บทที่ 124 เฉินเสี่ยวชา
[ใครที่จะอ่านตอนฟรีอย่างเดียว ก็สนับสนุนด้วยเถิดค้าบบบ ตอนยาวขนาดนี้]
บทที่ 124 เฉินเสี่ยวชา
หลังจากเฉินหยวนเดินเข้ามา เขาก็เริ่มกะเผลกขาซ้ายเหมือนกับเฉินเสี่ยวหรัน ซึ่งทำให้เฉินเสี่ยวหรันที่รู้สึกด้อยค่าและอ่อนไหวอยู่แล้ว รู้สึกเหมือนโดนรังแกอย่างหนัก
เหมือนโดนตบหน้ากลางสี่แยก?
“พี่เฉินหยวนจะไปล้อเลียนหนูได้ยังไงกันจ๊ะ หรันหรันคิดมากไปแล้วน้า” แม่พูดปลอบใจด้วยสีหน้าจริงจัง
ใช่ แม่คนนี้ยังพอมีเหตุผลอยู่บ้าง
“เขาแค่...” หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แม่ของหรันหรันก็พูดว่า “อยากให้กำลังใจหนูต่างหาก”
แต่ก็ไม่ได้เข้าใจอะไรมากนัก
“วันนี้ตอนเล่นบาส ข้อเท้าพี่แพลง”
ถ้าเขาไม่รีบอธิบาย เด็กขาเป๋คนนี้อาจจะสติแตก แล้วลงไปนอนดิ้นกับพื้น คว่ำหน้า แล้วก็ปล่อยเลยตามเลย ดังนั้นเฉินหยวนจึงถลกขากางเกงขึ้น เผยให้เห็นข้อเท้าที่บวมเป่ง
พอเห็นแบบนั้น ความน้อยใจบนใบหน้าของเฉินเสี่ยวหรันก็เปลี่ยนเป็นรู้สึกผิดในทันที และยังพูดด้วยความเป็นห่วงว่า “แบบนี้ เจ็บมากไหมคะ?”
เฉินเสี่ยวหรันไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่เท้ามานานแล้ว เพราะขาของเธอไม่มีความรู้สึกมาหลายปีแล้ว แต่เธอก็รู้ว่า ความเจ็บปวดจากการบิด มันจะรู้สึกต่อเนื่อง และยาวนาน
“ก็พอทนได้” เฉินหยวนดึงขากางเกงลง
“ขอโทษจริง ๆ นะ เธอน่าจะบอกฉันก่อนหน้านี้ ฉันจะได้ขับรถไปรับ”
วันนี้แม่ของหรันหรันได้ยินว่าเฉินหยวนจะมาติวหนังสือให้หรันหรัน ก็รีบเข้าแอปซื้อของออนไลน์ (ที่ยังไม่มีชื่อ แต่ใครสนใจมาลงโฆษณาได้นะ) ซื้อของดี ๆ มาทำกับข้าวมากมาย และทำอาหารมาจนถึงตอนนี้
ถึงแม้ว่าเธอจะนวดให้หรันหรันตามวิธีที่เฉินหยวนบอกมาตลอด แต่ระดับการฟื้นตัวของหรันหรัน แทบจะเรียกได้ว่าน้อยมาก
ดังนั้น ในเมื่อเธอต้องขอความช่วยเหลือจากเขา เธอก็อยากจะแสดงความจริงใจออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
บังเอิญ ปีหน้าหรันหรันก็จะขึ้นมัธยมต้นแล้ว
แม่ของหรันหรันบอกกับสามีว่า เธอหาติวเตอร์ที่เรียนเก่งจากโรงเรียนที่ 11 มาช่วยติวหนังสือให้ลูกสาวแล้ว เขาก็เห็นด้วย
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เดินไม่เยอะเท่าไหร่”
เฉินหยวนตอบพร้อมรอยยิ้ม แล้วเดินไปที่โต๊ะอาหารพร้อมกับเฉินเซียวหรัน
จากนั้นก็ยกตัวเธอที่นั่งอยู่บนรถเข็นช่วยเดินขึ้นสูงเหมือนกับถอนหัวไชเท้าแล้วย้ายไปวางบนเก้าอี้
“...ศักดิ์ศรี ศักดิ์ศรีที่หนูเสียไป หนูจะต้องทวงคืนมาให้ได้!”
เฉินเซียวหรันที่ถูกอุ้มขึ้นมาเหมือนเด็กน้อยกำหมัดแน่น พูดด้วยน้ำเสียงที่ดูคูล
“ศักดิ์ศรี? ขายกิโลละเท่าไหร่เหรอ?”
แต่เฉินหยวนที่อยู่ข้าง ๆ กลับพูดจาดูถูกเหยียดหยามเหมือนตัวร้ายในละคร
“ดูท่าไม้ตายสามง่ามพิฆาตของหนูซะ!”
