บทที่ 17 : หยิบสาวโลลิกลับบ้าน!
บทที่ 17 : หยิบสาวโลลิกลับบ้าน!
ตึกๆๆ...
เซียวซิงหยูเดินมาถึงหน้าร้านหม่าล่าทั่ง ขณะที่กำลังจะก้าวเข้าไปในร้าน เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งตุ้บตั้บมาจากด้านหลังเสียก่อน
“หัวขโมย! อย่าหนีนะ!”
เซียวซิงหยูหันกลับไปโดยอัตโนมัติ, ทันใดนั้นร่างนุ่มนิ่มก็พุ่งเข้ามาชนเขาเต็มอก
“โอ๊ย!” เสียงร้องแผ่วเบาเล็ดลอดออกมาจากอ้อมแขนของเขา
“เป็นอะไรรึเปล่า?”
เมื่อเซียวซิงหยูมองดูให้ชัดเจน เขาก็เห็นว่าร่างนี้เป็นเด็กสาวตัวน้อย
เธอสวมชุดนักเรียนญี่ปุ่น ไว้ผมเปียสองข้าง เเละหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตา
เธอดูอายุประมาณ 15 ปี, หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูจนเขาอดใจไม่ไหวอยากจะหยิกแก้มสักสองที
“พี่ชายคะ น...หนูไม่เป็นไรค่ะ” เสียงของเด็กสาวฟังไม่ค่อยชัด เพราะในปากเธอยังคงคาบซาลาเปาหมูแดงอยู่
ทันใดนั้น ชายวัยกลางคนก็วิ่งตามมา พร้อมหอบหายใจ
จากการแต่งตัว ชายคนนี้คงเป็นเจ้าของร้านซาลาเปาอย่างแน่นอน
“หนูน้อย, ยังเด็กแค่นี้ กล้าดียังไงมาขโมยของ”
“พ่อแม่เธอไม่สั่งสอนรึไงว่า ซื้อของต้องจ่ายเงิน!”
“ขอโทษค่ะ คุณลุง” เด็กสาวกล่าวขอโทษเสียงสั่นเครือ
“คุณลุงครับ ผมจ่ายค่าซาลาเปาแทนเธอเอง” เซียวซิงหยูกล่าวพร้อมเปิดกระเป๋าเงินทันที
เจ้าของร้านมองเซียวซิงหยู คิดว่าเขาเป็นพี่ชายของเด็กสาว จึงอดไม่ได้ที่จะบ่น
“พ่อหนุ่ม ดูแลน้องสาวให้ดีๆด้วยนะ”
“ยังเล็กแค่นี้ก็ขโมยซาลาเปาแล้ว โตขึ้นคงขโมยเงินในคลัง แก่ตัวไปก็คงขโมยระเบิดนิวเคลียร์เเน่!”
“โธ่ ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ” เซียวซิงหยูยิ้มแห้งๆแล้วอธิบาย
“แล้วเธอก็ไม่ใช่น้องสาวผมด้วย...”
เจ้าของร้านไม่สนใจฟังต่อ เขารับเงินจากเซียวซิงหยู แล้วเดินจากไป
ณ เวลานี้ เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองเซียวซิงหยูด้วยแววตาใสซื่อ
ทันใดนั้น เธอก็พึมพำด้วยความไร้เดียงสา
“เมื่อก่อนหนูมีแต่พี่สาวคนเดียว ตอนนี้หนูมีพี่ชายแล้ว”
“เย้…หนูมีพี่ชายแล้ว!”
เซียวซิงหยูเพิ่งจะได้สำรวจเด็กสาวตรงหน้าอย่างจริงจัง
เธอมีส่วนสูงประมาณ 162 เซนติเมตร ผมเปียสองข้าง หน้าตาน่ารักสดใส ชุดนักเรียนญี่ปุ่นกับถุงน่องขาวยาว...
บอกได้เลยว่านี่คือแฟนสาวในฝันของหนุ่มๆโอตาคุหรือโลลิทั้งหลาย
แต่เซียวซิงหยูกลับไม่รู้สึกตื่นเต้นมากนัก
เเละนั่นเพราะเขาชอบสาวสวยที่มีอายุมากกว่า หรือสาวสวยที่มีทรวดทรงอันยิ่งใหญ่
“หนูน้อย ต่อไปออกจากบ้านอย่าลืมพกเงินติดตัวด้วยล่ะ” เซียวซิงหยูเอ่ยเตือน
กรู้วววว...
