บทที่ 242 โชคร้ายหรือเสน่ห์ล่ะ?
บทที่ 242 โชคร้ายหรือเสน่ห์ล่ะ?
ณ หน่วยคดีอาชญากรรมจิมซาจุ่ย
หลี่เอ้อร์มองหลี่เซียนอิงด้วยสีหน้าเหมือนเจอผี
“นายปล่อยตัวหยวนห่าวอวิ๋นไปงั้นเหรอ?” หลี่เอ้อร์รีบคว้าขวดน้ำขึ้นดื่มอึกใหญ่ เพื่อระงับอารมณ์ไม่ให้ระเบิด
หลี่เซียนอิงส่ายหน้า “หยวนห่าวอวิ๋นคือใคร?”
หลี่เอ้อร์ถึงกับนิ่งไป
“งั้นจ่ายเงินคืนมาเลย!” หลี่เอ้อร์พูดด้วยความโกรธ
หลี่เซียนอิงถึงกับหน้าซีดทันที
ขณะที่อยู่ใกล้ ๆ กัน หม่าจวินแกล้งทำเป็นยุ่งอยู่กับการพิมพ์คีย์บอร์ด หวังหลบหลีกความซวยที่จะมาถึง แม้ว่าเขาจะแค่กดปุ่มเอนเทอร์กับปุ่มตัวเลขได้เท่านั้น จนกระทั่งชื่อของตัวเองยังพิมพ์ไม่ถูก
อีกด้านหนึ่ง ผู้กองหูที่แอบเงี่ยหูฟังอยู่รู้สึกยินดีในใจ แต่ยังคงทำหน้าบึ้งบันทึกข้อมูลลงไปในระบบอย่างเรียบเฉย
หุ้ยอิงหง นอนหลับพักผ่อนอยู่บนโต๊ะ ส่วนไป่อันหนีกับเฉินหย่าหลุนก็ลงไปที่แผนก CID ชั้นล่างเพื่อช่วยหลี่เอ้อร์จัดการงานจุกจิกบางอย่าง
“นี่คือรายงานของผม ลองดูหน่อยไหม” หลี่เซียนอิงยื่นรายงานของเขาด้วยท่าทีมั่นใจ
หลี่เอ้อร์หยิบรายงานขึ้นมาอ่าน แค่เริ่มต้นก็เห็นคำผิดอยู่ถึงสองคำจากประโยคแรก
เขาเหลือบมองผู้กองหูที่ทำหน้าดีใจไปด้วยเล็กน้อย จากนั้นก็ได้แต่กุมขมับและอ่านต่อ
‘เฮ้ จริง ๆ มันก็มีประโยชน์แฮะ!’ หลี่เอ้อร์คิดในใจขณะอ่าน
“นายหมายถึงว่ามีคนที่หน้าตาคล้ายหยวนห่าวอวิ๋นอยู่ในเหตุการณ์ แต่สุดท้ายก็หนีไปได้สินะ” หลี่เอ้อร์ยิ้มเล็กน้อย
แต่ผู้กองหูกลับมีสีหน้าที่ไม่พอใจ เธอเหลือบมองหลี่เซียนอิงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะถอนสายตากลับมา คิดว่าหลี่เซียนอิงนี่ได้เริ่มเรียนรู้เล่ห์เหลี่ยมของหลี่เอ้อร์ไปแล้ว
“ดีมาก!” หลี่เอ้อร์ส่งรายงานคืนให้หลี่เซียนอิง โดยไม่อ่านต่อ “คดีนี้นายรับผิดชอบทั้งหมด ฉันจะไม่ยุ่ง”
“ครับ!” หลี่เซียนอิงยืดตัวตอบอย่างภาคภูมิใจ
“จริงสิ ทางหน่วยคดีอาชญากรรมหว่านไจ๋กับเฉาต้าฮว่าอยากสืบสวนเจาะลึกคดีนี้ต่อ” หลี่เซียนอิงรายงานต่อ
“เฉาต้าฮว่า ‘เสือหว่านไจ๋’ น่ะเหรอ?” หลี่เอ้อร์พูดด้วยความแปลกใจ “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเขาด้วยล่ะ?”
หลี่เซียนอิงมีสีหน้าแปลก ๆ เมื่อได้ยินหลี่เอ้อร์เรียกเฉาต้าฮว่าเป็น ‘เสือหว่านไจ๋’ เขาชักเริ่มสงสัยว่าเจ้าหมอนั่นอาจจะแอบมีฝีมือ
“ในรายงานเขียนไว้ครับ เมื่อคืนหน่วยคดีอาชญากรรมหว่านไจ๋เข้ามาร่วมและได้แบ่งความดีความชอบไปด้วย” หลี่เซียนอิงรีบอธิบาย
หลี่เอ้อร์เหลือบมองผู้กองหูที่มองเขาด้วยสายตาเหมือนหวังอะไรบางอย่าง ก่อนจะทำท่าทางใจดีตบไหล่หลี่เซียนอิง “คดีเกิดในเขตความรับผิดชอบของสถานีตำรวจหว่านไจ๋ แบ่งผลงานกันไปก็สมควรแล้ว และอย่างที่บอก คดีนี้นายดูแลเอง ตัดสินใจได้ตามใจเลย”
“ครับท่าน!” หลี่เซียนอิงตอบรับด้วยความกระตือรือร้น
เมื่อไล่หลี่เซียนอิงออกไปได้แล้ว หลี่เอ้อร์ก็เอนตัวลงนอนพักบนโซฟา แต่แล้วเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
“ฮัลโหล! ใครโทรมา?” หลี่เอ้อร์ถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ฉันเอง เข่อเหริน” เสียงหวานจากถงเข่อเหรินดังขึ้น “ยุ่งอยู่หรือเปล่า? มีเรื่องอยากคุยด้วย”
โทรศัพท์นั้นมาจากถงเข่อเหริน
หลังจากที่กลุ่มบริษัทถงเข้ามาถือหุ้นใน ‘ร้านอาหารโปจี้’ ร้านอาหารโปจี้ก็เริ่มขยายสาขาอย่างรวดเร็วด้วยการสนับสนุนทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทถง ทำให้สามารถเปิดสาขาตามห้างสรรพสินค้าทั่วเกาะฮ่องกงได้
โดยเฉพาะร้าน ‘ไก่ทอดแฮมเบอร์เกอร์ หมายเลขหนึ่ง’ ของซาเหลียนหน่า ที่เปิดร้านในทำเลทองในห้างต่าง ๆ ทำให้แบรนด์ของเธอเป็นที่รู้จักมากขึ้น
ซาเหลียนหน่าเป็นผู้หญิงที่มีพรสวรรค์ด้านการค้าขาย เธอเห็นว่าถงเข่อเหรินให้การสนับสนุนหลี่เอ้อร์ จึงคิดกลยุทธ์ที่สามารถเพิ่มยอดขายให้กับร้านอาหารโปจี้ และจัดการตีตลาดร้านอาหารอื่น ๆ อย่างราบคาบ
เธอได้นำระบบ “เก็บเงินปลายทาง” มาใช้ในร้านอาหารโปจี้ โดยถ้าสั่งอาหารในนามของบริษัท สามารถเก็บเงินปลายทางได้ภายในหนึ่งเดือน และยังได้รับส่วนลด 10% ในการสั่งอาหารอีกด้วย สิ่งนี้ช่วยอำนวยความสะดวกในการสั่งอาหาร ทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับบริษัทขนาดเล็ก จนมีหลายบริษัทลงนามทำสัญญาสั่งอาหารแบบเก็บเงินปลายทางกับร้านอาหารโปจี้เป็นจำนวนมาก
หลี่เอ้อร์ขับรถไปที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทถง
“เชิญค่ะ หลี่เซอร์!” ผู้ช่วยของถงเข่อเหรินยิ้มแย้มต้อนรับเต็มที่ เพราะได้รับคำเตือนล่วงหน้าว่าหลี่เอ้อร์เป็นคนอารมณ์ไม่ค่อยดี และยังขี้เหนียวมาก…เอ่อ ขี้เหนียวนี่ซาเหลียนหน่าเป็นคนบอก ส่วนถงเข่อเหรินเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก
“หลี่เอ้อร์ มาถึงแล้วเหรอ!” ถงเข่อเหรินทักทายด้วยรอยยิ้ม
หลี่เอ้อร์หาที่นั่งก่อนจะนั่งลง
“เรื่องอะไรกันแน่? ฉันยุ่งมากนะ นาทีหนึ่งก็หลายร้อยเหรียญเลยทีเดียว”
ถงเข่อเหรินไม่สนใจท่าทางหน้านิ่วคิ้วขมวดของหลี่เอ้อร์ เธอแย้มยิ้มและกล่าว “ฉันสงสัยว่าทำไมช่วงนี้ไม่เห็นคุณไปซ้อมยิงปืน สงสัยว่าคงมีคดีใหญ่สินะ?”
หลี่เอ้อร์มองไปยังจอทีวีขนาดใหญ่ในห้องทำงานของเธอ บนจอทีวีฉายภาพเหตุการณ์การยิงปืนที่โกดังท่าเรือเมื่อคืน หลี่เซียนอิงกำลังให้สัมภาษณ์ แม้หลี่เอ้อร์จะไม่ปรากฏตัวในกล้อง แต่ในฐานะหัวหน้าทีมคดีอาชญากรรมกับ CID หลี่เซียนอิงก็ได้กล่าวถึงเขาว่าเป็นคนบังคับบัญชาอย่างมีประสิทธิภาพ
“หลี่เอ้อร์ ฮ่องกงมีอาชญากรอันตรายมากมายขนาดนั้นเลยหรือ? พวกเขาเอาอาวุธพวกนั้นมาจากไหน?” ถงเข่อเหรินถามพลางส่งขวดน้ำให้หลี่เอ้อร์ เธอมีชุดชงชาและเครื่องทำกาแฟอยู่ในห้องทำงาน แต่ตัวเธอเองไม่เคยใช้ชงชาให้ใคร หรือชงกาแฟเลย
“พวกคุณไม่คิดจะตรวจสอบทางท่าเรือบ้างเหรอ? ถ้าปล่อยแบบนี้ ชาวบ้าน
ทั่วไปคงจะอันตรายมากแน่ ๆ” ถงเข่อเหรินนั่งตรงข้ามหลี่เอ้อร์พร้อมถามด้วยความกังวล
หลี่เอ้อร์มองเธอแล้วถอนหายใจ “เรื่องแบบนี้เธอควรไปถามศุลกากรหรือพวกอังกฤษนู่น ฉันมันแค่ตำรวจเล็ก ๆ ไม่ใช่ผู้ว่าการฮ่องกงเสียหน่อย”
ถงเข่อเหรินเบ้ปากมองหลี่เอ้อร์ด้วยความหมั่นไส้เล็กน้อย
“คุณต้องการจะบอกอะไรแน่?” หลี่เอ้อร์ถามกลับ
“เงินเดือนตำรวจคุณเดือนละเท่าไหร่?” ถงเข่อเหรินถามขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“สูงมาก มากกว่าที่เธอคาดคิดเยอะเลย” หลี่เอ้อร์ตอบยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
“หนึ่งหมื่น?” ถงเข่อเหรินลองถามหยั่งเชิง
“แค่ก แค่ก!” หลี่เอ้อร์ถึงกับสำลักน้ำคำพูดของเธอ “มันเกี่ยวอะไรกับเธอด้วยล่ะ!”
"ฮ่องกงช่วงนี้วุ่นวายมากจริง ๆ!" ถงเข่อเหรินพูดด้วยน้ำเสียงที่ยังรู้สึกหวาดกลัวเมื่อนึกถึงตอนถูกลักพาตัว "ฉันอยากจ้างคุณมาเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัว คิดว่ารายได้ปีละหนึ่งล้านพอไหม?"
‘หนึ่งล้านต่อปีเลยเหรอ?’ หลี่เอ้อร์กลืนน้ำลายโดยอัตโนมัติ ก่อนจะตัดสินใจปฏิเสธทันที "ไม่ได้หรอก!"
"ทำไมล่ะ? ราคานี้ยังปรับได้อีกนะ" ถงเข่อเหรินรีบถาม
"เธอคิดว่าฉันดูเหมือนคนขาดเงินรึไง?" หลี่เอ้อร์ตอบสวนกลับ
ถงเข่อเหรินอึ้งไป หลี่เอ้อร์เป็นหนึ่งในหุ้นส่วนของ "ร้านอาหารโปจี้" ซึ่งจริง ๆ แล้วเขาก็ไม่ได้ขาดเงินอย่างที่ว่า
"แล้วฉันจะทำยังไงดีล่ะ?" ถงเข่อเหรินเผลอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า
คราวนี้หลี่เอ้อร์ถึงกับอึ้งกลับ
“เรื่องของเธอเกี่ยวอะไรกับฉันเล่า! มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็โทรแจ้งตำรวจสิ”
ถงเข่อเหรินเม้มปาก ตาจ้องมองหลี่เอ้อร์อยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งดวงตาคู่นั้นเริ่มแดงขึ้นมา
“เฮ้ ๆ ๆ อย่าบอกนะว่าจะร้องไห้! อย่าทำเหมือนฉันติดค้างเธอสิ ฉันก็ช่วยชีวิตเธอแล้วนี่นา” หลี่เอ้อร์พูดด้วยความลนลานเล็กน้อย
ถงเข่อเหรินก้มหน้าลงเช็ดน้ำตาที่ขอบตาเมื่อนึกถึงความหวาดกลัวที่ถูกลักพาตัวในครั้งนั้น
"ใครบอกว่าฉันจะร้องไห้ ฉันรู้หรอกว่าคุณเคยช่วยชีวิตฉัน แต่ว่าช่วยเลิกพูดถึงมันบ่อย ๆ ได้ไหม?" ถงเข่อเหรินพยายามยิ้มให้เขาอย่างฝืน ๆ
หลี่เอ้อร์พอเห็นถงเข่อเหรินดูท่าจะไม่มีปัญหาอะไรก็ถอนหายใจเบา ๆ พร้อมพูดปลอบ “จริง ๆ แล้วเธอก็จ้างบอดี้การ์ดที่มีใบอนุญาตพกอาวุธได้นี่ ฮ่องกงก็มีบริษัทรักษาความปลอดภัยที่ดี ๆ อยู่มาก”
ถงเข่อเหรินยิ้มอย่างขำ ๆ “ฉันไปหามาแล้วสิ แต่พวกนั้นฝีมือการยิงห่วยแตก”
หลี่เอ้อร์ขมวดคิ้วด้วยความไม่เชื่อ
“จริงนะ บอดี้การ์ดจากบริษัทพวกนั้นยิงไม่แม่นเท่าคุณด้วยซ้ำ” ถงเข่อเหรินพูดอย่างจริงจัง เธอไม่เคยลืมความแม่นยำในการยิงของหลี่เอ้อร์ที่ยิงคนร้ายได้ในนัดเดียว
การเอาหลี่เอ้อร์มาเปรียบกับบอดี้การ์ดทั่วไปดูเป็นเรื่องไม่ยุติธรรม ทว่าด้วยมาตรฐานของถงเข่อเหริน เธอกลับกลายเป็นคนที่ช่างเลือกมากเกินไปโดยไม่รู้ตัว
หลี่เอ้อร์รู้สึกเห็นใจเล็กน้อยจึงเอื้อมมือไปตบไหล่หญิงสาวตรงหน้าอย่างเห็นใจ เขาคิดว่าคนรวยก็ไม่ได้มีชีวิตที่ดีเสมอไป โดยเฉพาะเมื่อต้องเจอกับสถานการณ์ที่น่ากลัวจากจางจื่อหาวจนทำให้เธอหวาดกลัวไม่หาย
"ตกลงคุณยอมรับงานแล้วเหรอ?" ถงเข่อเหรินถามอย่างตื่นเต้น
"ฝันไปเถอะ!" หลี่เอ้อร์ตอบพลางกลอกตา "อย่างมากฉันก็แค่จะช่วยหาใครสักคนที่เหมาะมาเป็นบอดี้การ์ดให้เธอ แต่ฉันขอหัก 30% เป็นค่านายหน้าเลยนะ"
ถงเข่อเหรินทำหน้าเบ้ใส่เขา เจ้านี่มันเจ้าเล่ห์จริง ๆ แต่ไม่รู้ทำไมเธอถึงไม่รู้สึกโกรธเขาเลย
"มีเรื่องอะไรค่อยโทรหาฉันละกัน" หลี่เอ้อร์ยิ้มแล้วเดินจากไป แต่ก็ถือโอกาสหยิบกระป๋องชาที่วางอยู่ในตู้ของถงเข่อเหรินติดมือไปด้วย เพราะรู้ว่าเธอคงไม่ชงชาและมันจะกลายเป็นของเสียเปล่าหากปล่อยไว้แบบนี้
ขณะที่หลี่เอ้อร์เพิ่งขึ้นรถ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
"ฮัลโหล ใครโทรมา?"
คราวนี้คนโทรมาคือแม่ยายคนสวยของเขา ไป่เชี่ยนหนี
หลี่เอ้อร์ถึงกับหัวปั่นไม่รู้จะทำอย่างไรดี
อีกด้านหนึ่ง เฉาต้าฮว่าได้นำทีมไปจับกุมตัวจอห์นนี่ หวัง และเจียงหลางที่โรงพยาบาลหมิงซิน "เสือหว่านไจ๋" ได้ชื่อเสียงอย่างล้นหลามในการปฏิบัติการครั้งนี้ ลูกน้องที่เคยสงสัยในความสามารถของเขาต่างพากันยอมรับ ทำให้เฉาต้าฮว่าเกิดความฮึกเหิมไม่น้อย และรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ร่วมในเหตุการณ์ยิงปะทะที่ท่าเรือด้วยตัวเอง
สถานีตำรวจหว่านไจ๋ ภายในห้องทำงานของหัวหน้าสถานี
เย่เต๋อเซียนปิดประตูอย่างระมัดระวัง ใบหน้าที่เคร่งขรึมของเธอกลับผ่อนคลายลงในทันที
“พี่ต้า นี่คุณทำได้ยังไงกัน ถึงได้ทำคดีใหญ่ขนาดนี้แล้วยังจัดการได้เรียบร้อยขนาดนี้” เย่เต๋อเซียนพูดด้วยความชื่นชมขณะมองเฉาต้าฮว่าด้วยรอยยิ้ม
ทั้งสองคนนี้ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์กันลึกซึ้ง ทำให้เข้าใจได้ว่าทำไมเฉาต้าฮว่าถึงได้เลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นผู้กำกับได้เร็วขนาดนี้