เฉินเซียวหรันใช้ส้อมจิ้มอย่างรวดเร็ว ขโมยไส้กรอกปลาหมึกชิ้นเล็ก ๆ จากชามของเฉินหยวนเข้าปากเคี้ยวตุ้ย ๆ แล้วกลืนลงคอไป
“เหอะ เด็กน้อย”
เฉินหยวนทำท่าดูถูกอย่างเห็นได้ชัด คีบกับข้าวทานอย่างสุขุม ไม่สนใจการเล่นซนเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเฉินเซียวหรัน
ฉันโตแล้วนะ จะไม่ทำอะไรแบบนั้นแล้ว
(ทำไมฉันถึงเป็นเด็กน้อยล่ะ...)
คนรุ่นเฉินหยวนไม่ใช่ยังเล่นมุกตลกฝืด ๆ อย่าง ‘ลูกบอลเด้งดึ๋ง’ อยู่เหรอ? ฉันรู้สึกว่าฉันยังจงใจทำตัวเด็กเพื่อให้เข้ากับเขาเลยนะ
ทำไมเย็นชาจัง? พี่เป็นเฉินหยวนจริง ๆ เหรอ?
ในขณะที่เธอกำลังงุนงง ก็พบว่ากับข้าวในชามของเธอครึ่งหนึ่งกลายเป็นบรอกโคลีไปแล้ว
ปีกไก่ท่อนเดียวและตีนไก่ในไก่ตุ๋นครึ่งตัวที่อยู่ในชามของเธอก็หายไปอย่างกะทันหัน
เมื่อรู้สึกถึงบางอย่าง เธอจึงค่อย ๆ หันไปมอง แล้วก็พบว่ามันกำลังเดินทางเข้าปากเฉินหยวน!
“เฮ้ย! หนูไม่กินบรอกโคลี... เอาปีกไก่กับตีนไก่คืนมานะ หนูจะให้น่องไก่ น่องไก่ชิ้นใหญ่เลย” ถึงแม้เฉินเซียวหรันจะไม่ชอบกินเนื้อไก่ เพราะเนื้อมันแห้ง แต่เธอก็ชอบปีกไก่กับตีนไก่เป็นพิเศษ รู้สึกเหมือนได้กินขนมขบเคี้ยว ก่อให้เกิดความรู้สึกแปลกใหม่แบบไม่ตั้งใจกินข้าว
เฉินหยวนเห็นได้ชัดว่าเป็นพวกเดียวกันกับเธอ รีบขโมยไปทันที
“ตอนใช้ท่าไม้ตายไม่ต้องตะโกนบอกศัตรูก็ได้นะ” ในขณะที่กำลังลิ้มรสชาติแห่งชัยชนะ เฉินหยวนก็ยังไม่วายพูดจาดูถูกกลับมา
แน่นอนว่าท่าไม้ตายฝนบรอกโคลีของเขาก็ยังใช้ได้ดีอยู่
เพิ่มวิตามินให้กับเด็กน้อยที่ไม่ชอบกินผัก!
“ฮึ่ม หนูไม่เอาหรอก” เฉินเซียวหรันไม่ยอมให้เขาควบคุม ก้มหน้าค่อย ๆ แคะบรอกโคลีทีละชิ้นจากชามข้าวใส่จาน
“หรันหรัน กินผักบ้างสิลูก” เมื่อเห็นดังนั้น แม่ของหรันหรันจึงเตือน
“หนูไม่ได้บอกว่าไม่กิน แค่กินเยอะขนาดนี้ไม่ไหว...”
ถ้าบอกว่าไม่กินก็คือไม่กิน นี่คือวิถีนินจาของเฉินเซียวหรัน
“พี่นึกว่าเธอชอบกินถึงได้คีบให้” เฉินหยวนมองเฉินเซียวหรันพลางถอนหายใจ “รู้สึกว่าคนที่ไม่ชอบกินบรอกโคลีเป็นพวกไร้มารยาท เข้ากับคนแบบนี้ไม่ได้จริง ๆ”
“...หนูกิน กินแล้วค่ะ!”
แค่ไม่กินบรอกโคลี ทำไมถึง ‘เข้ากันไม่ได้’ เลยล่ะ?
เกินไปแล้ว!
เฉินเซียวหรัน ผู้ที่เกลียดผักชนิดนี้รองจากดอกกะหล่ำ ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากคีบบรอกโคลีขึ้นมาแล้วก็ยัดเข้าปากไป ด้วยความกลัวว่าจะได้ลิ้มรสชาติของเจ้าสิ่งนี้ เธอจึงไม่กล้าเคี้ยวมากนัก พอเคี้ยวละเอียดแล้วก็รีบกลืนลงคอไปทันที
จากนั้น เธอก็กินเข้าไปอีกหลายชิ้น
"จะแอบอ้วกออกมาหรือเปล่าน่ะ?" เฉินหยวนถาม
เฉินเซียวหรันซึ่งใบหน้าเริ่มซีดเซียวเล็กน้อยเพราะกินเจ้านี่เข้าไปเยอะเกินไป หันไปหาเฉินหยวน อ้าปากให้ดู พร้อมกับยืนยันว่า "กลืนลงท้องไปหมดแล้ว ไม่ได้อ้วกสักหน่อย"
"เสี่ยวหรัน ลิ้นเธอเป็นสีเขียวเหมือนบรอกโคลีเลย"
"หา? พี่พูดอะไรน่ะ เป็นไปไม่ได้หรอก..."
