ตอนที่แล้วบทที่ 173 ฉันก็จะสบายใจขึ้นบ้าง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 175 คุณอยากให้ฉันไปมากไหม?

บทที่ 174 เธอจะตอบรับหรือเปล่า?


บทที่ 174 เธอจะตอบรับหรือเปล่า?

  “ลูกชายของเรานี่เขาไม่ได้ชอบเฉินชิงแล้วจริง ๆ เหรอ?” เติ้งอิงถาม

  ถึงตอนนี้เธอก็ยังรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ เพราะเมื่อก่อนเฉินเฉิงเคยตามจีบเฉินชิงอย่างมุ่งมั่นมาก ถึงกับเคยบอกกับเธอว่าจะไม่แต่งงานกับใครนอกจากเฉินชิง แต่ตอนนี้พ่อของเฉินชิง อย่างเฉินซื่อ ได้เจอพวกเขาไม่กี่ครั้งก็ยังพูดบอกเป็นนัย ๆ ว่าอยากให้เฉินเฉิงไปเยี่ยมบ้านเขาบ่อย ๆ

  แต่ช่วงครึ่งปีมานี้ เฉินเฉิงก็ไม่เคยไปบ้านเฉินชิงอีกเลย

  ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ทุกครั้งที่หยุดพักเขาก็จะไปตลอด

  “ไม่รู้เหมือนกัน” เฉินฉวนส่ายหน้า

  เขาเองก็ไม่เข้าใจเรื่องระหว่างเฉินเฉิงกับเฉินชิง

  ไล่ตามอยู่นานขนาดนั้น จู่ ๆ ก็ยอมตัดใจได้

  นี่ไม่เหมือนเฉินเฉิงที่เขารู้จักเลย

  ลูกชายของเขาดูเหมือนจะเกียจคร้าน แต่จริง ๆ แล้วก็หัวรั้นเอาเรื่อง

  ถ้าชอบใครสักคนจริง ๆ แม้ว่าจะต้องชนกำแพงสักกี่ครั้งก็ยังคงจะชอบต่อไป

  ตรงจุดนี้เขาเหมือนกับตนเอง

  ตอนนั้นบ้านเขายากจน ตอนที่จะขอแต่งงานกับเติ้งอิง พ่อแม่ของเธอไม่เห็นด้วยอย่างมาก

  แต่สุดท้ายเขาก็โน้มน้าวทั้งพ่อตาและแม่ยายได้จนแต่งเติ้งอิงมาเป็นภรรยา

  “เอาล่ะ มีเรื่องหนึ่งที่ฉันอยากถามเธอมาตลอด เฉินเฉิงเคยคุยกับเธอเรื่องนี้แล้ว เธอตัดสินใจได้หรือยัง?” เติ้งอิงถาม

  ตั้งแต่บริษัทเรือยักษ์ถอนทุนจากเมืองอื่น ๆ ไปแล้ว ตอนนี้มีแต่ร้านค้าท้องถิ่นเพียงไม่กี่ร้านเท่านั้นที่ต้องดูแล และมีคนรับผิดชอบดูแลอยู่แล้ว ช่วงหลังปีใหม่เธอกับเฉินฉวนก็ไม่ค่อยยุ่งเท่าไหร่ แถมยังมีเวลาไปเล่นไพ่มากขึ้นอีกด้วย

  แต่เติ้งอิงก็ยังไม่รู้ว่าเฉินฉวนคิดอย่างไร

  เกี่ยวกับกลยุทธ์ที่เฉินเฉิงบอกเมื่อปลายปีที่แล้วว่าจะเริ่มต้นจากการพัฒนาจากชนบทสู่เมืองใหญ่ เติ้งอิงรู้ว่าเฉินฉวนยังลังเลอยู่ เธอก็รู้ว่าเขาลังเลเรื่องอะไร เพราะตอนนี้ชนบทของอันเฉิงแทบจะไม่มีการพัฒนาอะไรเลย ตามคำกล่าวที่ว่า “ถ้าอยากมั่งคั่ง ต้องพัฒนาเส้นทาง” แต่ถนนในหมู่บ้านก็ยังเป็นเพียงถนนทรายขรุขระเต็มไปด้วยหลุมบ่อ

  การเปิดซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ในที่แบบนี้

  เฉินฉวนรู้สึกว่าคงยากที่จะทำให้มันประสบความสำเร็จได้จริง ๆ

  “พูดตามตรงนะ ตลอดช่วงนี้ฉันก็คิดเรื่องนี้มาตลอด ฉันสอบถามข้อมูลหลาย ๆ ด้านแล้ว แต่รัฐบาลก็ไม่มีแผนจะพัฒนาถนนในหมู่บ้านเลย ต่อให้มีแผนเรื่องนี้ออกมา ฉันก็คงทำตามที่เฉินเฉิงบอกแล้วเปิดซูเปอร์มาร์เก็ตในหมู่บ้าน แต่มันสำคัญที่ถ้ารัฐบาลไม่คิดจะสร้างถนนในหมู่บ้านในอีกไม่กี่ปีนี้เลย หมู่บ้านจะพัฒนาไปได้อย่างไรกัน?” เฉินฉวนกล่าว

  การพัฒนาใด ๆ ก็ต้องเริ่มจากการพัฒนาถนนเสียก่อน

  เฉินฉวนที่ทำงานในแวดวงการค้าปลีกมาหลายปีรู้ดีถึงสัญญาณนี้

  แต่ไม่ว่าถามใครก็ไม่ได้ยินว่าแผนพัฒนาเมืองจะขยายสู่หมู่บ้านเลย

  เขาเลยไม่กล้าทำตามคำแนะนำของเฉินเฉิงแล้วไปสร้างซูเปอร์มาร์เก็ตในหมู่บ้านต่าง ๆ

  อีกอย่าง ตามแนวคิดของเฉินฉวน

  ซูเปอร์มาร์เก็ตเหมาะกับเมืองมากกว่า ไม่ได้เหมาะกับหมู่บ้าน

  “ฉันไม่รู้หรอกนะ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของพ่อลูกพวกคุณ ฉันไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องของบริษัทเลย แต่ที่รู้แน่ ๆ ก็คือเมื่อปีที่แล้วที่คุณยุ่งกับการขยายกิจการ ทำให้บริษัทเรือยักษ์ขาดทุนไม่น้อยเลย ในขณะที่ลูกของเรากลับทำเงินได้มาก” เติ้งอิงพูด

  “เขาเขียนหนังสือมันเสี่ยงตรงไหนล่ะ?” เฉินฉวนบ่น

  “แล้วทำไมเธอไม่ไปเขียนบ้างล่ะ? ปีที่แล้วหลังจากขาดทุน ยอดขายสุทธิของบริษัทเรือยักษ์มันได้ถึงสิบล้านหรือเปล่า?” เติ้งอิงหัวเราะเย็น “แต่เฉินเฉิงกลับทำเงินจากหนังสือ อันเฉิง ได้เกือบสิบล้านเลยนะ”

  เติ้งอิงยังคงฝังใจถึงความยุ่งยากในปีที่แล้ว ที่ต้องตามเฉินฉวนไปหลายเมืองจนแทบไม่มีเวลากินข้าวกับลูก ต้องกลับบ้านสักครั้งทุก ๆ สัปดาห์หรือบางทีอาจจะนานกว่านั้น ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้กำไรเลย แต่ยังต้องเสียเงินไปมากอีกต่างหาก

  “ฉันเองก็ไม่คาดคิดเหมือนกันว่าเรือยักษ์ที่ทำได้ดีในบ้านเรา กลับไม่ประสบความสำเร็จในเมืองอื่น ๆ” เฉินฉวนกล่าว

