ตอนที่ 28 : คนโง่ที่ซื้อซิมเบียน
คืนแรกที่เข้ามาอยู่ในมหาวิทยาลัย ทั่วทั้งวิทยายาเขตเต็มไปด้วยผู้คน ทุกคนกำลังสนุกสนานเพลิดเพลินไปกับความรู้สึกตื่นตาที่ได้รับจากสภาพแวดล้อมใหม่ๆ
เจียงฉินเดินกลับไปที่หอพักชายตามเส้นทางเดิม ระหว่างทางก็คิดอยู่ตลอดว่าหากต้องการเริ่มต้นในมหาวิทยาลัย อะไรคือสิ่งที่ทำจะกำไรได้มากที่สุด?
อินเทอร์เน็ตคาเฟ่ ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านชานม
นี่น่าจะเป็นตัวเลือกแรกๆ ของนักศึกษาที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจ เพราะใช้เงินลงทุนเริ่มแรกไม่เยอะ ผลกำไรมั่นคงน่าพอใจ ทั้งยังสบายใจและไม่ยุ่งยาก
แต่ข้อเสียก็ชัดเจนมากเช่นกัน พูดง่ายๆ คือไม่มีโอกาสในการเติบโต แถมยังมีเพดานต่ำมาก
เจียงฉินเดินทอดน่องไปหยุดที่ทางเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตของมหาวิทยาลัย สายตาของเขาถูกดึงดูดไปยังโปสเตอร์ที่ติดไว้หน้าประตูซูเปอร์มาร์เก็ต
“ฟอรัมสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัย ฟอรัมเฉพาะทางที่นักศึกษาทุกคนเลือกใช้”
เจียงฉินเดินไปดึงโปสเตอร์ทั้งแผ่นออกจากผนัง ถือมันไว้ในมือแล้วมองดูมันสักพักด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ติ๊ดติ๊ดติ๊ด—
ในขณะนี้เองเสียงแจ้งเตือนก็ดังขึ้น เจียงฉินหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วเห็นพิกเซลรูปแพนกวินตัวน้อยกระโดดไปมาอยู่ตรงแถบสัญญาณ
“พ่อบุญธรรม ฉันมีคำถามจะถาม จะขอข้อมูลติดต่อของคนอื่นได้ยังไง?”
“นายพบเป้าหมายตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยวันแรกเลยเหรอ? ไม่เลว แค่ขอไปตรงๆ ก็พอ ถึงจะโดนปฏิเสธก็ไม่มีอะไรเสียหายสักหน่อย”
“มีวิธีที่เราจะขอข้อมูลติดต่อโดยไม่ต้องถามตรงๆ บ้างไหม?”
เมื่อเห็นคำถามของกัวจื่อหัง มุมปากของเจียงฉินก็ถึงกับกระตุก คิดในใจว่าพี่น้องคนนี้ไร้ประโยชน์จริงๆ ปากเขาซื้อด้วยเงินดาวน์หรือไงถึงได้ไม่กล้าที่จะใช้มัน
แต่เพราะเห็นแก่ฐานะพ่อบุญธรรม เจียงฉินจึงอดทนอดกลั้นและตัดสินใจถามเกี่ยวกับสถานการณ์ก่อน
“รุ่นพี่หรือน้องใหม่? หากเธอเป็นรุ่นพี่ก็ไม่จำเป็นต้องคิดเกี่ยวกับมันเลย เธอคงมีประสบการณ์มาทุกอย่างแล้ว กลอุบายเล็กๆ น้อยๆ ของนายใช้กับเธอไม่ได้หรอก หากเธอเป็นน้องใหม่ นายลองแกล้งยืมมือถือแล้วแอบโทรหาตัวเองได้”
“แล้ว…ถ้าเป็นป้าขายผลไม้หน้าทางเข้ามหาวิทยาลัยล่ะ?”
“??????”