"ล้อเล่นน่า"
"น่ารำคาญจริง ๆ "
"ฮ่า ๆ พวกเธอสองคนกินข้าวกันดี ๆ สิ" แม่มองดูภาพความรักใคร่กลมเกลียวนี้ด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน
เห็นได้ชัดว่าเฉินเซียวหรันที่อยู่ข้างเฉินหยวนนั้น ดูสดใสร่าเริงราวกับแสงอาทิตย์ รอยยิ้มในสิบนาทีนี้ มากกว่ารอยยิ้มที่เธอมีในช่วงหลายวันที่ผ่านมารวมกันเสียอีก
ส่วนเฉินหยวนนั้น ก็เหมือนกับพี่ชายแท้ ๆ ของเธอ แถมยังเป็นพี่ชายสุดหล่อที่น้องสาวคนไหนก็ต้องชื่นชม คอยดูแลเธอด้วยความอ่อนโยนอยู่เสมอ
เดิมทีเธอก็เป็นกังวลว่า ในฐานะภรรยาสาว แถมยังมีลูกสาววัยรุ่น พาเด็กหนุ่มมัธยมปลายเข้ามาในบ้านแบบนี้ มันจะดูแปลก ๆ ไปหน่อยไหม ฟังดูแล้วมันก็... ไม่ค่อยจะเหมาะสมเท่าไหร่ แต่เห็นได้ชัดว่าเฉินหยวนมีจิตใจที่บริสุทธิ์ ไร้เดียงสา ไม่มีความคิด 'ชั่วร้าย' อะไรเลย
แบบนี้ ถึงแม้เธอจะไม่อยู่บ้าน ก็วางใจได้
"เสี่ยวเฉิน ป้ารู้สึกเกรงใจจริง ๆ นะ"
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว ล้างจานเรียบร้อย แม่ของหรันหรันก็พูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด "ป้าต้องออกไปข้างนอกหน่อย มีธุระนิดหน่อย ประมาณสองชั่วโมง เธอช่วยอยู่เป็นเพื่อนเสี่ยวหรันอีกสักพักได้ไหม เดี๋ยวป้ากลับมาส่งเธอกลับบ้านเอง"
"เอ่อ..."
"ไม่ต้องกังวลนะ พ่อของหรันหรันเข้าเวรดึกวันนี้ กลับบ้านตอนห้าทุ่มครึ่ง"
"ไม่ใช่ ผมไม่ได้กังวลเรื่องนั้นเลย จริง ๆ นะครับ"
ไม่นะ ใครกันที่ปล่อยข่าวลือเสีย ๆ หาย ๆ เกี่ยวกับฉันเนี่ย? คุณแม่นี่มัน...
"ป้าก็ไม่ได้หมายความอย่างนั้น ป้าแค่จะบอกว่า เธอไม่เคยเจอพ่อของหรันหรัน เดี๋ยวจะรู้สึกอึดอัด วันนี้จะได้ไม่ต้องเจอกับสถานการณ์แบบนั้นไง" แม่ของหรันหรันพูดพร้อมกับยิ้ม จากนั้นก็สะพายกระเป๋า สวมรองเท้า แล้วออกจากบ้านไป
ฮิฮิ โลกนี้มีแค่เราสองคนแล้ว
หลังจากที่แม่ออกไปแล้ว เฉินเซียวหรันก็หยิบรีโมทขึ้นมา แล้วถามด้วยความกระตือรือร้นว่า "นี่พี่ อยากดูหนังไหมคะ?"
"ไม่อยาก"
เฉินหยวนปฏิเสธทันที แล้วพูดว่า "ถอดรองเท้า เริ่มนวดได้แล้ว"
วันนี้เป้าหมายของเขาคือ การทำให้เท้าซ้ายของเฉินเซียวหรันกลับมาใกล้เคียงกับสภาพของเท้าขวา
จากนั้น เธอก็จะสามารถพึ่งพาตัวเองได้ในระดับหนึ่ง
เมื่อมีพื้นฐานแบบนี้ บวกกับการที่เธอสามารถเดินได้บ้างแล้ว เลือดในร่างกายส่วนล่างก็จะไหลเวียนได้ดีขึ้น อาการของเธอก็จะฟื้นตัวเร็วกว่าเดิมมาก
หรืออาจจะพูดได้ว่า เร็วขึ้นหลายเท่าตัว
เพราะเธอสามารถใช้เวลาทั้งวันอยู่กับการเข็นรถช่วยเดินไปทั่วบ้าน ยกเว้นตอนนอนหลับ
ไม่เหมือนเมื่อก่อน ที่ร่างกายของเธอเหมือนถูกเชื่อมติดกับรถเข็น นั่งเฉาอยู่กับที่
"...ก็ได้" เฉินเซียวหรันวางรีโมทลงด้วยความผิดหวัง
จากนั้นก็เข็นรถช่วยเดินเข้าไปในห้องนอนเล็ก ๆ ของเธอ
เฉินหยวนมองไปที่กล้องวงจรปิด แล้วพูดด้วยน้ำเสียงติดขัดเล็กน้อยว่า "นวดที่ห้องนั่งเล่นนี่แหละ ไม่ต้องเข้าไปหรอก"
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ กล้องวงจรปิดยังไม่ได้ต่อเน็ต แค่ของหลอก ๆ น่ะ” เฉินเซียวหรันโบกมือ พูดอย่างไม่ใส่ใจ
“หา?”