  ในตอนนั้นเฉินเฉิงที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินออกมาจากห้องน้ำ

  คราบน้ำมันและฝุ่นที่ติดมือจากโซ่จักรยานนั้นล้างออกยากจริง ๆ เฉินเฉิงใช้ทั้งสบู่และน้ำยาล้างจานล้างหลายรอบถึงจะสะอาด

  “พ่อ แม่ คุยอะไรกันอยู่เหรอครับ?” เฉินเฉิงเดินเข้ามาถาม

  เฉินฉวนเหมือนกับตัดสินใจบางอย่างได้ เขาหันมาถามเฉินเฉิงว่า “ในหนังสือ อันเฉิง ที่ลูกเขียน ลูกบอกว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2011 รัฐบาลจะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาชนบท และจะเริ่มสร้างถนนในหมู่บ้าน นี่เรื่องจริงหรือเปล่า?”

  เฉินเฉิงมองหน้าพ่อของตนแล้วยิ้ม “นิยายน่ะมีทั้งเรื่องจริงและเรื่องแต่ง ผมพูดสิ่งที่ควรจะพูดไปตั้งแต่เมื่อปีที่แล้วแล้วครับ ถ้าพ่ออยากก้าวหน้าไปอีกขั้นก็ทำตามที่ผมแนะนำ ผมบอกได้แค่ว่า ตามสภาพของจีนในปัจจุบัน ต่อให้ผ่านไปอีกยี่สิบปี ตลาดระดับล่างจะยังคงมีความสำคัญมากกว่าตลาดระดับสูงอยู่ดี”

  “แน่นอน การค้าก็เหมือนกับการเรียนรู้ ที่หากไม่ก้าวหน้าก็จะถอยหลัง พ่อก็น่าจะรู้นี่ครับ ถ้าไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้ ผลที่ตามมาก็ชัดเจนอยู่แล้ว” เฉินเฉิงพูด

  ไม่ใช่เพียงการเรียนเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ ที่ว่า “ไม่ก้าวหน้าก็ถอยหลัง” ใช้ได้กับทุกเรื่องบนโลกนี้

  แม้แต่ธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

  หากไม่สามารถพัฒนาต่อไป ก็จะถอยหลังลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งถูกคนอื่นแซง เพราะในกระแสสังคมและยุคสมัยที่เปลี่ยนไปเสมอ มีผู้ที่ปรับตัวเข้ากับยุคสมัยและอยู่ในจุดสูงสุดอยู่เสมอ ในขณะที่คนที่ปรับตัวไม่ได้ก็ต้องค่อย ๆ หลุดออกจากประวัติศาสตร์ไป

  เรือยักษ์ในอดีต เคยรุ่งเรืองในท้องถิ่นของอันเฉิงเกือบสิบปี แต่สุดท้ายก็ถูกกลืนกินโดยคนที่สามารถปรับตัวเข้ากับยุคสมัยได้ใน

เวลาที่ชนบทเริ่มเฟื่องฟู โดยที่เริ่มพัฒนาจากชนบทแล้วค่อยรวมตัวกับเมือง สุดท้ายก็กลืนกินเรือยักษ์จนหมดสิ้น

  ในเมืองนั้นคนยังคงน้อยอยู่

  แต่ในอันเฉิงคนส่วนใหญ่ยังอยู่ในชนบท

  เมื่อซูเปอร์มาร์เก็ตเหล่านั้นเติบโตมั่นคงในชนบทแล้ว

  แม้ว่าพวกเขาจะเข้าสู่ตัวเมือง คนก็จะยังเลือกใช้บริการซูเปอร์มาร์เก็ตที่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว ไม่ใช่เรือยักษ์ที่มีเพียงคนในเมืองรู้จักแต่คนชนบทยังไม่รู้จักด้วยซ้ำ