“ป้าคนนั้นมีเสียงเหมือนเด็กเลย ฉันใจเต้นตลอดตอนที่ได้ยินเธอพูด”
จิตใจของเจียงฉินสับสนอยู่ครู่หนึ่ง และทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนว่าความสงสัยของเขาได้รับการไขกระจ่างแล้ว
ดูเหมือนกัวจื่อหังจะยังไม่เคยมีความรักมาก่อน ตอนที่เขาอยู่มัธยมปลายเขาไม่เคยแสดงความสนใจผู้หญิงคนไหนเป็นพิเศษเลย แม้แต่ฉู่ซือฉีเขาก็ไม่สนใจที่จะเหลียวมอง เจียงฉินยังคิดว่าวัยแรกรุ่นของเขาคงมาช้ากว่าคนอื่น แต่กลับกลายเป็นว่าเจ้าเหรียญสุนัขตัวนี้ชอบของที่สุกงอมแล้ว!
ตอนอยู่มัธยมปลายถูกคุมเข้มมากก็เลยไม่กล้าพูดอะไร พอตอนนี้ได้อยู่มหาวิทยาลัยแล้วไอ้หมอนี่มันก็เลยเริ่มที่จะปล่อยเนื้อปล่อยตัวใช่ไหม?
แต่ว่าคุณป้าที่เสียงใสเหมือนเด็กนี่ก็ค่อนข้างน่าสนใจจริงๆ
เจียงฉินส่งข้อความไปว่าไสหัวไป จากนั้นก็เดินกลับไปที่หอพัก
ทันทีที่เขาเข้าไปในอาคารหอพักก็ได้เสียงฝีเท้าดังขึ้นที่ชั้นบน นักศึกษาหกถึงเจ็ดคนรีบวิ่งลงมาจากชั้นสอง เหตุการณ์นี้ถึงขั้นวุ่นวายอยู่พักหนึ่ง
เจียงฉินเดินขึ้นไปชั้นบนขณะเฝ้าดู เมื่อเขามาถึงประตูเขาก็พบว่าเฉากวงอวี่ โจวเชา และเหรินจื้อเฉียงก็กำลังยืนดูเรื่องสนุกอยู่ตรงหน้าประตูเช่นกัน
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
โจวเชาลดเสียงลง: “น้องใหม่คณะการค้าระหว่างประเทศทะเลาะกับพวกรุ่นพี่ ฉันได้ยินมาว่าเป็นเพราะชายที่ชื่อหลี่ต้าจ้วงไปพูดจาหยายคายและก็ยั่วโมโหพวกรุ่นพี่ แถวยังด่าพวกเขาว่าน่าเกลียดด้วย”
คิ้วของเจียงฉินเลิกขึ้นหลังจากได้ยินสิ่งที่เขาพูด: “ในคณะการค้าระหว่างประเทศมีคนชื่อหลี่ต้าจ้วงจริงๆ เหรอ?”
“เกิดอะไรขึ้น คนรู้จักของนายเหรอ?”
“เปล่า ไม่มีอะไร แล้วตอนนี้สถานการณ์การต่อสู้เป็นยังไงบ้าง?”
เหรินจื้อเฉียงที่ยืนอยู่ข้างๆ ตาโตด้วยความตื่นเต้นทันที: “นายรู้ไหมว่าทำไมชายคนนี้ถึงถูกเรียกว่าต้าจ้วง คนเราเป็นดั่งชื่อตัวจริงๆ แขนของเขาหนากว่าขาฉันซะอีก รุ่นพี่พวกนั้นโคตรซวย ตอนเดินไปนี่แต่ละคนอย่างกับแปลงร่างได้ พอขากลับแทบจะกลิ้งหนีไม่ทัน”
“เป็นถึงขั้นนักศึกษามหาวิทยาลัยแล้วยังจะตีกันอีก เด็กน้อยจริงๆ หาสาระไม่ได้เลย” เฉากวงอวี่ทำหน้าเหยียดหยัน จากนั้นหยิบโทรศัพท์มือถือจอเต็มออกมาจากกระเป๋าแล้วกดสองที
สายตาของโจวเชาและเหรินจื้อเฉียงถูกดึงดูดในฉับพลัน: “บัดซบ เหล่าเฉา นี่มันโทรศัพท์อะไรเนี่ย ทำไมหน้าจอถึงใหญ่ขนาดนี้?”
“โนเกีย 5230 รุ่นใหม่ยังไม่เปิดตัวในจีน พ่อฉันได้มันมาจากช่องทางพิเศษน่ะ ประมาณสามพันกว่าหยวนได้มั้ง ก็ถือว่าโอเคนะ แต่จับแล้วรู้สึกไม่ชินเท่าแบล็คเบอร์รี่เครื่องเก่าของฉันเท่าไหร่ อีกอย่างความเร็วในการตอบสนองมันก็ช้ากว่านิดหน่อย เอาไว้เป็นเครื่องสำรองได้” เฉากวงอวี่กล่าวอย่างภาคภูมิใจราวกับเคยใช้โทรศัพท์มือถือยี่ห้อดังมาแล้วหลายรุ่น
“สามพันกว่าหยวน? ฉันจ่ายค่าเทอมได้เลย ให้ตายเถอะ นายให้เราดูหน่อยได้ไหม”
เฉากวงอวี่ยื่นโทรศัพท์ให้เหรินจื้อเฉียงด้วยท่าทางสบายๆ ราวกับว่าเขาไม่ค่อยสนใจ แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะพูดเบาๆ ออกไปว่าช้าๆ หน่อย อย่าทำตก
เหรินจื้อเฉียงและโจวเชารู้สึกเหมือนพวกเขาพบสมบัติ ทั้งคู่เล่นกับมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแทบจะทำปากกาสไตลัสตรงฝาหลังหัก เฉากวงอวี่ที่เห็นสิ่งนี้เจ็บปวดจนกัดฟันกรอด แต่ก็อายที่จะพูดมากกว่านี้ ดังนั้นเขาจึงรีบหันความสนใจไปที่เจียงฉินแทน
เจียงฉินไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ต่อโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ของเฉากวงอวี่เลย เขายังคงให้ความสนใจกับสถานการณ์ของคณะการค้าระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด
เฉากวงอวี่รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เขารู้สึกว่าอยู่ที่นี่ตนไม่เคยได้แสร้งทำเป็นเจ๋งเลย
“เหล่าเจียง นายไม่สนใจหน่อยเหรอ โทรศัพท์ของฉันมีปุ่มกดจริงๆ แค่แปดปุ่มเองนะ นายรู้จักระบบปฏิบัติการซิมเบียนไหม สมาร์ทโฟนสมัยนี้โคตรเจ๋งเลย ฉันจำว่านายใช้โนเกีย 7610 รุ่นปี 2005 อยู่ใช่ไหม? เครื่องเก่าแบบนั้นเทียบกับ 5230 ไม่ได้เลยสักนิด”
เจียงฉินมองย้อนกลับไปที่เขาพลางคิดในใจว่าซื้อซิมเบียนตอนปี 2008 เนี่ยนะ นี่มันซวยโคตรๆ เลยไม่ใช่เหรอ: “ไม่สนใจ ฉันเคยใช้เครื่องที่มีปุ่มกดแค่สามปุ่มมาแล้ว นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าสมาร์ทโฟน”
“มีปุ่มกดแค่สามปุ่ม? พูดไปเรื่อย!”
เจียงฉินไม่สนใจเขา ผลักประตูเข้าไปในห้องพัก จากนั้นหยิบโปสเตอร์ที่เพิ่งฉีกออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แผ่มันออกแล้ววางไว้ที่โต๊ะ เสร็จแล้วก็ดึงกระเป๋าเดินทางออกมาจากใต้โต๊ะ นำเวิร์กสเตชัน Lenovo รุ่น ThinkPad W500 ออกมา
นี่คือโน้ตบุ๊กสำหรับทำงานที่เปิดตัวในปี 2008 โดยมีซีพียูแบบดูอัลคอร์และแรม 4GB ราคาอยู่ที่ 12,600
เจียงฉินซื้อมันหลังจากได้รับเงินค่ารื้อถอน ท้ายที่สุดหลังจากเริ่มต้นธุรกิจคุณก็จำเป็นต้องใช้อินเทอร์เน็ตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จะให้วิ่งไปที่ร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ตลอดก็คงไม่ดี
เมื่อเห็นฉากนี้เหรินจื้อเฉียงและโจวเชาก็คืนโทรศัพท์ให้เฉากวงอวี่ทันทีและรีบเข้าไปล้อมเจียงฉินไว้
ไม่ว่าจะเป็นปุ่มกดแค่แปดปุ่มหรือระบบปฏิบัติการซิมเบียน สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่น่าดึงดูดใจอีกต่อไป
“บัดซบ โน้ตบุ๊ก?”
