ตอนที่แล้วบทที่ 169 ยังสบายดีไหม?
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 171 เจียงลู่ซีกับกระดาษที่โดนกัด

บทที่ 170 ยากไหม?


บทที่ 170 ยากไหม?

ทุกคนหันไปมองคนที่เพิ่งพูดขึ้นมา

เมื่อได้ยินคำพูดโอหังนี้ หลายคนอยากรู้ว่าคนที่กล้าพูดแบบนี้เป็นใคร? ในโรงเรียนมัธยมปลายอันเฉิง มีคนไม่กี่คนเท่านั้นที่มีสิทธิ์พูดแบบนี้

เฉินเฉิง?กับโจวเหวินเจี๋ยก็เป็นหนึ่งในนั้น

หรือว่า…จะเป็น

แต่เมื่อพวกเขาหันไปมอง ก็พบว่าไม่ใช่

คน ๆ นี้มีหลายคนที่ไม่รู้จัก แต่ก็มีบางคนที่รู้จัก

เฉาเซิง ซึ่งเคยเป็นเพื่อนร่วมห้องกับเขาตอน ม.4 ถามขึ้นว่า “เฉินกัง นายเมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ?”

เฉินกังตอบ “เมื่อกี้ตอนเดินออกจากห้องมา ฉันได้ยินพวกนายพูดถึงข้อสอบภาษาไทยกัน พวกนายคิดว่าข้อที่สามยากเหรอ? ฉันว่าไม่ยากเท่าไหร่นะ ข้อสอบภาษาไทยครั้งนี้ยากจริง แต่ฉันคิดว่าส่วนที่ยากควรจะเป็นบทวิเคราะห์การอ่านสองบทกับบทความวรรณกรรมเสียมากกว่า”

“ถึงการอ่านและบทความจะยากจริง ๆ แต่ส่วนที่ยากที่สุดก็คือข้อสามใช่ไหม? นี่ก็เป็นผลสรุปจากการถกเถียงกันของพวกเราด้วย” มีคนหนึ่งพูดว่า “แม้แต่เฉินเทียนเซียง ประธานชมรมวรรณกรรมของโรงเรียน และรองประธานโจวเหวินเจี๋ยยังคิดเช่นนี้เลย”

เฉินเทียนเซียงพยักหน้าแล้วยิ้ม “แม้ว่าผมกับโจวเหวินเจี๋ยจะทำข้อสอบข้อนี้ได้ถูกต้อง แต่ข้อที่สามของข้อสอบภาษาไทยครั้งนี้เป็นข้อที่ยากที่สุดในทุกข้อ”

เขายิ้ม “นอกเหนือจากการอ่านเพื่อความเข้าใจ ก่อนหน้านี้ผมกับโจวเหวินเจี๋ยไม่ค่อยมีเรื่องที่จะต้องโต้เถียงกัน เพราะพวกเรามักจะตอบถูกด้วยกันเสมอ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่คำตอบของเราไม่เหมือนกัน”

ระหว่างที่เฉินเทียนเซียงพูดอยู่ ผู้คนรอบ ๆ ก็เริ่มสนทนากัน

“คนนี้เป็นใครเนี่ย?” มีคนถามขึ้นมา

“ในเมื่อเฉาเซิงเรียกชื่อเขา ก็น่าจะรู้จัก”

“เฉาเซิง เฉินกังนี่เป็นเพื่อนนายเหรอ? เก่งภาษาไทยมากหรือไง?” มีคนถามต่อ

เฉาเซิงอธิบายว่า “ตอนเราอยู่ ม.4 อยู่ห้องสิบสองด้วยกัน เขาเก่งคณิตศาสตร์นิดหน่อย ส่วนภาษาไทยเขาไม่ได้เก่งขนาดนั้น คะแนนภาษาไทยของเขาในตอนนั้นอยู่ในระดับกลาง ๆ เท่านั้นเอง ถ้าไม่อย่างนั้นตอนขึ้น ม.5 เขาคงไม่ได้ย้ายไปสายวิทย์ หัวข้อสุดท้ายที่คุยกันตอนเจอกันล่าสุด คะแนนภาษาไทยของเขาก็ประมาณ 110 คะแนนเท่านั้นเอง”

110 คะแนน?