  แถมตอนนั้นแนวคิดการจัดการของซูเปอร์มาร์เก็ตอื่น ๆ ยังล้ำหน้ากว่ามาก

  เมื่อพวกเขารุกเข้าสู่เมืองและท้าทายเรือยักษ์

  เรือยักษ์ก็พังทลายลงอย่างรวดเร็ว

  เฉินฉวนเข้าใจในหลักการนี้ดีอยู่แล้ว

  นั่นจึงเป็นสาเหตุที่เขาพยายามขยายกิจการในปีที่แล้ว

  เพราะตามกลยุทธ์ของเขา เรือยักษ์พัฒนาจนกลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมค้าปลีกของเมือง และการจะเติบโตต่อไปได้มีแต่ต้องขยายออกไป

  แต่เขากลับไม่ได้คิดถึงชนบทที่ขาดแคลน กลับคิดไปถึงเมืองข้างเคียงแทน

  เฉินฉวนนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นเงยหน้าขึ้นพูดว่า “ลูก พ่อจะเชื่อลูกสักครั้งในวันนี้ ยังไงซะตอนนี้ลูกก็ทำเงินได้มาก ถ้าสุดท้ายแล้วมันล้มเหลว พ่อกับแม่ก็ขอพึ่งลูกเลี้ยงก็แล้วกัน เราเลี้ยงลูกมาจนโตขนาดนี้ ลูกก็ต้องเลี้ยงพวกเราคืนบ้างแล้ว”

  “อย่ามาพูดแบบนี้ ถึงจะพัฒนาในชนบทไม่สำเร็จ เงินที่เราหามาตลอดหลายปีก็เพียงพอที่จะให้เราใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสุขสบายแล้ว และถึงจะทำไปตามปกติ เรือยักษ์ก็ยังคงทำเงินได้มากทุกปีจากในเมือง เงินที่ลูกหาได้เป็นของเขา อย่าไปหมายตาเลย” เติ้งอิงพูด

  พวกเขาไม่ได้ขัดสนเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ หาเงินมาได้เยอะพอสมควร

  ไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งเฉินเฉิงเลยสักนิด

  “ฉันก็แค่พูดเล่นน่ะ” เฉินฉวนตอบ

  “พ่อแม่ทำไปตามแผนเถอะครับ ผมเคยบอกไปแล้วว่า ไม่ว่าพวกท่านจะทำสำเร็จแค่ไหน ผมก็พร้อมที่จะช่วยสนับสนุนอยู่แล้ว” เฉินเฉิงพูดยิ้ม ๆ

  “งั้นลูกว่าเริ่มจากหมู่บ้านไหนดี? หรือว่าจะเริ่มจากหมู่บ้านสิบเก้าไมล์ก่อนดี?” เฉินฉวนถาม

  เฉินเฉิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้ม “เริ่มจากผิงหูก็แล้วกันครับ”

  จะเริ่มจากหมู่บ้านไหนก่อนก็ไม่สำคัญ

  ในช่วงครึ่งหลังของปี 2011 อันเฉิงจะเริ่มพัฒนาชนบทอย่างเต็มที่

  ไม่เพียงแต่หมู่บ้านเท่านั้น แม้แต่เส้นทางในชนบท รัฐบาลก็จะไม่ให้ชาวบ้านจ่ายเงินเอง แต่จะออกเงินสร้างถนนคอนกรีตทั้งหมด ไม่ใช่เพียงถนนใหญ่ แต่พอถึงปี 2012 ก็จะสร้างถนนเส้นหลักในหมู่บ้านทั้งหมดด้วย

  ช่วงปี 2011 ถึง 2015 นั้น จะเป็นช่วงที่เมืองและชนบทเปลี่ยนแปลงมากที่สุด

  “ผิงหูเหรอ?” เฉินฉวนอึ้งเล็กน้อยแล้วตอบว่า “ตกลง งั้นก็ผิงหู”