“เหล่าเจียง มันเล่น CF ได้ไหม?”
เจียงฉินเสียบเมาส์แล้วกดปุ่มเปิดปิด: “นายหมายถึงครอสไฟร์เหรอ? ไม่รู้สิ ฉันยังไม่เคยลองเลย”
โจวเชาถูมือด้วยความอิจฉา: “ซื้อโน้ตบุ๊กมาแต่ไม่เล่นเกม เสียดายของชะมัด”
“นี่มันเวิร์กสเตชัน ไม่ใช่โน้ตบุ๊กไว้เล่นเกม มีความเป็นไปได้สูงที่มันจะเล่นเกมไม่ได้”
เหรินจื้อเฉียงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น: “งั้นดูหนังก็ได้ นายเคยดูเรื่องเซียนกระบี่พิชิตมารหรือยัง? ที่หูเกอแสดงนำน่ะ ฉันยังไม่ได้ดูตอนจบเลย!”
เจียงฉินหยิบแอร์การ์ดออกมาแล้วใส่ซิมการ์ดโทรศัพท์เข้าไป: “นายรู้เรื่องแพ็คเกจอินเทอร์เน็ตของมือถือไหม? ที่ราคาห้าหยวนสามสิบเมกะไบต์น่ะ นายคิดว่าดูซีรีย์ตอนหนึ่งมันใช้เน็ตเท่าไหร่?”
“เอ่อ.. เรื่องนี้ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน”
“อย่างน้อยก็ห้าร้อยเมกะไบต์ เมื่อเอามาคำนวณแล้ว การดูซีรีย์ตอนหนึ่งต้องใช้เงินมากกว่าหนึ่งร้อยหยวน”
เมื่อพูดถึงปัญหานี้เจียงฉินก็รู้สึกแย่นิดหน่อย
แม้ว่าอัตราการใช้งานโน้ตบุ๊คในปี 2008 จะยังไม่สูงมากนัก แต่ในหอพักแต่ละห้องก็มีอย่างน้อยหนึ่งหรือสองเครื่อง
ทว่าในมหาวิทยาลัยหลินชวนดันมีกฎบ้าๆ อยู่ข้อหนึ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้นักศึกษาหมกมุ่นอยู่กับสิ่งเร้าต่างๆ จนสูญเสียความคิดสร้างสรรค์ นักศึกษาทุกคนยกเว้นภาควิชาสาขาคอมพิวเตอร์จึงไม่ได้รับอนุญาตให้ต่อสายแลนอินเทอร์เน็ตเข้ามาในหอพัก
ตอนนี้เขาจึงทำได้เพียงเสียบซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือเพื่อใช้งานอินเทอร์เน็ต และยังต้องติดตั้งแอปพลิเคชันสำหรับตรวจสอบปริมาณการใช้ช้อมูลอีกด้วย ทันใดนั้นกลิ่นอายโบราณก็ตีแสกหน้าเขาเข้าจังๆ
“ถ้าเล่นเกมหรือดูหนังไม่ได้แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร?”
เฉากวงอวี่รู้สึกอิจฉาเล็กน้อย เขาวางแผนว่าจะโทรบอกพ่อให้ซื้อคอมพิวเตอร์ให้ และมันต้องเป็นคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่มีเสป็คสูงด้วย เขาจะไม่ยอมโดนเจียงฉินข่มอยู่ฝ่ายเดียวเด็ดขาด!
(จบตอน)