ทุกคนได้ยินก็อึ้งไปเล็กน้อย

ใครได้คะแนน 110 คะแนนแล้วยังกล้าพูดจาโอหังแบบนี้อีก!

พวกเขาที่อยู่ด้วยกันนี้ล้วนเป็นนักเรียนสายศิลป์ และส่วนใหญ่ก็เป็นนักเรียนในระดับท็อปของชั้น

หลายคนก็เป็นสมาชิกของชมรมวรรณกรรมในโรงเรียน ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่เก่งด้านวิชาภาษาไทยมากที่สุดในโรงเรียนมัธยมปลายอันเฉิง ถึงแม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่ได้เก่งเทียบเท่ากับเฉินเทียนเซียงและโจวเหวินเจี๋ย แต่คะแนนภาษาไทยของพวกเขาก็อยู่ในระดับท็อปห้าสิบของโรงเรียน และคะแนนเฉลี่ยของทุกคนก็อยู่ที่ 130 คะแนนขึ้นไป

110 คะแนน?

ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในโรงเรียนมัธยมปลายอันเฉิง ไม่เคยมีใครได้คะแนนต่ำขนาดนี้เลย

“แล้วตอนนี้เขาอยู่ห้องไหน?” มีคนถามต่อ

“สายวิทย์ ห้องสาม อยู่ห้องเดียวกับเฉินเฉิง” เฉาเซิงตอบ

“ก็น่าตลกนะ นักเรียนสายวิทย์ที่ได้คะแนนภาษาไทยไม่ถึง 120 คะแนน พวกเราที่เก่งขนาดนี้ยังคิดว่ายาก แต่เขากลับคิดว่าไม่ยาก” มีคนหนึ่งหัวเราะเยาะขึ้นมา

เสียงหัวเราะของเขาดังมาก จนคนรอบข้างได้ยินกันหมด

เฉินกังได้ยิน แต่เขาก็ยังพูดด้วยสีหน้าใสซื่อว่า “ไม่ใช่หรอก ฉันแค่รู้สึกว่าข้อสอบภาษาไทยครั้งนี้ ข้อสามไม่ยากนะ ฉันทำได้หมดเลย”

พูดจบ เฉินกังกลัวว่าคนอื่นจะไม่เชื่อ จึงเรียกนักเรียนที่เพิ่งเดินออกจากห้องข้าง ๆ มาถามว่า “เพื่อน นายคิดว่าข้อสอบภาษาไทย ข้อที่สามยากไหม?”

“ยาก ยากมาก” เขาตอบ “บอกตามตรง ข้อสอบคณิตศาสตร์สายศิลป์ง่ายมาก แต่ข้อสอบภาษาไทยสายวิทย์กลับออกยากเหมือนสายศิลป์เลย ซึ่งไม่ยุติธรรมเลยนะ กลอนหลายบทที่อยู่ในข้อสาม ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ฉันก็เรียนอ่อนในบางวิชา ภาษาไทยรอบนี้คงแย่แน่ ๆ ข้อนั้นทำได้ถูกสักสองข้อก็ดีใจแล้ว”

เฉินกังถึงกับอึ้งไปเมื่อได้ยินคำตอบ

“ถึงเจียงลู่ซีจะยืนอยู่ตรงนี้ และเธอเองก็เป็นนักเรียนสายวิทย์ห้องสามเหมือนกัน แต่ถ้าหวังจะทำตัวเด่นให้เธอสนใจล่ะก็ พวกเราที่เป็นผู้ชายเข้าใจดีนะ เพราะใครบ้างล่ะที่จะไม่อยากให้เจียงลู่ซีสนใจ? แต่ถ้าจะดึงดูดความสนใจด้วยวิธีนี้ และตัวเองก็ยังไม่เก่งพอ แบบนี้น่าอับอายไปหน่อย” มีคนพูดเยาะเย้ย