“ไม่หลอกพี่หรอกค่ะ เข้าไปดูใกล้ ๆ ก็ได้ ถ้าต่อเน็ตแล้วไฟสัญญาณจะต้องติดสิ”
เฉินเซียวหรันมองเฉินหยวนที่ดูหวาด ๆ แล้วอธิบายด้วยรอยยิ้ม “หนูบอกพ่อหนูแล้วว่าไม่ต้องติดกล้องวงจรปิด ไม่อยากให้พี่รู้สึกเหมือนโดนจับตามอง พ่อหนูบอกว่าเขาเคารพเพื่อนหนู แต่เมียเขาก็อยู่บ้านด้วย เขาก็เลยไม่ค่อยวางใจ...เลยต้องทำเป็นติดกล้องหลอก ๆ ไว้แบบนี้แหละ”
《เข้าใจได้》
“จริงด้วย ถ้ารู้ว่ามีกล้อง พี่ก็ไม่กล้ามาหรอก” เฉินหยวนพูด
“งั้น...งั้นพี่ก็คิดอะไรกับหนูจริง ๆ ใช่มั้ย?!” เฉินเซียวหรันถาม ตาเป็นประกาย
“หึ” เฉินหยวนหัวเราะเบา ๆ อย่างมีเลศนัย
เหมือนกำลังจะบอกว่า: แค่เด็กน้อยคนหนึ่ง อย่าคิดว่าตัวเองสำคัญนักเลย
“ยังไงฉันก็เป็นเด็กน้อยอยู่แล้วนี่นา เด็กน้อยพูดอะไรก็ถือว่าพูดเล่น ๆ ไปเถอะ”
เฉินเซียวหรันโดนเฉินหยวนโจมตีบ่อย ๆ เข้า ก็เริ่มมีหนังหน้าหนาเกินเด็กสาวในวัยเดียวกัน
แต่เธอก็อดกังวลใจไม่ได้
ถ้าเขามองเธอเป็นน้องสาวไปตลอด ต่อให้โตขึ้น เป็นสาวสวยสูงเพรียวขาวผ่องราวกับนางฟ้า แม้ว่าหน้าตาจะไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย เขาก็คงยังมองเธอเป็นเด็กโง่ ๆ อยู่ดีสินะ?
เป็นน้องสาววันนี้ ก็เป็นน้องสาวตลอดไป
ผู้ชายรักเมีย หัวอ่อน เชื่อฟังเมียตลอดแบบนี้ น่ากลัวชะมัด!
“เดี๋ยวก่อนค่ะ” ก่อนจะเข้าห้อง เฉินเซียวหรันก็หันหลังกลับไปที่ตู้เย็น แล้วค่อย ๆ คุกเข่าลง เปิดช่องแช่แข็งด้านล่าง
“จะหยิบอะไรเหรอ ให้พี่ช่วยมั้ย?”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูทำเองได้”
เฉินเซียวหรันส่ายหน้า ก่อนจะหยิบถุงน้ำแข็งออกมา แล้วพยายามพยุงตัวลุกขึ้น พลางพูดกับเฉินหยวนว่า "พี่รีบถอดรองเท้ากับถุงเท้าออก แล้วเอาอันนี้ประคบนะคะ"
"อ้อ ขอบใจ" เฉินหยวนรับถุงน้ำแข็งมา
"เอ่อ..." เฉินเซียวหรันมองเฉินหยวน แล้วถามเสียงแผ่วเบา "พลังรักษาของพี่... มันต้องแลกมาด้วยอะไรหรือเปล่าคะ?"
"หมายความว่ายังไง?"
"ก็พี่ไม่ได้รักษาตัวเองให้หายเลย ปล่อยให้ข้อเท้าบวมแบบนี้" เฉินเซียวหรันรู้สึกว่ามันไม่สมเหตุสมผล จึงเอ่ยปากถาม "ถ้าไม่มีข้อแลกเปลี่ยน พี่ก็น่าจะรักษาตัวเองให้หายแล้วไม่ใช่เหรอคะ?"