  ส่วนเติ้งอิงเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็แอบมองลูกชายอย่างมีความหมายสักพัก แล้วพวกเขาก็พูดคุยกันเกี่ยวกับการพัฒนาของเรือยักษ์ในอนาคตอีกสักพักก่อนที่เฉินเฉิงจะกลับห้องไปนอน

  ความจริงสิ่งที่ต้องพูดนั้นเฉินเฉิงได้บอกไปหมดแล้ว

  ตราบใดที่เรือยักษ์สามารถคว้าตำแหน่งในชนบทได้ก่อนคนอื่น โอกาสของคนอื่นก็จะหมดลง

  ตอนที่เฉินเฉิงนอนลงบนเตียง เจียงลู่ซีก็กำลังถึงบ้านพอดี

  ทันทีที่เจียงลู่ซีถึงบ้าน เธอก็เห็นไฟหน้าบ้านเปิดอยู่ และคุณยายของเธอกำลังนั่งรออยู่ที่หน้าประตู

  ก่อนหน้านี้บ้านเธอไม่มีไฟหน้าบ้าน

  หลอดไฟนี้เพิ่งจะติดตั้งตอนตรุษจีนที่ผ่านมา โดยเจียงลู่ซีเป็นคนปีนบันไดขึ้นไปติดเอง

  ในช่วงหน้าหนาวอากาศเย็น คุณยายของเธอที่นั่งรอหน้าประตูอาจจะหนาวจนป่วยได้ เธอเลยรู้สึกเป็นห่วง ตอนนั้นจะนอนรอที่เตียงหรือจะนั่งรอในลานบ้านก็ได้ แต่หลังจากเธอกลับมาแล้ว คุณยายก็จะยอมเข้านอนอย่างสบายใจ

  แต่ยกเว้นหน้าหนาว ในฤดูกาลอื่น ๆ คุณยายมักจะเอาเก้าอี้หรือม้านั่งมานั่งรอเธอที่หน้าบ้าน

  ที่หน้าบ้านไม่มีไฟ ทางเดินก็ไม่สะดวก

  เจียงลู่ซีเคยบอกคุณยายหลายครั้งว่าไม่ต้องรอหรอก นี่มันผ่านมาหลายปีแล้วก็ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น แต่คุณยายไม่ฟัง ยืนยันจะรอให้เธอขี่จักรยานกลับจากโรงเรียนถึงจะสบายใจ

  ด้วยเหตุนี้เจียงลู่ซีจึงกลัวว่าคุณยายจะมีปัญหาหากนั่งรอในความมืด

  ในวันตรุษจีนของปีนี้ เธอจึงได้ติดหลอดไฟที่หน้าบ้าน

  “คุณยาย ถึงแม้อากาศจะเริ่มอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ แต่กลางคืนยังมีลมนะคะ หนูรู้ว่าห้ามไม่ให้คุณยายรอไม่ได้ แต่คุณยายจะรอในลานบ้านก็ได้ค่ะ” เจียงลู่ซีลงจากจักรยานแล้วพูด

  “อีกไม่กี่วันก็จะถึงเทศกาลเช็งเม้งแล้ว ตอนนี้เข้าฤดูใบไม้ผลิเต็มตัว อีกไม่นานก็จะเข้าฤดูร้อนแล้ว จะหนาวอะไรอีกล่ะ? แถมฉันยังใส่เสื้อคลุมอีกตัวด้วย” คุณยายของเจียงลู่ซีพูดพร้อมยันไม้เท้าแล้วเปิดประตูอีกบานเพื่อให้เจียงลู่ซีเข็นจักรยานเข้ามาได้สะดวกขึ้น

  ประตูบ้านของคนอื่น ๆ เปลี่ยนเป็นประตูเหล็กบานใหญ่กันหมดแล้ว แต่ประตูบ้านของเธอยังเป็นประตูไม้แบบเก่าเมื่อยี่สิบปีก่อน ประตูแบบนี้ถึงจะมีกุญแจ แต่ถ้าอยากจะเปิดเข้ามาก็ไม่ต้องปลดล็อกเลย แค่ยกมุมประตูขึ้นก็สามารถเข้ามาได้โดยไม่ต้องปลดล็อก