“ใช่แล้ว เฉาเซิงบอกว่า คะแนนภาษาไทยของนายตอนสอบปลายภาคครั้งที่แล้วได้แค่ 110 คะแนนเอง ซึ่งข้อสอบนั้นก็ง่ายมาก ฉันยังไม่เข้าใจเลยว่านายทำคะแนนแค่นี้ได้ยังไง ถ้าพวกเราคะแนนภาษาไทยได้แค่ 110 คะแนน ในข้อสอบปลายภาคภาษาไทย เราคงลาออกจากโรงเรียนไปแล้ว” อีกคนเสริมเย้ยหยัน

“พอเถอะ นักเรียนสายวิทย์ได้คะแนนภาษาไทยแค่ 110 ก็ถือว่าปกติแล้วล่ะ ถ้าให้พวกเขาแข่งเรื่องคณิตศาสตร์ พวกนายแข่งได้หรือเปล่า?” เฉินเทียนเซียงยิ้มพูดขึ้น

“ก็ไม่แน่” มีนักเรียนที่เก่งทั้งสายวิทย์และศิลป์หัวเราะตอบ

เฉินกังที่ได้ฟังก็หน้าแดงก่ำ

เมื่อเขาหันไปเห็นว่าเจียงลู่ซียืนอยู่ไม่ไกล หน้าของเขาก็ยิ่งแดงขึ้นอีก

เขายืนอยู่ตรงนั้น และไม่รู้จะทำยังไงดี

ที่สำคัญคือเขาไม่ได้โกหก ข้อสามในข้อสอบภาษาไทยนั้น เขาคิดว่ามันง่ายจริง ๆ เขาทำได้ทั้งหมด ถ้าจะพูดว่ายาก ข้ออื่นในข้อสอบยากกว่านี้อีก

เฉินกังที่ไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน แทบจะร้องไห้ออกมา

จริง ๆ แล้ว หากเขาไม่ใช่นักเรียนห้องสาม กลุ่มนักเรียนสายศิลป์เหล่านี้คงไม่รวมตัวกันมาเยาะเย้ยเขาแบบนี้

แต่เพราะเขาเป็นนักเรียนห้องสาม และเฉินเฉิงก็เป็นนักเรียนห้องสามเหมือนกัน

ในอดีต พวกนักเรียนสายศิลป์ที่เป็นเหมือนลูกศิษย์ยอดเยี่ยม ไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรที่จะถูกเจียงลู่ซี ซึ่งเป็นนักเรียนสายวิทย์ กดหัวไว้ เพราะเจียงลู่ซีได้ที่หนึ่งทุกวิชา ตั้งแต่ยังไม่ได้แบ่งสายตอน ม.4 พวกเขาก็ชินแล้ว อีกอย่าง เจียงลู่ซีก็สวยมาก ถูกผู้หญิงที่งดงามและเปล่งประกายแบบเธอกดหัวก็ถือเป็นเรื่องปกติ แต่พอเฉินเฉิงโผล่ขึ้นมาและกดพวกเขาไว้อีกคน มันก็ไม่เหมือนเดิม

พอ

เป็นผู้ชายก็จะมีความรู้สึกแข่งแกร่งกันเป็นธรรมชาติ

อีกอย่าง เฉินเฉิงเป็นนักเรียนสายวิทย์

พวกเขาที่เป็นนักเรียนสายศิลป์หลายคนกลับถูกนักเรียนสายวิทย์คนเดียวกดไว้ใต้เท้า

ที่สำคัญคือ เฉินเฉิงแข็งแกร่งเกินไป พวกเขาแทบไม่มีความสามารถแม้แต่จะมองตามหลังเขาได้