เธอฉลาดมาก
แต่เธอลืมไปว่า ตอนอยู่ที่โรงเรียนเฉินหยวนไม่มีเวลาและโอกาสประคบเย็นที่เท้า
ไม่งั้นอาการบวมร้อยละยี่สิบกว่า ๆ นี่ เฉินหยวนคงจะรักษาให้หายไปนานแล้ว
"ไม่มี"
เฉินหยวนตอบพร้อมกับยิ้ม แล้วเดินไปที่ห้องของเธอ
ทว่า ขณะที่เขากำลังหมุนลูกบิดประตูอยู่นั้น ก็มีสองมือโอบรอบเอวเขาจากด้านหลัง ใบหน้าของเธอก็แนบชิดกับแผ่นหลังของเขา
"เซียวหรัน อย่าทำแบบนี้สิ" เฉินหยวนเตือน
แต่เฉินเซียวหรันกลับกอดแน่นขึ้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนแน่ ๆ ! ไม่งั้นถ้าพี่ชอบหนูแบบ... (ชอบแบบน้องสาว) พี่ก็น่าจะมาหาหนูในฝันบ่อย ๆ หรือมารักษาหนู นั่นแสดงว่า... พลังของพี่มีจำกัด มีข้อแลกเปลี่ยน ทุกครั้งที่ใช้พี่จะต้องเสียอายุขัย... การเสียอายุขัยมันไม่ดีเลยนะ!"
เพี้ยง เพี้ยง เพี้ยง!
เฉินเซียวหรัน ไปเคาะไม้เร็วเข้า!
แต่เธอก็ฉลาดจริง ๆ ที่รู้ว่าพลังพิเศษของเขามีข้อจำกัด
เพียงแต่เธอไม่รู้ว่า กลไกที่แท้จริงคือ—รีเฟรชทุกสัปดาห์ เพราะมันมีค่ามาก เขาจึงต้องรีบใช้
ที่เขาไม่เข้าฝันเธอตอนนี้ ก็เพราะว่า 'พลังฝัน' ที่ถูกตัดทอนลงไป จะทำให้ผู้ใช้ในโลกแห่งความจริงสิ้นเปลืองพลังจิต
"พี่เฉินหยวน"
เฉินเซียวหรันกอดเขาแน่น เหมือนพยายามจะคว้าอนาคตไว้ด้วยมือของเธอ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ถ้านี่จะทำให้พี่อายุสั้น เป็นคนขาเป๋ก็ไม่เป็นไรค่ะ"
แม้ในตอนที่ลุกขึ้นยืน เฉินเซียวหรันจะรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่
แต่เธอก็ไม่ได้เห็นแก่ตัวถึงขนาดที่จะยอมให้เขาเสียสละมากมายขนาดนั้น
มากสุดก็แค่... ต่อไปแม่จะเข็นเธอที่ใส่ชุดเจ้าหญิงไปหน้าโรงเรียนของเฉินหยวนแล้วยิ้มทักทายพี่ชายที่เคยชอบ "ได้ยินว่าดอกกุ้ยฮวาที่โรงเรียนบานแล้ว พี่ชายเข็นหนูไปดูหน่อยสิ"
ตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว
แบบนี้ก็ดีมากพอแล้ว
“เอาล่ะ” เฉินหยวนจับมือเฉินเซียวหรัน พลิกตัวกลับมาใช้นิ้วลูบหัวเธอ มองเด็กน้อยน่าสงสารที่กำลังครุ่นคิดเรื่องแต่งนิยายอยู่ในหัว พลางพูดว่า “มีข้อแลกเปลี่ยนอยู่ แต่มันไม่เกี่ยวกับอายุขัย แต่เป็นเรื่องของเวลา”
“เวลา...” เฉินเซียวหรันถามด้วยความสงสัย “หมายความว่าในแต่ละวัน แต่ละช่วงเวลา จะมีโควต้าจำกัดอยู่ใช่ไหมคะ?”
เฉินหยวน: “อืม”
“แบบนี้ก็ดีแล้ว...”
เฉินเซียวหรันถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นว่า “งั้นพี่ก็ไม่ต้องคอยห่วงหนูตลอดหรอก ถ้าอยากเจอหนูเมื่อไหร่ ค่อยมาหาละกัน”
“อยู่ ๆ ก็ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาได้ยังไงเนี่ย?”
“เพราะผู้ชายส่วนใหญ่ไม่ชอบผู้หญิงที่ไม่มีตัวตนของตัวเอง”
“เธอยังเป็นแค่เด็กผู้หญิงอยู่เลย ยังไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย”
“ถึงอย่างนั้น หนูก็เป็นสาวน้อยน้ำแข็งที่มีค่าความงามเกินหน้าเพื่อนรุ่นเดียวกันถึง 97% นะ”
เฉินเซียวหรันเสยผมข้างหู เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับโพสท่าด้วยท่าทางหลงตัวเองสุด ๆ
“ขำตายล่ะ ไม่เห็นจะเหมือนเลย”
“พอแล้ว พูดมากจริง รีบไปรักษาเท้าตัวเองได้แล้ว!”