  ตอนเด็ก ๆ บ้านของเฉินเฉิงก็มีประตูไม้แบบนี้ ตอนนั้นเขามักจะพาเด็ก ๆ ในหมู่บ้านกลับไปเล่นเกมที่บ้านแต่ไม่มีลูกกุญแจก็ใช้วิธีดึงมุมประตูข้างหนึ่งให้หลุดจากราง ประตูไม้ก็จะสามารถเปิดออกและเข้าไปได้ ต่อมาประตูไม้ถูกเปลี่ยนเป็นประตูเหล็ก เฉินเฉิงก็ต้องพาพวกเด็ก ๆ ปีนกำแพงเข้าไปแทน

  ในตอนนั้นพ่อแม่ของเฉินเฉิงพาเครื่องเล่น DVD กลับมาจากเมืองเฉินเฉิง ซึ่ง DVD นั้นต่างจาก VCD ตรงที่สามารถเล่นเกมด้วยแผ่น CD และมีตัวควบคุมได้ด้วย

  เฉินเฉิงซื้อแผ่นเกมมาแผ่นหนึ่งพร้อมตัวควบคุมสองตัว เด็ก ๆ ในหมู่บ้านก็อยากจะไปเล่นเกมที่บ้านเฉินเฉิงทุกครั้งที่หยุดเรียน ตอนนั้นเกม Contra , Adventure Island , Jackal , Super

Mario เป็นเกมที่มีแรงดึงดูดมากเกินไปสำหรับเด็กชนบทที่ไม่เคยเล่นเกมมาก่อน

  แต่ปู่ย่าของเฉินเฉิงไม่ยอมให้เขาพาเด็ก ๆ มาเล่นเกมที่บ้านทุกวัน ดังนั้นเฉินเฉิงตัวน้อยที่ไม่มีลูกกุญแจก็ต้องแอบยกประตูออกและปีนกำแพงเข้าไปหลายครั้ง

  แน่นอนว่าบางครั้งก็ถูกปู่ย่าจับได้

  ดังนั้นสมัยเด็ก ๆ เฉินเฉิงจึงถูกตีไม่น้อยเลย

  ประตูไม้นี้ยังเป็นประตูบานเล็ก

  เปิดเพียงบานเดียวพอเดินผ่านได้แค่คนเดียว

  หากไม่เปิดทั้งหมด เจียงลู่ซีจะเข็นจักรยานเข้าไปไม่ได้

  เมื่อคุณยายของเจียงลู่ซีเปิดประตูทั้งสองบานออก

  เจียงลู่ซีก็เข็นจักรยานเข้าไปในลานบ้าน

  เธอจอดจักรยานไว้ที่ใต้ชายคา

  จากนั้นก็เปิดไฟในบ้านและประคองคุณยายเข้ามาในห้องโถง

  เมื่อพาคุณยายมาถึงห้องโถงแล้ว เจียงลู่ซีก็เดินกลับไปที่หน้าประตูเพื่อปิดไฟ จากนั้นก็ปิดประตูและใช้ท่อนไม้สองท่อนหนุนให้ประตูแน่น

  เมื่อทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจียงลู่ซีก็กลับไปยังห้องโถง

  “ช่วงนี้เสี่ยวซีเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ” คุณยายของเจียงลู่ซียิ้ม

  “หนูเปลี่ยนไปตรงไหนเหรอ?” เจียงลู่ซีถามอย่างงุนงงขณะนั่งลงข้างคุณยาย

  “ดูสวยขึ้นเยอะเลยนะ” คุณยายพูดยิ้ม ๆ

  เจียงลู่ซีหน้าแดงเล็กน้อย “ตรงไหนกันคะ”