กลุ่มนักเรียนที่ติดอันดับสายศิลป์ของโรงเรียนมัธยมปลายอันเฉิงนี้ แต่ละคนล้วนเป็นลูกศิษย์อันดับต้น ๆ ของแต่ละโรงเรียน พอถูกเฉินเฉิงกดไว้แบบนี้ก็ย่อมรู้สึกไม่สบายใจ และตั้งแต่ไหนแต่ไรมานักเรียนสายวิทย์กับสายศิลป์ก็ไม่ค่อยลงรอยกันอยู่แล้ว มิเช่นนั้นโรงเรียนคงไม่แยกพวกเขาออกเป็นอาคารคนละตึก และเว้นระยะห่างกันไว้ เพราะเคยมีเรื่องทะเลาะวิวาทระหว่างนักเรียนสองสายมาก่อน

ดังนั้น ความไม่พอใจนี้ พอเฉินกังเดินเข้ามา กลุ่มนักเรียนสายศิลป์จึงถือโอกาสระบายใส่เขา

เมื่อเห็นกลุ่มคนที่กำลังเยาะเย้ยและกดดันเขาอยู่ตรงหน้า

เฉินกังที่ไม่รู้จะทำยังไงก็ได้แต่ก้มหน้าพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา

“เป็นลูกผู้ชาย จะร้องไห้ทำไม?”

ในขณะนั้น มีคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องข้าง ๆ เจียงลู่ซี

“นายชื่ออะไร?” เฉินเฉิงที่เดินออกจากห้องถามด้วยคิ้วขมวด

“เฉิง… เฉิงเกอ ผมชื่อเฉินกังครับ” เฉินกังตอบเมื่อเห็นเฉินเฉิง

“เช็ดน้ำตาซะ ไม่ต้องร้องไห้” เฉินเฉิงพูดกับเขา

“ครับ” เมื่อเห็นเฉินเฉิง เฉินกังก็รู้สึกมีความมั่นใจมากขึ้น เขาใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาจนหมดและไม่ร้องไห้อีกต่อไป

“ครูประจำชั้นเคยบอกพวกเราไว้ว่า ‘มีเหตุผลเดินไปไหนก็ได้ทั่วโลก ไม่มีเหตุผลแม้แต่ก้าวเดียวก็เดินไม่ได้’ ถึงแม้ว่าที่ครูพูดจะหมายถึง ‘เหตุผล’ แต่ถ้านายพูดถูกแล้ว นายก็ไม่ได้ทำอะไรผิด นายแค่พูดความจริงออกมา จะกลัวอะไร? ทำไมต้องร้องไห้? หรือว่าถ้าพวกเขาคนเยอะก็จะสามารถรุมแกล้งนายในโรงเรียนได้งั้นเหรอ?”

“ในยุคก่อนฉิน มีการถกเถียงกันอย่างเสรี แม้จะผิดก็ยังสามารถแสดงความคิดเห็นของตัวเองได้ ความคิดเห็นที่หลากหลายเช่นนี้เองที่ทำให้วัฒนธรรมงดงาม ขนาดพูดผิดยังพูดได้เลย แล้วนี่นายก็ไม่ได้พูดผิด” เฉินเฉิงพูดต่อ “เงยหน้าขึ้น แล้วบอกคำตอบของข้อที่สามที่นายเขียนให้พวกเขาฟังสิ”

“ครับ” เฉินกังพยักหน้าแล้วตอบว่า “ข้อแรกผมเขียนว่าฤดูใบไม้ผลิครับ”

ข้อนี้ง่ายมาก กลุ่มนักเรียนสายศิลป์ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ เพราะข้อแรกนี้ ต่อให้เป็นเด็กประถมหรือมัธยมต้นก็ยังทำได้ถูกต้อง ขอเพียงแค่คิดตามหลัก