จริงสิ การเสียเวลาไปกับการโต้เถียงกันเป็นเรื่องที่ไม่ให้เกียรติสุดยอดพลังมากที่สุด
ดังนั้นเฉินหยวนจึงเดินไปที่ห้องของเฉินเซียวหรัน นั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ ใช้เวลาสิบห้านาทีประคบน้ำแข็งและฉีดสเปรย์ระงับปวด จนกระทั่งอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าซ้ายลดลงเหลือ 5%
จากนั้นเมื่อลองลดระดับลงไปอีก ก็พบว่าไม่สามารถลดลงไปได้มากกว่านี้แล้ว
แน่นอนว่า นี่ไม่ได้เป็นเพราะแถบความคืบหน้าพังหรืออะไร
แต่เป็นเพราะการทายาและประคบน้ำแข็งนั้นสามารถฟื้นฟูได้เพียงเท่านี้
หากจะรักษาให้หายขาดมากกว่านี้ ก็ต้องรักษาที่กล้ามเนื้อส่วนลึก ไปจนถึงกระดูก ซึ่งเป็นการฟื้นฟูด้วยกลไกของร่างกายเอง
ในทำนองเดียวกัน การนวดให้เฉินเซียวหรันก็น่าจะมีขีดจำกัดเช่นกัน
แต่ไม่เป็นไร แม้พลังจะอ่อนแอลง แต่ตราบใดที่ยังมองเห็นทิศทางของความคืบหน้า การรักษาของเฉินเซียวหรันก็ยังคงดำเนินไปในทางที่ถูกต้องและก้าวหน้าต่อไป
“โอเค คุณหนูชา ยื่นเท้าออกมาหน่อย” (ปล. คำว่าชาในที่นี้จะเป็นคำที่ใช้กับคนที่เราเอ็นดูประมาณนี้ครับ)
“อย่าเรียกหนูว่าคุณหนูชาสิ...” เฉินเซียวหรันทำแก้มป่อง ประท้วงด้วยความน้อยใจ “แค่ทำตัวน่ารักก็เรียกว่า 'ชา' แล้วเหรอ? ไม่เคยเห็นใครเข้มงวดกับเด็กแบบนี้มาก่อนเลย”
“หลังจากดู 'ดวงดาวที่เปลี่ยนไป' แล้ว ก็ไม่สามารถเรียกว่าเด็กได้อีกต่อไปแล้ว เธอไม่มีความสำนึกแบบนี้บ้างเหรอ?”
“เซียวหรันไม่รู้ เซียวหรันเป็นเด็กน้อยที่ดู 'อลิซในแดนมหัศจรรย์' ต่างหากล่ะ”
ไม่ได้จ่ายเงินสักแดง แต่กลับมาโปรโมตนิยายเรื่องอื่นในนิยายของฉันอีก!
เฉินเซียวหรันค่อย ๆ นั่งลงข้างเตียง ถอดถุงเท้าสีชมพูลายดอกไม้ออก จากนั้นก็ค่อย ๆ ยื่นเท้าซ้ายออกมา วางไว้ในมือของเฉินหยวน พร้อมกับพูดด้วยความเข้าใจว่า “พี่ก็ต้องมีพลังพิเศษไว้ป้องกันตัวบ้างนะ... ไม่จำเป็นต้องใช้มันไปกับการรักษาเท้าหนูทั้งหมดหรอก”
จริงสิ ผู้ชายคนไหนออกไปข้างนอกแล้วไม่พกพลังพิเศษติดตัวกันบ้างล่ะ?
เดี๋ยวก่อนนะ? หรือว่าจะมีแค่ฉันคนเดียวที่มีพลังพิเศษ พวกนายไม่มีกันเลยงั้นเหรอ?
ประมาณ 93.5%
เทียบกับก่อนหน้านี้ ลดลงประมาณ 0.5%
“แม่ของเธอช่วยนวดตรงนี้ให้เธอแล้วใช่ไหม?” เฉินหยวนถามด้วยความอยากรู้
“อืม นวดให้ตลอดเลย” เฉินเซียวหรันพยักหน้าตอบ “ช่วงสองวันที่ผ่านมา แม่นวดให้หนูไปประมาณสิบกว่าชั่วโมงแล้ว ตัวหนูเองก็ว่างเมื่อไหร่ก็นวด รวม ๆ กันแล้วน่าจะประมาณ 20 ชั่วโมงได้”
20 ชั่วโมง 0.5%
ส่วนตัวเองเมื่อกี้ใช้เวลา 10 นาที 0.5%
หมายความว่า แถบความคืบหน้าเร่งความเร็วขึ้นเป็นร้อยกว่าเท่า
ความแตกต่างขนาดนี้ มันสุดยอดไปเลย
แต่ก็คงจะประมาณนี้แหละ ไม่งั้นทำไมฉันถึงใช้เวลาท่องแค่สิบรอบ ก็จำคำศัพท์ได้ขึ้นใจ กลายเป็นภาษาแม่ไปแล้วล่ะ
พวกเด็กมหาลัยบางคน เรียนภาษาอังกฤษมาตั้งหลายปี ยังสะกดคำไม่ถูกเลย
ห้ามเปิดกูเกิลนะ
"ต้องนวดต่อไป นี่ได้ผลแล้ว" เฉินหยวนพูด
"อื้อ" เฉินเซียวหรันพยักหน้า
จากนั้น เฉินหยวนเริ่มทบทวนวิธีการนวดในวันนั้น แล้วลงมือนวดตรงจุดที่บาดเจ็บ
ไม่เหมือนครั้งที่แล้ว เฉินเซียวหรันตัดเล็บสั้นกว่าเดิม แถมเท้ายังเหมือนทาโลชั่นอะไรสักอย่าง ผิวนุ่มเนียนขึ้นด้วย
ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ ทำไมมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ...
"เธอแอบใส่อะไรลงไปในเท้าน่ะ?" เฉินหยวนถามอย่างสงสัย
"เปล่านะ หนูไม่รู้ว่าพี่พูดเรื่องอะไร?"
เฉินเซียวหรันหันหน้าหนี บ่ายเบี่ยงไม่ตอบ
"หรือว่าฉีดน้ำหอม? เฉินเสี่ยวชา"
"หา? มีกลิ่นหอมด้วยเหรอคะ?" เฉินเซียวหรันทำท่าประหลาดใจ เอามือประคองแก้มตัวเอง พูดเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย "เหมือนจะมีผู้หญิงแบบนี้ด้วยนะคะ ลักษณะคือหน้าตาสวย แล้วก็จะมีกลิ่นตัวหอม ๆ แบบธรรมชาติ"
"มิน่าล่ะ เซี่ยซินหยู่ถึงตัวหอมอยู่ตลอด"
"นั่นน่ะน้ำหอมต่างหาก!"
ขำตายล่ะ เด็กคนนี้ตลกชะมัด
ก่อนหน้านี้ที่เธอต่อต้านการนวดของฉันอย่างหนักแน่น ก็เพราะคิดว่าเท้ามีเหงื่อ
วันนี้ยังมาบำรุงเท้าก่อนให้ฉันรักษาอีก
ห่วงสวยจังเลย ถ้าขาเธอหายดีแล้วไปโรงเรียน คงหลงตัวเองคิดว่าเป็นดาวโรงเรียนแน่ ๆ
แต่ว่า เท้าคู่นี้ก็ดูเหมือนจะขยับได้คล่องขึ้นจริง ๆ
ระหว่างนวด เฉินหยวนก็รู้สึกว่าเท้าที่เคยเย็นเฉียบและแข็งทื่อ ค่อย ๆ อุ่นขึ้น แถมยังเหมือนหยก เส้นโค้งจากนิ้วเท้าถึงข้อเท้าก็ดูเป็นธรรมชาติลื่นไหล
มีชีวิตชีวาขึ้นมาแล้ว
ของที่มีชีวิต ถึงจะงดงาม
ไม่ใช่แข็งทื่อ ซีดเซียว ไร้ชีวิตชีวา ไร้ความรู้สึก
แต่ระหว่างนวด เฉินหยวนก็พบว่า ความคืบหน้าเร็วกว่าเดิม ความเร็วในการฟื้นตัวเหมือนจะเพิ่มขึ้นหนึ่งในสาม
นี่น่าจะเกี่ยวกับเทคนิคการนวดของเขา
ก่อนหน้านี้เขาไม่ค่อยเก่ง ใช้เวลาเยอะ
ถ้าความสามารถนี้ ไปอยู่กับนักกายภาพบำบัดมืออาชีพ...
เวรเอ๊ย นั่นก็คงเป็นหมอเทวดาจุติ
เมื่อความเสียหายของขาทั้งสองข้างใกล้เคียงกัน อยู่ที่ระดับต่ำกว่า 90% และเป็นสีแดงอ่อน เฉินหยวนก็หยุดมือ
แต่พอลูกเขาเอามือออก เฉินเซียวหรันก็ขยับก้นไปข้างหน้า นั่งอยู่บนขอบเตียง แล้วเอามือทั้งสองข้างประคองมือเขา กลับกลายเป็นว่าเธอนวดให้เขาแทน
ท่าทางตั้งใจจริงจังมาก มือเล็ก ๆ แต่แรงเยอะไม่ใช่เล่น อยากจะใช้วิธีของตัวเอง บรรเทาความเหนื่อยล้าให้เขา
ตัวเล็ก ๆ ของเธอ อาจจะตอบแทนบุญคุณไม่ได้มาก แต่ก็ยังตอบแทนด้วยองุ่นลูกเล็ก ๆ ได้
ประมาณห้าหกนาที การนวดตอบแทนของเธอก็จบลง
เฉินหยวนลุกขึ้นยืน มองเฉินเซียวหรันที่ขาทั้งสองข้างใกล้เคียงกันแล้ว น่าจะยืนได้แล้ว พูดว่า "ลองดูสิ"
"อืม..."
จริง ๆ แล้ว ตอนนวดไปเรื่อย ๆ เฉินเซียวหรันก็รู้สึกว่ามีพลังวิ่งเข้ามา
ชัดเจนมาก
เหมือนก่อนหน้านี้ นิ้วเท้าขยับได้คล่องขึ้น
ข้อเท้าก็ขยับได้เล็กน้อย
หมายความว่า ตอนนี้เท้าทั้งสองข้างของเธอ ออกแรงได้แล้วเหรอ?
เธอกลั้นหายใจ เฉินเซียวหรันใช้มือทั้งสองข้างยันตัวลงจากเตียง
ตอนที่เท้าทั้งสองข้างสัมผัสพื้น เธอก็รู้สึกถึงแรงสั่นสะท้านแล่นไปทั่วร่าง
แต่เธอกลับไม่ได้รู้สึกเกลียดความรู้สึกนี้เลยแม้แต่น้อย
เพราะมันบ่งบอกว่าเท้าทั้งสองข้างกำลังช่วยกันพยุงร่างกายของเธออยู่
มันดีกว่าตอนที่ต้องยืนด้วยขาข้างเดียวมากนัก
“...สู้ ๆ ค่อย ๆ นะ”
เฉินหยวนยืนอยู่ตรงหน้าเธอ รักษาระยะห่างที่พอจะเข้าไปพยุงได้ทัน หากเธอเกิดเสียหลัก แต่ก็ไม่ใกล้จนเกินไปจนทำให้เธอรู้สึกต้องพึ่งพาเขา
เขามองดูเธอใช้เวลาเป็นสิบวินาทีกว่าจะยืนได้อย่างมั่นคง
จากนั้น เธอก็ยกเท้าก้าวเดิน พยายามเดินมาทางเขาอย่างเชื่องช้า
เพียงแค่การขยับตัวในชั่วขณะนี้ ก็ทำให้ใบหน้าของเธอแดงก่ำด้วยความเหนื่อยล้า
เพราะร่างกายบอบช้ำอย่างหนัก เธอจึงต้องใช้แรงมากกว่าคนอื่นเป็นสิบเท่าในการก้าวเดินแต่ละก้าว
เหมือนกับโกคูที่ฝึกฝนอยู่ในยานอวกาศที่มีแรงโน้มถ่วงสูงกว่าปกติถึงสิบเท่า
เธอพยายามอย่างยากลำบากที่จะก้าวไปข้างหน้า โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยพยุง
เฉินหยวนรู้สึกตื้นตันใจ แต่เขาไม่ได้แสดงอาการดีใจออกมา เขาเปิดประตูและค่อย ๆ ถอยกลับไปยังห้องนั่งเล่น
ส่วนเธอ ก็เดินตามเขามาอย่างช้า ๆ เหมือนเด็กน้อยที่เพิ่งหัดเดิน
เธอค่อย ๆ เริ่มคุ้นชิน
แม้ว่าท่าทางการเดินของเธอจะดูไม่เป็นธรรมชาติ เหงื่อไหลออกมา และหายใจหอบถี่ แต่ในที่สุดเธอก็สามารถทำได้ด้วยตัวเอง
เดินต่อไปนะ เสี่ยวหรัน!
ในที่สุด เฉินเซียวหรันก็เดินมาถึงกลางห้องนั่งเล่น เธอยกนิ้วขึ้น พร้อมกับพูดด้วยสีหน้ามั่นใจว่า “พี่เฉินหยวน หนูจะโชว์อะไรเท่ ๆ ให้ดู”
“...ไม่ต้องเท่มากก็ได้ เอาความปลอดภัยไว้ก่อน”
เฉินหยวนพูดเตือนด้วยความกังวล
“รู้แล้วน่า”
เฉินเซียวหรันพยักหน้า จากนั้นก็ใช้มือทั้งสองข้างจับชายกระโปรงที่สวยงามของเธอ ย่อตัวลงเล็กน้อย ทำท่าเตรียมตัวเหมือนนักบัลเล่ต์
ทันใดนั้น เธอก็หมุนตัวอยู่กับที่
มันดูเท่จริง ๆ
แต่นี่ไม่ใช่ท่าทางที่เธอควรทำในสภาพร่างกายที่บอบช้ำขนาดนี้!
เห็นดังนั้น เฉินหยวนจึงรีบเข้าไปคว้าเอวของเธอไว้ แล้วอุ้มเธอขึ้นในขณะที่เธอกำลังหมุนตัว ก่อนที่เธอจะล้มหัวฟาดพื้น
“...นี่คือสิ่งที่เธอเรียกว่าเท่เหรอ?”
เฉินหยวนได้แต่ส่ายหัว ทำไมเธอถึงคิดจะหมุนตัว ทั้งที่ยังเดินไม่ค่อยจะได้
เหมือนกับลูกข่างเลย
“พี่เฉินหยวน ขอโทษนะคะ”
เฉินเซียวหรันเงยหน้ามองเขา พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ขณะที่ถูกเขาอุ้มอยู่
“ไม่เป็นไร คราวหลังต้องระวัง...”
เฉินหยวนยังพูดไม่ทันจบ เธอก็ค่อย ๆ แย้มยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย
จากนั้น เธอก็หลับตาลง กางแขนออก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงราวกับนักแสดงละครเวทีในเทพนิยายว่า “และแล้ว เจ้าชายและเจ้าหญิงก็ได้ครองรักกันอย่างมีความสุข...”