  คุณยายจับมือเจียงลู่ซีแล้วพูดว่า “ดูว่านอนหลับมากขึ้น ไม่ได้อดนอนอ่านหนังสืออีกแล้ว แถมไม่ต้องแบกหนังสือกลับบ้านทุกวันด้วย หนูสอบเข้ามหาวิทยาลัยหัวชิงได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องหักโหมทุกวันหรอก แม้ว่าการเรียนจะสำคัญ แต่สุขภาพก็สำคัญเหมือนกัน”

  เจียงลู่ซีได้ฟังแล้วก็พูดว่า “คุณยายคะ ที่คุณยายไม่พูดเรื่องนี้ยังพอได้ แต่พอพูดแล้วหนูก็ยิ่งโมโห หนูมีเรื่องที่ตัดสินใจไม่ถูก อยากให้คุณยายช่วยแนะนำค่ะ”

  มีบางเรื่องที่เธอไม่รู้จะพูดกับใครได้ ทำให้คุณยายกลายเป็นที่พึ่งพิงเพียงหนึ่งเดียว

  กับคุณยายนั้นไม่ว่าเรื่องอะไรก็พูดได้หมด

  “มีเรื่องอะไรล่ะ เล่ามาสิ” คุณยายของเจียงลู่ซีตอบ

  เจียงลู่ซีเล่าถึงเรื่องที่เฉินเฉิงทำให้เธอรู้สึกโมโหในช่วงนี้ทั้งหมด เมื่อเล่าเสร็จเธอก็นอนพิงอยู่ในอ้อมกอดของคุณยายแล้วพูดว่า “คุณยายคะ หนูกำลังคิดว่าเวลาปิดเทอมแล้วจะไปบอกครูให้ช่วยเปลี่ยนที่นั่งดีไหม แต่ก็อีกนั่นแหละว่าเฉินเฉิงเคยช่วยหนูไว้หลายครั้ง เขานั่งข้าง ๆ หนูช่วยให้เขาทบทวนบทเรียนได้ดีขึ้นจริง ๆ”

  “หนูบอกว่าเขาไม่ให้หนูเอาหนังสือกลับบ้าน แถมยังเอากุญแจไปทำให้หนูไปโรงเรียนแต่เช้าไม่ได้ แล้วยังเตรียมข้าวให้กินครบสามมื้ออีกใช่ไหม?” คุณยายถาม

  “ค่ะ เมื่อปีก่อนที่ทำงานสอนพิเศษให้เขายังทำตัวดี ๆ อยู่ ไม่ได้ทำตัวเหมือนปีนี้ที่ดื้อรั้นและชอบแกล้งคนเลย” เจียงลู่ซีตอบ

  “เสี่ยวซี เจ้าหนุ่มเฉินเฉิงคนนี้ เขาคงจะชอบหนูแล้วสินะ” คุณยายยิ้มพร้อมถาม

  “ไม่แน่ใจค่ะ เหมือนจะชอบนิดหน่อย แต่ว่าเขาเคยจีบผู้หญิงในห้องเราคนนั้นอยู่นานหลายปี” เจียงลู่ซีพูด

  “แล้วตอนนี้เขายังติดต่อกับผู้หญิงคนนั้นอยู่ไหม?” คุณยายถาม

  เจียงลู่ซีนิ่งคิดสักพักก่อนจะส่ายหน้า “เหมือนจะไม่ค่อยได้ติดต่อแล้วค่ะ”

  “ผลการเรียนของเขาเป็นยังไงบ้าง?” คุณยายถามต่อ

  “เมื่อก่อนเขาเรียนไม่ค่อยดี มีเพียงวิชาภาษาจีนที่พอใช้ได้ ตอนนี้ผลการเรียนภาษาจีนดีมากจนหนูยังสู้เขาไม่ได้ แถมหลังจากทบทวนมาตลอดครึ่งปีนี้ เขาก็เหลือเพียงชีววิทยากับฟิสิกส์ที่ยังไม่ทบทวนให้จบเท่านั้น ถ้าเขาทบทวนสองวิชานี้เสร็จ ถึงจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยระดับท็อปอย่างมหาวิทยาลัยหัวชิงหรือมหาวิทยาลัยปักกิ่งไม่ได้ แต่เขาก็ยังสอบติดมหาวิทยาลัยดี ๆ อื่น ๆ ได้แน่ค่ะ” เจียงลู่ซีพูด

  “แล้วคุณยายคะ เขาเก่งมากเลย เขาเขียนหนังสือได้ดีมาก เขียนหนังสือเล่มหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้ขายดีทั่วประเทศ เพื่อน ๆ ในห้องบอกว่าจนถึงตอนนี้เขาได้เงินเกือบสิบล้านจากหนังสือเล่มนั้นแล้วค่ะ” เจียงลู่ซีบอก

  “เก่งขนาดนั้นเชียวหรือ?” คุณยายของเจียงลู่ซียิ้ม

  “ใช่ค่ะ แต่คุณยายคะ หนูเองก็ต้องทำเงินได้มากขนาดนั้นเหมือนกันค่ะ” เจียงลู่ซีกล่าว

  “แต่สิ่งที่เขาทำไปในช่วงนี้มันเกินไปจริง ๆ อีกอย่างคือเขาคงอยากจะจีบหนูอยู่หน่อย ๆ หนูเลยไม่อยากให้เขานั่งข้าง ๆ แต่ถ้าเขาไม่ได้นั่งข้างหนู ตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกแค่สองเดือนก่อนจะถึงการสอบเข้ามหาวิทยาลัย เขาคงทบทวนสองวิชาที่เหลือไม่ทันแน่ หนูเลยยังลังเลอยู่” เจียงลู่ซีพูด

  มองไปที่ใบหน้าสวยอ่อนหวานของเจียงลู่ซี คุณยายของเธอยิ้มและพูดว่า “ถ้าเขาชอบหนูและอยากจีบหนู หนูจะตอบรับไหม?”

  “ไม่มีทางค่ะ!” เจียงลู่ซีรีบลุกขึ้นและส่ายหน้าพูดว่า “หนูไม่ได้ชอบเขาเลย หนูไม่คิดจะมีความรักกับใครด้วย”

  “งั้นก็ดีแล้ว” คุณยายพูดยิ้ม ๆ “ถ้าหนูไม่ได้ชอบเขา และมั่นใจว่าเขาจีบหนูไม่ติด งั้นไม่ว่าที่นั่งของเขาอยู่ที่ไหนมันก็ไม่กระทบกับหนูอยู่แล้ว และในเมื่อเฉินเฉิงเคยช่วยเหลือหนู หนูก็ควรจะรู้จักตอบแทนบุญคุณ ยังไงก็ตอนนี้เหลือแค่สองเดือนก่อนจะถึงการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเองไม่ใช่เหรอ?”

  “ค่ะ” เจียงลู่ซีพยักหน้า “หนูก็คิดแบบนั้นเหมือนกันค่ะ”

  เหลือเวลาอีกแค่สองเดือนแล้ว เมื่อการสอบเข้ามหาวิทยาลัยจบลง โอกาสที่จะเจอกันก็คงจะน้อยลง

  พอถึงช่วงปิดเทอม ก็ตั้งใจทำงานพิเศษสักสองงานแล้วเอาเงินไปคืนเฉินเฉิง

  บางทีต่อไปก็คงจะไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันอีกแล้ว

  เดิมทีอาจจะเป็นเพื่อนกันได้ แต่ความเป็นเพื่อนของพวกเขากลับผิดเพี้ยนไป

  เฉินเฉิงชอบเธอ ทำให้พวกเขาไม่สามารถเป็นเพื่อนกันได้อีก

  เมื่อไม่ใช่เพื่อน ก็คงจะกลายเป็นคนแปลกหน้ากันไป

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด