดส่องไปรอบๆ และ เขาก็มองเห็นประกายวาววับของลูกธนูหลายดอกพุ่งมาในอากาศพร้อมเสียงแหวกอากาศแผ่วเบา
ฟางจือสิงคว้าแขนหม่าอวี่ถังดึงเขาให้วิ่งไปหลบหลังโขดหินที่ยื่นออกมา
แคร้ง แคร้ง แคร้ง!
เสียงลูกธนูปะทะกับหินขณะที่หลินจื่อกวงกระอักเลือดล้มลง
ลูกธนูบางดอกกระเด็นออก บางดอกปักค้างอยู่ในพื้น
ฟางจือสิงหยิบธนูออกมา ค่อยๆ โผล่ศีรษะเล็กน้อยเพื่อสำรวจป่าลึกที่ดำมืดจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง
แสงอาทิตย์ยามเย็นส่องสลัว ปกคลุมป่าด้วยความลึกลับ และ น่ากลัว
เขาไม่สามารถหาตำแหน่งของนักยิงธนูได้
สถานการณ์ตอนนี้เป็นไปด้วยความลำบาก ทางข้างหน้า และ ทางหลังต่างยากจะเดินไปได้ อีกด้านหนึ่งคือหน้าผาสูงชัน
ศัตรูต้องอยู่ในป่า เตรียมยิงธนูออกมาได้ทุกเมื่อ
เรียกได้ว่าเป็นสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยอย่างมาก
“ช่วย...ช่วยข้าด้วย…” หลินจื่อกวงที่ยังไม่ตาย นอนคร่ำครวญบนพื้น
หม่าอวี่ถังหดตัวลง ตะโกนกลับไปว่า “อดทนไว้ ข้าจะไปช่วยเจ้าเดี๋ยวนี้”
“เจ็บเหลือเกิน!” หลินจื่อกวงพยายามเงยหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “ข้าจะตายแล้ว แม่ข้ายังคอยข้าอยู่ที่บ้าน…”
“อดทนไว้ เจ้าจะไม่เป็นอะไร!” หม่าอวี่ถังตะโกนกลับไปว่า “ข้าจะพาเจ้ากลับบ้าน ข้าจะพาเจ้าไปที่หอหานเซียง…”
ยังพูดไม่ทันจบ เผียะ!
ทันใดนั้นลูกธนูพุ่งเข้าปักที่ท้องของหลินจื่อกวง เขาสำลักเลือดออกมา ดวงตาค่อยๆ หม่นลงอย่างรวดเร็ว
“โธ่เว้ย! ไอ้พวกเวรเอ๊ย!”
หม่าอวี่ถังโกรธจนทนไม่ไหว ตะโกนด่ากราดไปที่ป่า แช่งชักศัตรูไม่หยุด
ฟางจือสิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เขายังไม่รู้แน่ชัดถึงสถานการณ์ของศัตรู แม้จะมีฝีมือในการยิงธนูระดับสูง แต่ก็ไม่รู้จะเล็งไปที่ไหน
ทันใดนั้น เขามองไปที่เสี่ยวโก่ว แล้วส่งเสียงในใจสั่งว่า “แยกร่างออกสองร่าง แล้ววิ่งเข้าไปในป่าดูที”
เสี่ยวโก่วชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหลบไปอยู่ข้างหลังฟางจือสิงเพื่อไม่ให้หม่าอวี่ถังเห็น
เงาใต้ตัวของเสี่ยวโก่วค่อยๆ ขยับ ก่อนจะเกิดร่างแยกของเสี่ยวโก่วขึ้นมาสองตัว
จากนั้นเสี่ยวโก่วทั้งสองตัวก็วิ่งออกไปทางซ้าย และ ขวาเข้าสู่ป่า
วืด วืด วืด!
ทันใดนั้นลูกธนูหลายสิบดอกพุ่งออกมาราวกับห่าฝนลูกธนู
“โฮ่ง~”
ร่างแยกตัวหนึ่งของเสี่ยวโก่วถูกลูกธนูปักเข้าที่ท้องจนล้มลงไม่สามารถขยับตัวได้
ร่างแยกอีกตัวหนึ่งเกือบโดนเช่นกัน แต่มันกระโดดเข้าไปในร่องระหว่างก้อนหินสองก้อน ไม่กล้าโผล่หัวออกมา
จากนั้น ร่างแยกของเสี่ยวโก่วทั้งสองก็สลายกลายเป็นควันดำกลับมารวมกับตัวจริง
เสี่ยวโก่วส่งเสียงในใจบอกว่า “ไม่ไหว ข้าเข้าไปไม่ได้”
ฟางจือสิงพยักหน้าไม่ได้ตำหนิว่าเสี่ยวโก่วไม่มีประโยชน์ เขาพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งว่า
“นักยิงธูน่าจะมีอย่างน้อยยี่สิบคน อยู่ห่างจากเราสามสิบถึงห้าสิบเมตร”
เสี่ยวโก่วรีบพูดอย่างกระวนกระวาย “ในป่ามืดเกินไป มองไม่เห็นอะไรเลย”
ฟางจือสิงตอบกลับ “ไม่ต้องกังวล พวกมันต้องออกมาแน่”
ไม่นานนัก อีกฝ่ายก็เริ่มหมดความอดทน
ร่างคนจำนวนหนึ่งเดินออกมาจากป่า พวกเขาสวมเสื้อหนังสัตว์ และ ผูกผ้าโพกหัวสีส้ม
“โจรน้ำ!!”
คิ้วของฟางจือสิงกระตุก ใบหน้าเผยความตกใจออกมา
“ทำไมถึงมีโจรน้ำมาอยู่ที่นี่ล่ะ?” หม่าอวี่ถังเองก็ตกใจไม่น้อย
แม้สถานที่นี้จะมีหน้าผาสูงชันซึ่งเหมาะสำหรับซุ่มโจมตี แต่ก็ไม่ใช่ที่ที่ดีสำหรับการปล้นเลย
เป้าหมายของโจรน้ำควรจะเป็นการปล้นเรือที่ผ่านไปมาเพื่อหาเสบียงสำหรับเอาตัวรอดมากกว่า
ฟางจือสิงครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงดัง “ท่านทั้งหลาย พวกเราก็แค่เดินผ่าน ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกัน ทำไมพวกท่านถึงต้องฆ่าพวกเราด้วย?”
ชายคนหนึ่งในชุดหนังสัตว์หัวเราะเยาะ
“พวกเจ้าก็คนของสำนักเทียนซานเหมินไม่ใช่รึ? ข้าก็แค่ฆ่าคนของสำนักเทียนซานเหมินเท่านั้น!”
หม่าอวี่ถังตะโกนด้วยความโมโห “แกมันไอ้พวกขี้ขลาด แค่ซุ่มยิงเป็นหมาลอบกัด กล้ามาเดี่ยวกับข้ามั้ย!”
ชายชุดหนังสัตว์หัวเราะเยาะ “ก็ได้ มาสู้กันตัวต่อตัว เจ้าก้าวออกมาสิ!”
หม่าอวี่ถังยืนขึ้นทันที
พรึบ พรึบ!
ลูกธนูสองสามดอกพุ่งมาอย่างรวดเร็วจนเขาต้องรีบหดตัวกลับไปแล้วสบถด่า
“พวกแกมันพวกขี้ขลาดทั้งนั้น!”
ฟางจือสิงได้แต่ยิ้มมุมปาก และ ส่ายหน้ากับการกระทำของเขา...
..........