เเต่เเล้วเสียงท้องร้องของเด็กสาวก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ยังไม่อิ่มเหรอ?”
เด็กสาวพยักหน้า
เซียวซิงหยูครุ่นคิดสักพักเเล้วเอ่ยว่า “ชอบกินหม่าล่าทั่งมั้ย?”
เด็กสาวยังคงทำหน้าตาใสซื่อ ดวงตาเป็นประกายด้วยความสงสัย
“หม่าล่าทั่งคืออะไรเหรอคะ?”
“คอนเฟิร์ม นี่คือคุณหนูตระกูลร่ำรวยที่หนีออกจากบ้าน” เซียวซิงหยูสรุปในใจ
ในยุคนี้ มีแต่คุณหนูตระกูลใหญ่เท่านั้นแหละ ที่จะไม่รู้จักหม่าล่าทั่ง…เพราะพวกเธอกินแต่อาหารหรูหรา
……
ห้านาทีต่อมา
“ของสองท่านได้แล้วครับ หม่าล่าทั่งเผ็ดน้อยหนึ่งที่ เผ็ดปานกลางหนึ่งที่ เชิญรับประทานได้เลยครับ”
เด็กสาวยกตะเกียบขึ้นมากินอย่างเอร็ดอร่อย พร้อมน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม
“โอ้โห! อร่อยมากๆเลยค่ะ!”
“พี่ชายคะ นี่เป็นอาหารที่อร่อยที่สุดที่หนูเคยกินเลย!”
“ขอบคุณนะคะ!”
เซียวซิงหยูยิ้มแล้วส่ายหัว
“หม่าล่าทั่งชามละไม่กี่บาท ทำไมต้องอร่อยจนร้องไห้ด้วยเนี่ย”
จากนั้นไม่นาน
หลังจากกินอิ่ม เด็กสาวก็ยังดูเหมือนไม่อยากจะกลับ
“พี่ชายคะ พี่ชื่ออะไรเหรอคะ?”
“บอกชื่อของเรามาก่อนสิ”
“หนูชื่อเย่ซือเหมิงค่ะ”
“เป็นชื่อที่น่ารักจริงๆ”
‘น่ารัก’ คือคุณสมบัติพิเศษของโลลิ
ทันใดนั้น, เย่ซือเหมิงก็มองไปที่ชุดคลุมของเซียวซิงหยู
“ลายมังกร...พี่ชายเรียนอยู่ที่วิทยาลัยชิงหลงเหรอคะ?”
เซียวซิงหยูพยักหน้า
“บังเอิญจัง พี่สาวหนูก็เรียนอยู่วิทยาลัยชิงหลงเหมือนกัน!”
“พี่ชายอยู่ปีไหนคะ?”
“ปีหนึ่ง”
“งั้นพี่สาวหนูก็เป็นรุ่นพี่ของพี่สินะคะ พี่ต้องเคยได้ยินชื่อเธอแน่ๆ!”
เซียวซิงหยูดูดน้ำจากหลอด ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจในสิ่งที่เย่ซือเหมิงพูดเท่าไหร่
“พี่สาวหนูชื่อเย่ซวงหนิงค่ะ”
“อะไรนะ!”
เซียวซิงหยูรีบหันมามองเด็กสาวตรงหน้าชัดๆอีกครั้ง
เขาเคยเห็นโปสเตอร์ของเย่ซวงหนิงมาก่อน
พอเทียบกันดูแล้ว เย่ซือเหมิงเหมือนเย่ซวงหนิงเวอร์ชั่นมินิเลย
เย่ซวงหนิงอายุ 19 ปี เย่ซือเหมิงอายุ 15 ปี, ทั้งสองคนหน้าตาคล้ายกันมาก แต่คนหนึ่งเป็นสาวสวยสุดเย็นชา ส่วนอีกคนเป็นโลลิเเสนน่ารัก
จากนั้น เย่ซือเหมิงก็เล่าเรื่องราวของตัวเองให้เซียวซิงหยูฟัง
เซียวซิงหยูจึงได้รู้ว่า ตอนนี้เย่ซือเหมิงแอบหนีออกมาจากตระกูลเย่
ที่จริงแล้ว เย่ซือเหมิงกับเย่ซวงหนิงมีพรสวรรค์สูงส่งเหมือนกัน
เย่ซือเหมิงอายุแค่ 15 ปี แต่ก็ได้เข้าร่วมการสอบระดับประเทศมาแล้ว, เเถมพลังวิญญาณเริ่มต้นของเธอยังสูงถึง 1008 เเต้ม
รู้มั้ยว่าในการสอบระดับประเทศแต่ละครั้ง คนที่มีพลังวิญญาณเริ่มต้นเกินหนึ่งพัน…มีไม่ถึงร้อยคนเลยนะ
ยิ่งไปกว่านั้น สัตว์อสูรตัวแรกที่เย่ซือเหมิงทำสัญญาด้วย ก็คือแมวตาปีศาจกระดูกใบมีด ซึ่งมีสายเลือดระดับตำนาน
ในทางทฤษฎีแล้ว เย่ซือเหมิงสามารถเข้าวิทยาลัยทั้งสี่ได้โดยไม่ต้องทำการทดสอบเลยล่ะ
“ทำไมเราถึงหนีออกมาคนเดียวล่ะ?”
“ที่บ้านไม่ยอมให้เธอเข้าวิทยาลัยปรมาจารย์อสูรงั้นเหรอ?”
คำถามสองข้อนี้ ทำให้เย่ซือเหมิงนึกถึงเรื่องเศร้า
เย่ซือเหมิงเอามือกุมเเก้ม เสียงของเธอเต็มไปด้วยความน้อยใจและขมขื่น
“พี่ชายคะ ตอนหนูอายุ 6 ขวบ หนูเกือบจะโดนอสูรระดับราชากิน”
“ตั้งแต่นั้นมา หนูก็มีปมในใจ ทุกครั้งที่เห็นอสูร หนูจะเป็นลมหมดสติทุกที”
พูดถึงตรงนี้ ใบหน้าของเย่ซือเหมิงก็แดงก่ำเพราะความเขินอายอย่างเห็นได้ชัด
“พี่จะหัวเราะเยาะหนูมั้ยคะ?”
“พี่ไม่หัวเราะเยาะเราหรอก มันก็แค่ปฏิกิริยาทางร่างกาย” เซียวซิงหยูส่ายหน้าขณะตอบ
“แต่พี่ก็เข้าใจที่บ้านของเรานะ เพราะอุปสรรคทางจิตใจแบบนี้ ต่อให้มีพรสวรรค์สูงแค่ไหน เราก็ไม่มีทางเป็นปรมาจารย์อสูรที่แท้จริงได้”
“นี่คงเป็นเหตุผลที่ที่บ้านของเราไม่ให้เราสอบเข้าวิทยาลัย”
เย่ซือเหมิงก้มหน้า ผมเปียสองข้างของเธอห้อยลงอย่างหมดอาลัย
เพราะอุปสรรคทางจิตใจนี้ เย่ซือเหมิงจึงถูกกักบริเวณอยู่ที่บ้าน รอวันแต่งงานไปกับคนรวยที่มีหน้ามีตา
“แต่หนูก็อยากเป็นปรมาจารย์อสูรเหมือนพี่สาวนี่คะ!”
“เเค่เห็นอสูรก็เป็นลมแล้ว แถมร่างกายบอบบางแบบนี้ เอาไปให้สัตว์อสูรกินยังแทบจะไม่อิ่มเลย”
เย่ซือเหมิงโดนโจมตีซ้ำเติมอีกครั้ง, เธอจึงกัดริมฝีปากกลั้นน้ำตา
“พี่ชายคะ พี่พอจะมีวิธีช่วยรักษาโรคปมในใจของหนูมั้ยคะ?”
“หึ พี่ไม่ใช่หมอนะ”
ถึงปากจะพูดแบบนั้น แต่เซียวซิงหยูก็แอบใช้ดวงตาเทพอสูรทันที
ดวงตาเทพอสูรไม่เพียงแต่มองเห็นข้อมูลของสัตว์อสูรได้เท่านั้น, แต่ยังมองเห็นข้อมูลทุกอย่างของมนุษย์ด้วย
[อาการ]: เห็นอสูรแล้วใจสั่น เป็นลมหมดสติ
[วิธีรักษาด้วยยา]: ตังกุย, เจียกเฉียว, เก๋ากี้, สมุนไพรสงบประสาท...
[วิธีรักษาทางจิตวิทยา]: กระตุ้นอย่างรุนแรง, ใช้พิษแก้พิษ
“เอาล่ะ หม่าล่าทั่งพี่เลี้ยงเอง”
“กอนเสร็จเเล้วก็กลับบ้านเถอะ ที่บ้านเราคงเป็นห่วงแย่แล้ว”
เซียวซิงหยูเร่งให้เย่ซือเหมิงกลับบ้าน
เย่ซือเหมิงเป็นคุณหนูตระกูลเย่ เซียวซิงหยูไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับตระกูลใหญ่แบบนี้
เเเละเขาก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรูกับตระกูลเย่
ดังนั้น, ก่อนที่เขาจะกลายเป็นปรมาจารย์อสูรระดับสูง เซียวซิงหยูต้องระวังตัวไว้ก่อน
“พี่ชายคะ ช่วยหนูด้วยเถอะค่ะ!”
“หนูมาที่นี่คนเดียว ไม่รู้จักใครเลย แถมยังไม่กล้าไปหาพี่สาวด้วย”
“เพราะถ้าพี่สาวรู้เข้า เธอต้องโทรบอกคุณพ่อ แล้วให้คนมาลากหนูกลับบ้านแน่ๆ!”
“เย่ซือเหมิง เราไม่สนิทกันนะ ไปขอให้คนอื่นช่วยเถอะ” เซียวซิงหยูปฎิเสธเพราะไม่อยากยุ่งเรื่องชาวบ้าน
“พี่ชายคะ หนูจะยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้พี่เลย ขอแค่พี่ช่วยหนู!”
ทันใดนั้น, เย่ซือเหมิงก็ยื่นกระเป๋าสีชมพูให้เซียวซิงหยู
เมื่อเปิดกระเป๋าออก เขาก็ได้เห็นสมุนไพรล้ำค่ามากมาย
“ไข่มุกคางคกไฟ, เห็ดหลินจือหยก, น้ำยาสัตว์อสูรขั้นสูงสุด...”
เซียวซิงหยูเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
“ตระกูลใหญ่ก็คือตระกูลใหญ่ เด็กน้อยอย่างเธอยังพกสมุนไพรล้ำค่าขนาดนี้ติดตัวมาด้วย!”
ของพวกนี้ล้วนเป็นวัตถุดิบชั้นยอดที่ใช้ในการบ่มเพาะสัตว์อสูร
คนธรรมดาอย่างเซียวซิงหยู, ไม่มีทางได้สัมผัสของพวกนี้มาก่อน
โดยเฉพาะไข่มุกคางคกไฟ มันเป็นวัตถุดิบวิวัฒนาการที่หาซื้อไม่ได้ เพราะเป็นของที่ไว้ถวายราชวงศ์เท่านั้น
“เย่ซือเหมิง ของในกระเป๋าเธอ แค่วัตถุดิบชิ้นเดียวก็ซื้อหม่าล่าทั่งกินได้ทั้งชาติแล้ว ทำไมต้องขโมยซาลาเปาด้วยล่ะ!”
“พี่ชายคะ รับหนูไปด้วยได้มั้ยคะ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้, เซียวซิงหยูเอื้อมมือไปหยิกแก้มนุ่มๆ ของเย่ซือเหมิงอย่างเอ็นดู
“เหมิงเหมิง พี่ไม่ได้อยากได้สมบัติของเธอนะ พี่แค่ชอบน้องสาวน่ารักๆแบบเธอ”
“พี่ชายคะ หนูรู้ว่าพี่เป็นคนดี!”
“ไป พี่จะพาเธอกลับบ้าน”
ตอนนี้ อยู่ๆเซียวซิงหยูก็ได้โลลิมาเลี้ยงฟรีๆ (มันอยากได้วัตถุดิบ)
เเถมใบหน้าหล่อเหลาของเขายังปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เหมือนกับพ่อค้ามนุษย์ไม่มีผิด
……………..