“ข้อที่สอง ‘ลมตะวันออกพัดดี ฤดูใบไม้ผลิเหมาะสม’ ข้อความข้างหลังผมจำไม่ได้ เพราะเคยอ่านกลอนนี้แค่ครั้งเดียว จึงเขียนไปเลยว่า ฤดูใบไม้ผลิครับ” เฉินกังตอบ

ทุกคนได้ฟังก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่านักเรียนที่ได้คะแนนภาษาไทยแค่ 110 อย่างเฉินกังจะตอบข้อนี้ได้ถูกต้อง แต่ก็ไม่ได้แปลกใจมากนัก เพราะแม้ว่าจะยากขึ้นอีกหน่อย แต่คนที่เก่งภาษาไทยก็ยังตอบได้

“ข้อสาม ‘แสงจากหิ่งห้อยไม่ใช่ไฟ’ ผมเขียนว่าฤดูร้อน เพราะบทกลอนนี้เฉิงเกอเคยเขียนในเรียงความ และครูประจำชั้นก็เคยสอนพวกเรามาก่อน” เฉินกังตอบ

ถ้าเป็นเมื่อหลายเดือนก่อน ข้อนี้คงจะยากอยู่บ้าง

แต่เพราะในเรียงความก่อนหน้าของเฉินเฉิงมีบทกลอนนี้ ครูประจำชั้นของทุกห้องจึงอธิบายให้พวกเขาฟัง ข้อนี้จึงไม่ถือว่ายาก เฉินกังทำได้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ

“ข้อสี่ ‘ลมพัดห่านอพยพพันลี้’ ผมเขียนว่าฤดูใบไม้ร่วง” เฉินกังตอบ

ข้อนี้ก็ไม่ยากนัก เพราะเป็นกลอนที่มีอยู่ในตำราเรียน และครูทุกคนก็เคยสอน

“ข้อห้า ‘เช้านี้ลองดูที่กิ่งไม้บน หยดน้ำเย็นที่ไม่ละลาย’ ผมเขียนว่าฤดูหนาวครับ” เฉินกังพูด

ทันทีที่เฉินกังพูดจบ ก็มีนักเรียนจากสายศิลป์ห้องสองรีบถามขึ้นว่า “ไหนบอกว่าข้อสอบข้อที่สามง่ายไง? แล้วทำไมถึงตอบผิดแล้ว?”

“ข้อนี้ไม่ผิด” บางทีอาจเป็นเพราะมีเฉินเฉิงอยู่ข้าง ๆ ทำให้เฉินกังตอบไปอย่างมั่นใจ

“ไม่ผิดเหรอ?” นักเรียนสายศิลป์ห้องสามคนหนึ่งพูดว่า “เฉินเทียนเซียงตอบข้อห้านี้ว่าฤดูใบไม้ผลิ ส่วนโจวเหวินเจี๋ยตอบว่าฤดูใบไม้ร่วง คำตอบที่ถูกต้องต้องเป็นหนึ่งในสองอย่างนี้ นายเขียนว่าฤดูหนาวได้ยังไง?”

เฉินเทียนเซียงหัวเราะแล้วพูดว่า “ผมคิดว่าน่าจะเป็นฤดูใบไม้ผลิ ขนาดนี้ยังมีคำว่า ‘กิ่งไม้เขียว’ ที่บอกใบ้อยู่แล้ว ทำไมจะเขียนว่าฤดูหนาวได้?”

นักเรียนบางคนที่มาร่วมฟังได้ยินก็เข้าใจขึ้นมาในทันที

ข้อนี้ต้องตอบว่าฤดูใบไม้ผลิแน่ ๆ ใช่ไหม? ก็ใช่สิ มีคำว่า ‘กิ่งไม้เขียว’ อยู่นี่นา

นักเรียนที่ทำผิดเริ่มรู้สึกเสียดายและหงุดหงิดขึ้นมา

โจวเหวินเจี๋ยหัวเราะแล้วพูดว่า “ถึงแม้คำพูดของเฉินเทียนเซียงจะมีเหตุผล แต่ผมก็ยังคิดว่าข้อนี้ควรเป็นฤดูใบไม้ร่วง เพราะผมคิดว่า ‘หยดน้ำเย็น’ น่าจะหมายถึงหยาดน้ำค้าง ในบทกวี ‘หยาดน้ำแข็งบนหญ้าสีซีดจาง แสงจันทร์ส่องผ่านบานหน้าต่าง’ โดยหลู่โยว ก็อธิบายได้ว่าในยามค่ำคืนหยาดน้ำค้างแข็งตัวบนกิ่งไม้ และยามเช้าก็ยังคงอยู่ นี่คือความหมายของการไม่ละลาย”

ทุกคนได้ฟังก็พยักหน้าเห็นด้วย เพราะคิดว่าโจวเหวินเจี๋ยตอบถูก

“เรื่องว่าจะเป็นฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูใบไม้ร่วง ไว้เราค่อยไปถกเถียงกันต่อ ตอนสอบช่วงเช้าเสร็จแล้วค่อยกลับไปดูหนังสือก็รู้ว่าเป็นฤดูไหน แต่ไม่ว่ายังไงก็คงไม่ใช่ฤดูหนาวแน่ ๆ” เฉินเทียนเซียงหัวเราะ

“แน่นอนว่าไม่น่าจะเป็นฤดูหนาว” โจวเหวินเจี๋ยพยักหน้า

ทุกคนได้ยินก็ก้มศีรษะเห็นด้วย

ในกลอนนี้ไม่มีคำใบ้ถึงฤดูหนาวเลย

หลังจากที่เฉินเทียนเซียงพูดจบ เขาก็หันไปมองเฉินเฉิง พร้อมพูดว่า “จริง ๆ แล้วที่นี่ไม่ได้มีแค่ผมกับโจวเหวินเจี๋ย และเจียงลู่ซีเท่านั้นที่เก่งภาษาไทย เฉินเฉิงเองก็อยู่ตรงนี้ด้วย เขาเป็นนักเรียนที่เก่งภาษาไทยที่สุดในโรงเรียน คำตอบของเขาน่าจะเป็นมาตรฐาน ถ้าอยากรู้ว่าข้อนี้ควรจะตอบฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูใบไม้ร่วง เราก็แค่ถามเฉินเฉิงก็พอแล้ว”

ใช่จริง ๆ ด้วย!

เฉินเฉิงเก่งภาษาไทยที่สุดในกลุ่มนี้

ในเรียงความของเขามีคำศัพท์และกลอนที่ยากและไม่ค่อยพบเจอมากมาย

ด้วยความรู้และความช่ำชองของเฉินเฉิง เขาน่าจะตอบข้อนี้ได้

เฉินเฉิงยิ้มพร้อมพูดว่า “ผมคิดว่าเฉินกังไม่ได้ตอบผิด ข้อนี้ต้องตอบว่าฤดูหนาว”

บึ้ม!

คำพูดนี้ของเฉินเฉิงดังราวกับเสียงฟ้าร้องในหูของทุกคน

พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่าเฉินเฉิงเองก็เขียนคำตอบว่าฤดูหนาว

เฉินเฉิงยิ้มและอธิบายว่า “สมัยราชวงศ์หมิง สวี่เหว่ยเคยเขียนกลอนเกี่ยวกับดอกแพร์ไว้หลายบท ซึ่งบทหนึ่งก็มีประโยคที่ว่า ‘เช้านี้ลองดูที่กิ่งไม้บน หยดน้ำเย็นที่ไม่ละลาย’ ในกลอนนี้ ‘หยดน้ำเย็น’ หมายถึงเกล็ดหิมะ ดังนั้นพวกนายคิดว่าเกล็ดหิมะเป็นของฤดูไหน?”

“หรือว่านายจะคิดเหมือนคนที่ผมรู้จักคนหนึ่ง ที่คิดว่าเกล็ดหิมะตกในเดือนสิงหาคม แล้วจึงบอกว่าเป็นฤดูใบไม้ร่วง?” เฉินเฉิงพูดยิ้ม ๆ

เจียงลู่ซีที่ยืนเงียบมาตลอด ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งสายตาขุ่นเคืองมาทางเฉินเฉิงทันที

“แน่นอน ผมไม่ได้พูดจากตำแหน่งที่มีอำนาจอะไร พวกนายจึงสามารถตั้งคำถามได้ แต่ที่นี่น่าจะมีนักเรียนบางคนที่แอบพกโทรศัพท์มือถือมาใช่ไหม? ผมรู้ว่าพวกนายไม่ได้เอามาโกง เพราะผมเองก็พกมาเหมือนกัน อีกอย่างมีครูคุมสอบอยู่ พวกนายจะโกงไม่ได้อยู่ดี ซึ่งโทรศัพท์ของบางคนก็เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ ลองใช้ค้นหาประโยคนี้ดูสิ แล้วจะรู้ว่ามันหมายถึงฤดูไหน” เฉินเฉิงพูดอย่างยิ้มแย้ม

“โทรศัพท์ของผมใช้ได้” นักเรียนคนหนึ่งหยิบโทรศัพท์ที่พ่อแม่เพิ่งซื้อให้เขาช่วงตรุษจีนออกมา เขาค้นหาข้อมูลแล้วพูดว่า “ค้นหาได้ แต่สัญญาณช้าหน่อย คงต้องรอสักครู่”

“ไม่เป็นไร” เฉินเฉิงมองนาฬิกาบนข้อมือแล้วพูดว่า “เวลาพักระหว่างสอบเช้าเหลืออีกยี่สิบนาที ตอนนี้เพิ่งผ่านไปแค่สิบเอง พอให้นายค้นได้ทันอยู่แล้ว”

“ครับ” นักเรียนคนนั้นพยักหน้า เมื่อลองค้นหาแล้วก็พูดว่า “เฉินเฉิงพูดถูกจริง ๆ ครับ ‘หยดน้ำเย็น’ หมายถึงเกล็ดหิมะจริง ๆ กลอนนี้เขียนถึงฤดูหนาว”

ในขณะนั้นเอง นักเรียนอีกคนจากสายศิลป์ห้องหนึ่งก็เอาโทรศัพท์ให้เฉินเทียนเซียงดูและพูดว่า “ประ…ประธานครับ กล…กลอนนี้เขียนถึงฤดูหนาวจริง ๆ”

เฉินกังเองก็พูดขึ้นว่า “ครั้งก่อนที่คุณครูหวังเยียนสอนในชั้นเรียน และให้พวกเราพูดถึงคำเรียกของเกล็ดหิมะ ตอนนั้นหัวหน้าห้องของพวกเราคือเจียงลู่ซีก็พูดว่าหยดน้ำเย็นหมายถึงเกล็ดหิมะ คุณครูหวังเยียนบอกว่ากลอนนี้ค่อนข้างหายาก ซึ่งเธอรู้จักเพราะต้องหาข้อมูลมาใช้ในบทเรียน”

เฉินเฉิงพูดว่า “เฉินกัง นายบอกคำตอบของข้อสุดท้ายให้ทุกคนฟังด้วย”

เฉินกังพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้อสุดท้ายผมตอบว่าฤดูร้อนครับ”

ทุกคนถึงกับอึ้งไปอีกครั้ง

ตอนแรกนักเรียนกลุ่มนี้ยังมีความหวังเล็ก ๆ ว่าเฉินกังอาจจะตอบถูกเพราะได้ฟังจากบทเรียนของครูประจำชั้นมาก่อน แต่เมื่อเฉินกังบอกคำตอบของข้อสุดท้ายแล้ว พวกเขาก็ยิ่งตกตะลึงไปใหญ่ เพราะคำตอบของเฉินกังตรงกับของเฉินเทียนเซียงและโจวเหวินเจี๋ยเป๊ะ ๆ

แต่เฉินเทียนเซียงกับโจวเหวินเจี๋ยคือใคร?

พวกเขาคือนักเรียนที่ติดอันดับท็อปห้าในวิชาภาษาไทย

แล้วเฉินกังคือใคร?

เป็นนักเรียนที่สอบภาษาไทยได้แค่ 110 คะแนนในข้อสอบที่ง่ายที่สุด

แล้วเขาทำได้ยังไง?

เฉินเฉิงหันไปทางนักเรียนห้องสามสายวิทย์ที่เพิ่งเดินลงมาจากชั้นสามแล้วตะโกนเรียก “เฉนเซิง มานี่หน่อย”

“เฉินเกอ มีอะไรเหรอ?” เฉาเซิงถาม

“นายไม่รู้เรื่องอะไรที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ใช่ไหม?” เฉินเฉิงถาม

“ไม่รู้เลยครับ เกิดอะไรขึ้น?” เฉาเซิงถามกลับ

“นายบอกคำตอบของข้อที่สามในข้อสอบภาษาไทยรอบนี้หน่อย” เฉินเฉิงพูด

“อืม” เฉาเซิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้อแรก ฤดูใบไม้ผลิ ข้อสอง ฤดูใบไม้ผลิ ข้อสาม ฤดูร้อน ข้อสี่ ฤดูใบไม้ร่วง ข้อห้า ฤดูหนาว ข้อหก ฤดูร้อน”

เฉินเฉิงหันไปหานักเรียนหญิงอีกคนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องเรียนในสุดของทางเดินและพูดว่า “หวังหง เธอบอกคำตอบของข้อที่สามในข้อสอบภาษาไทยรอบนี้หน่อย”

หวังหงตอบว่า “ฤดูใบไม้ผลิ ใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว ฤดูร้อนค่ะ”

เมื่อหวังหงพูดจบก็ถามว่า “ฉันตอบไม่ผิดใช่ไหม?”

“ไม่ผิด” เฉินเฉิงยิ้มพลางส่ายหน้า แล้วหันไปพูดกับเจียงลู่ซีว่า “หยุดยืนดูเฉย ๆ ได้แล้ว เจียงลู่ซี เธอบอกคำตอบให้ทุกคนฟังด้วย”

เจียงลู่ซีปรายตามองเขาเล็กน้อย ก่อนจะตอบว่า “เหมือนกับของเฉินกัง เฉาเซิงและหวังหงค่ะ”

เฉินเฉิงหันไปยิ้มพร้อมถามนักเรียนกลุ่มที่มีเฉินเทียนเซียงเป็นหัวหน้าว่า “งั้น ข้อสอบข้อที่สามนี้ยากไหม?”

พอเห็นพวกเขาทุกคนตกตะลึงและเงียบไป

เฉินเฉิงก็หันหลังกลับเข้าห้องเรียน

หากพวกเขาไม่รุมกดดันจนเฉินกังร้องไห้ออกมา

อีกทั้งเฉินกังก็เป็นนักเรียนห้องเดียวกับเขา

เฉินเฉิงก็คงไม่มาสนใจเรื่องแบบนี้

ซุนหลี่เดินมาหาเฉินกังแล้วพูดพลางยิ้มว่า “ร้องไห้ทำไม นายก็ไม่ได้ทำอะไรผิด แค่ยืนยันความเห็นตัวเองก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ?”

เขาพูดต่อว่า “รู้ไหมว่าทำไมพวกเราถึงคิดว่าข้อนี้ง่าย ขณะที่นักเรียนห้องอื่น แม้กระทั่งนักเรียนสายศิลป์คิดว่ายาก?”

ซุนหลี่ยิ้มและกวาดตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะพูดว่า “เพราะพวกเรามีเฉินเกออยู่ในห้อง แต่พวกเขาไม่มี”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด