ตอนที่แล้วบทที่ 3 เพิ่มสถานะและเสริมทักษะพิเศษ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 5 การเชื่อมต่อได้สูญหายไปแล้ว..

บทที่ 4 ฮันส์และการแยกจิต


บทที่ 4 ฮันส์และการแยกจิต

เขาได้รับทักษะใหม่มาอีกอย่างหนึ่งแล้ว

คราวนี้มันดูเหมือนว่าจะเป็นทักษะย่อยที่สัมพันธ์กับทักษะเฉพาะตัวของเขา

และเมื่อตรวจสอบข้อมูลแล้ว เขาก็ยืนยันได้ในที่สุดว่าสิ่งที่เขาปรารถนาอย่างมาก็ได้เกิดขึ้นแล้ว เนื่องจากมันเป็นทักษะในการกลั่นกรองความรู้สึก

อวตารนั้นก็เป็นเพียงร่างกายอีกร่างหนึ่งสำหรับเขา

แม้ว่าการมีสองร่างกายจะมีข้อดี แต่ก็มีข้อเสียเช่นกัน

และค่าใช้จ่ายเรื่องอาหารที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าก็เป็นเพียงปัญหาเล็กน้อย

แต่สิ่งที่เป็นปัญหาหลักตอนนี้คือ..

‘ฉันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับประสาทสัมผัสของอวตารและอารมณ์ที่ถ่ายทอดออกมาโดยไม่ได้กรองนั้นเป็นอันตรายร้ายแรง’

การเพิกเฉยต่อประสาทสัมผัสโดยใช้สถานะหลับใหลของอวตารไม่ใช่ทางเลือกที่ดี และเมื่อได้รับอารมณ์หรือความรู้สึกที่รุนแรงมันจะต่างออกไป

'เช่น...ความตายหรือการบาดเจ็บสาหัส'

เมื่อร่างอวตารได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาก็ไม่สามารถละเลยอารมณ์และความรู้สึกอันรุนแรงเหล่านั้นได้

แน่นอนว่าเขาสามารถเรียกร่างอวตารกลับมาได้เมื่อมันอยู่ในสถานการณ์อันตราย

เขาเชื่อในเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงพยายามส่งอวตารไปยังอีกโลกหนึ่งในนามของเขา

“แต่วิกฤตหรืออุบัตินั้นอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อและทุกรูปแบบ ความไม่ระมัดระวังเพียงชั่วขณะอาจนำไปสู่ความตาย และในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดก็อาจจะทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสก็เป็นได้”

แม้ว่าเขาจะไม่ได้ประสบกับมันโดยตรง แต่เขาจะต้องได้รับผมกระทบทางจิตใจอย่างรุนแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้แต่หากมีคนเสียชีวิตตรงหน้าเขาๆก็รับไม่ได้ เนื่องจากเขามีสภาพจิตใจที่อ่อนแอกว่าคนทั่วไปในปัจจุบัน

ในเรื่องนี้ทักษะที่เขาได้รับครั้งนี้มีประโยชน์อย่างไม่น่าเชื่อ

ศูนย์กลางจิตใจทำให้สามารถกรองและประมวลผลสิ่งเร้าและอารมณ์ต่างๆ อย่างเลือกสรรที่ได้รับผ่านร่างอวตารได้

กล่าวอีกนัยหนึ่ง การเอาชนะการคลื่นไส้เมื่อเคลื่อนย้ายมิติเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น

เขาจะสามารถมีภูมิคุ้มกันต่อการปนเปื้อนทางจิตใจทั้งหมด รวมถึงความตายด้วย

เขาสามารถไปที่ไหนก็ได้และทำทุกสิ่งทุกอย่างโดยการควบคุมร่างอวตารเหมือนกับกำลังเล่นเกม

'ทั้งหมดนี้สามารถกลั่นกรองได้โดยทักษะแยกจิต!'

[ศักยภาพของอวาตารกำลังเพิ่มขึ้น การเติบโตกำลังเร่งตัวขึ้น]

ข้อความแจ้งเตือนยังคงดำเนินต่อไปราวกับว่ามันยังไม่สิ้นสุด

นั่นหมายความว่ามีการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมให้กับการเติบโตของอวตาร

'แต่เดี๋ยวก่อน ความแข็งแกร่งของร่างอวตารได้รับการพัฒนาให้ทรงพลังมากขึ้น...'

มันก็แปลว่าร่างอวตารจะเหนือกว่าและมีความสามารถมากกว่าร่างหลักของเขาไม่ใช่เหรอ?

“แต่ก็ช่างเถอะ เนื่องจากอวตารต้องออกไปเผชิญหน้ากับสิ่งอันตรายอยู่แล้ว การแข็งแกร่งขึ้นก็เป็นเรื่องดี แต่...”

ท่าทางวิตกกังวลปรากฏเล็กน้อยก็หายไป

'แม้ว่าจะแข็งแกร่งกว่าด้านร่างกาย แต่ด้อยกว่าด้านสมอง ดังนั้นจึงไม่เป็นไร ผู้บังคับบัญชาไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่งกว่าผู้ใต้บังคับบัญชา เรื่องนี้ถูกตัดไป..และมาดูกันว่ากรรมาจะเหลืออยู่เท่าไร'

[เพิ่มทักษะพิเศษ (500,000)]

[กรรมาที่มีอยู่ - 900,213]

กรรมาจำนวนมากนั้นก็ลดลงไปกว่าครึ่งแล้ว

เมื่อพิจารณาจากอัตราการบริโภคที่เพิ่มขึ้น ดูเหมือนว่าการปรับปรุงครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็เลือก 'การเพิ่มทักษะพิเศษ' เป็นครั้งสุดท้าย

มันมีประสิทธิภาพมากกว่าการเพิ่มคุณสมบัติอื่น ๆ ดังนั้นเขาจึงไม่มีการลังเลใดๆ

[เพิ่มทักษะพิเศษ (600,000)]

[กรรมาที่มีอยู่ - 400,213]

[ทักษะพิเศษได้รับการพัฒนาและขยายขอบเขตความเป็นไปได้ อวาตารทั้งหมดได้รับทักษะแบบสุ่ม]

การปรับปรุงครั้งสุดท้ายนี้ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวังเช่นกัน

ปลุกทักษะของอวตารแบบสุ่ม

ในสถานการณ์ที่แทบจะไม่มีความสามารถในการต่อสู้เลย มันถือเป็นพรสวรรค์ที่แท้จริง

'แน่นอนว่ามันอาจจะไม่ดีเท่าไร แต่ตอนนี้แม้แต่ทักษะเล็กน้อยก็ถือว่าช่วยได้มากแล้ว'

และการเปลี่ยนแปลงยังไม่หมด

ตอนนี้เขาสามารถมีร่างอวตารเพิ่มมาอีกหนึ่งแล้ว!

แปลว่าตอนนี้เขาสามารถมีร่างได้สามร่าง

ด้วยการปรับปรุงหลายประการและการเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานหลายอย่างพร้อมกันและความเข้มแข็งทางจิตใจอย่างต่อเนื่อง พร้อมด้วยความช่วยเหลือของ 'แยกจิต' ที่ทำให้ไม่มีความสับสนใดๆ แม้ว่าจะควบคุมหลายร่างพร้อมกัน

'อย่างไรก็ตาม ในอนาคตอาจมีอวตารใหม่ๆ ออกมาอีก ซึ่งอาจสร้างความสับสนได้ในภายหลัง จำเป็นต้องมีวิธีที่จะแยกแยะอวตารเหล่านี้ออกจากกัน'

สุดท้ายแล้วก็เป็นเรื่องการตั้งชื่อ

"ฉันไม่สามารถเรียกพวกเขาว่าอวตาร 1 หรือ อวตาร 2 ตลอดไปได้"

“แต่ฉันไม่ค่อยมีเซ้นต์ในการตั้งชื่อสิ่งต่างๆ”

"ชื่อ...ชื่องั้นหรือ…?"

เมื่อคิดเกี่ยวกับนี้ เขาก็ถอนหายใจและส่ายหัว

แม้ว่าจะมีสามหัว แต่ทั้งหมดก็มีความรู้สึกเหมือนกัน ดังนั้นการตั้งชื่อจึงไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก

“เอาเป็นว่า ‘ฮันส์’ ก็แล้วกัน มันพูดง่ายและไม่ได้ฟังดูแย่ขนาดนั้นหรอก..ใช่ไหม?”

เขาชี้ไปที่อวตารตัวแรกที่เขาเรียกออกมาและบอกชื่อที่ผุดขึ้นมาในหัวให้เขา

สิ่งที่เขาไม่ได้คาดการณ์ไว้คือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นทันที

ซิงโคนซ์เรียบร้อย—

“ห๊ะ? เกิดอะไรขึ้น…?”

มีคลื่นเล็กๆ แล่นผ่านจิตใจของเขา

ไม่มีความเจ็บปวดหรือความรู้สึกไม่สบายใดๆ แต่โดยสัญชาตญาณ เขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนไป

<ข้อมูลส่วนบุคคล>

-ชื่อ : ฮันส์

- ทักษะทั่วไป: 'แยกจิต' 'การฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว'

- ทักษะเฉพาะตัว 'ความสัมพันธ์กับเวทมนตร์'

-หมายเหตุพิเศษ: อวตารร่างแรกของฮันซองฮยอน

"...ฉันไม่ได้คาดหวังเกี่ยวกับสิ่งนี้"

ในขณะที่ทักษะ 'อวตาร' เติบโตขึ้น ข้อมูลของฮันส์ก็ถูกจารึกไว้ในใจของเขา

'อันที่จริง นี่อาจเป็นวิธีปกติในการได้รับหน้าต่างสถานะของร่างอวตาร'

ครั้งนี้การตั้งชื่ออวาตารดูเหมือนจะเป็นเงื่อนไขสำหรับการเปิดใช้งานมัน

'แต่ตัวอวตารนั้นมีแถบสถานะทั้งที่ฉันไม่มีด้วยซ้ำ'

แผงข้อมูลที่เพิ่งปรากฏขึ้นนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นผลลัพธ์จาก 'อวตาร' ที่เติบโตขึ้นเพื่อแยกแยะมันกับเขา

'ฉันน่าจะตั้งชื่อให้มันดูเท่กว่านี้ถ้ารู้ว่ามันจะมีผลเช่นนี้ ฉันคงต้องคิดหนักกว่านี้เกี่ยวกับชื่อของร่างต่อไป แต่ว่าทักษะเฉพาะตัว 'ความสัมพันธ์กับเวทมนตร์' งั้นหรือ'

ทักษะที่ทำให้สามารถสัมผัสและจัดการกับเวทมนตร์ได้ง่ายขึ้น

มันอาจเป็นประโยชน์สำหรับการเติบโตในอนาคต ซึ่งอาจหมายถึงความสามารถในการต่อสู้ทันทีไม่สามารถคาดเดาได้

อวตารที่สองเขาตั้งชื่อว่า 'ไฮนซ์'

ส่วนทักษะที่ได้รับก็คือ 'ความแข็งแกร่ง' ซึ่งเพิ่มความอดทนของร่างกายอย่างมาก

จากนั้นเขาก็ทำการทดลองบางอย่าง

“เฮ่อ...เฮ่อ...”

เขายืนอยู่หน้าประตูบ้าน โดยถือถุงขยะไว้ในมือข้างหนึ่ง และหายใจเข้าลึกๆ

แม้แต่การทิ้งถุงขยะเพียงใบเดียวก็เป็นเรื่องยาก

ก่อนหน้านี้ เขาต้องออกไปตั้งเช้าที่ไม่มีใครอยู่เลย เขาต้องรีบเดินไปโดยมองดูพื้นดินเท่านั้น

เมื่อเขาออกไปแล้วจะกลับมาด้วยขาสั่นและรู้สึกแทบจะเป็นลม เขาคงต้องทนเหงื่อและทรมานอยู่สักพัก

แต่ตอนนี้ถึงเวลาทดสอบ 'แยกจิต' แล้ว

ความสามารถนี้เขาตรวจสอบหลายครั้งทำให้เขามั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดปกติ แต่การออกไปข้างนอกตอนกลางวันแสกๆ ก็ทำให้เขาประหม่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

"เอาล่ะ ไปกันเลย!"

เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วจับลูกบิดประตูแล้วเปิดประตูออกกว้าง

ทันทีที่เขาก้าวออกไป ร่างกายของเขาก็ค่อยๆ สงบลงโดยสัญชาตญาณ

เขาสูดอากาศภายนอกผ่านโถงทางเดินและลงบันไดไป

แรงกระตุ้นที่จะหนีที่เคยหลอกหลอนเขาทุกครั้งที่ออกไปข้างนอกดูเหมือนจะไม่มีอยู่อีกต่อไป

เขาเดินเล่นอย่างสบาย ๆ ท่ามกลางแสงแดดไปที่จุดเก็บขยะและคัดแยกขยะ

หลังจากทิ้งขยะเสร็จแล้วเขาก็มองไปรอบๆ

บนพื้นเต็มไปด้วยก้นบุหรี่ เสียงพูดคุยของคุณยายที่อยู่อีกด้าน และเสียงหัวเราะของเด็กๆ จากสนามเด็กเล่นที่อยู่ไกลๆ

เขาหลับตาและสูดหายใจเข้าลึกๆ กลิ่นขยะก็ฉุนเข้าจมูก

“เฮ้ หนุ่มน้อย คุณมาทำอะไรที่นี่ อย่าขวางทาง..หลบออกไปทิ้งฉันจะทิ้งขยะ”

"โอ้..ขอโทษครับ"

เขาก้มหน้าด้วยความเขินอาย เดินกลับบ้านอย่างช้าๆ และมองไปรอบ ๆ อีกครั้ง

หัวใจของเขาพองโตเมื่อมองเห็นทัศนียภาพรอบ ๆ ใกล้บ้านของเขา ซึ่งเป็นมุมมองที่เขาไม่ได้เห็นมานานแล้ว

และเขาก็ดูมันเหมือนกับกำลังดูหนังจากในบ้าน แต่ความรู้สึกที่สัมผัสได้ทุกอย่าง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งที่อยู่ข้างนอกนั้นคือตัวเขาเอง

การเคลื่อนไหวร่างกาย การคิด และการพูด เป็นสิ่งที่เขาทำด้วยตัวเอง

แต่ก็ไม่มีความรู้สึกหวาดกลัว ไม่มีอาการสั่นสะท้าน ไม่มีเหงื่อออกเหมือนปกติ และเขาสามารถพูดคุยได้ตามปกติ

อารมณ์ต่างๆ มากมาย รวมถึงความกลัวแล้วความสับสน

เหมือนกับว่าความรู้สึกทั้งหมดที่รับรู้ผ่านร่างอวตารได้ผ่านการกรองแล้ว ซึ่งไม่มีผลกระทบอะไรต่อเขาเลย

บี๊บๆ - คลิก

เมื่อมีเสียงประตูหน้าเปิด ฮันส์ก็เดินเข้ามาอย่างสบายๆ เขาเดินไปล้างมือในห้องน้ำ

การตรวจสอบเสร็จสิ้นแล้ว

‘แยกจิต’ ได้ผลเกินกว่าที่คาดหวังไว้ และตอนนี้เขาก็สามารถทำอะไรเหมือนคนปกติได้แล้ว ด้วยร่างอวตารของเขา

'ตอนนี้ฉันก็สามารถไปยังโลกอื่นได้แล้ว'

และเมื่อเขาคุ้นเคยกับโลกภายนอกมากขึ้น จากนั้นในที่สุดเขาก็จะสามารถออกไปข้างนอกด้วยร่างกายที่แท้จริงของเขาได้เช่นกัน

….

เขาได้ทำการเตรียมตัวก่อนมุ่งหน้าไปยังโลกอื่นเป็นเวลาหลายวัน

เขาได้รับประโยชน์มากมายจากร้านค้ากรรมาก่อนหน้านี้ และเมื่อสามารถรับรองความปลอดภัยได้แล้ว ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่ไปอีกต่อไป

นอกจากความปรารถนาส่วนตัวของเขาที่จะสำรวจโลกอื่นแล้ว การเติบโตที่รวดเร็วยิ่งขึ้นก็เป็นสิ่งที่เขาต้องการเช่นกัน

แถมยังมีประโยชน์จากช่วยเวลาแล้ว ยังสามารถเรียนรู้สิ่งต่างจากผู้อเวคในโลกอื่นด้วย

'ในสังคมที่วุ่นวายนี้ ความแข็แกร่งคืออำนาจที่สำคัญที่สุด'

เขากำมือที่สั่นเทาไว้ พยายามระงับความทรงจำของ 'วันนั้น'

เขาไม่อยากรู้สึกสิ้นหวังอย่างไม่มีพลังอีกต่อไป

ด้วยการเตรียมตัวสำหรับการไปโลกอีกใบนี้ เขาสามารถสัมผัสได้ถึงคุณค่าที่แท้จริงของ 'การฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว' อย่างชัดเจน

ด้วยการที่เขาฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่องโดยไม่พักผ่อน แต่การพักผ่อนเพียงชั่วครู่ก็จะนำไปสู่การฟื้นตัวที่สมบูรณ์แบบ ส่งผลให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

น่าเสียดายที่ผลของการฝึกฝนอันเข้มข้นนั้นใช้ได้กับเฉพาะอวตารร่างนั้นเท่านั้น ไม่มีผลกับร่างหลักของเขา

แต่เนื่องจากมันถูกสร้างขึ้นเป็นตัวตนที่แยกจากกันมาตั้งแต่แรก ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถช่วยอะไรได้

'แต่ดูเหมือนว่าเอฟเฟกต์จากร้านค้ากรรมาจะแชร์กันเมื่อฉันเรียกอวาตารกลับมาที่ฉันอีกครั้ง'

ต่างจากตัวเขาที่ฝึกฝนที่บ้านซึ่งมีข้อจำกัด อวตารสามารถออกไปข้างนอกได้ ซึ่งช่วยให้เขาออกกำลังกายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เนื่องจากพลังฟื้นฟูอันเหนือธรรมชาติของมัน ฮันส์จึงออกกำลังกายร่างกายจนถึงขีดสุดในยิมที่ว่างเปล่า โดยหลีกเลี่ยงการได้รับความสนใจที่ไม่จำเป็น

และเมื่อเขาเริ่มรู้สึกว่ามีสิ่งน่าสงสัย เขาก็จะออกไปเพื่อเพิ่มความอดทน

ความเจ็บปวดจากการฝึกฝนที่หนักหน่วงสามารถกรองออกไปได้ผ่าน 'แยกจิต' ทำให้แบบฝึกหัดที่แสนทรหดกลายเป็นเพียงงานซ้ำๆ ธรรมดาๆ เท่านั้น

แน่นอนว่าเนื่องจากร่างกายหลักของเขาเล่นอินเทอร์เน็ตอยู่ที่บ้านอย่างสบายๆ จึงไม่ได้น่าเบื่อเลย แต่การที่มีอวาตารร 2 คนที่มีใบหน้าเดียวกันก็ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

ดังนั้นเขาจึงฝึกฝนฮันส์ที่ถูกกำหนดให้ไปยังโลกอื่นอย่างเข้มข้น และในเวลาเดียวกันก็ฝึกฝนที่บ้านและทำกิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจกับอวตารอีกร่าง

“โอ้! เคลียร์บอสเรียบร้อยแล้ว!”

"ดีมาก ไปต่อเลย!"

ในขณะที่กำลังเล่นเกมส์โหมดสองผู้เล่น ฮันส์ซึ่งเหงื่อท่วมตัวก็ได้เดินเข้าประตูหน้าและมุ่งหน้าไปยังห้องน้ำ โดยการหอบหายใจอย่างหนัก

การเห็นเขาซึ่งเพิ่งกลับมาจากการฝึกฝนอันแสนยากลำบาก ทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ เล็กน้อย เหมือนกับว่าเขากำลังทำอะไรผิดอยู่

'มันรู้สึกไม่สบายตัวนิดหน่อย มันเหมือนฉันโฟกัสที่แขนข้างเดียวแล้วละเลยส่วนอื่นของร่างกาย แล้วก็รู้สึกสงสารแขนข้างนั้น'

ก่อนที่ฮันส์จะออกมาจากห้องอาบน้ำ เขาจึงไปจัดโต๊ะอาหารไว้รอ

ด้วยการที่ราคาอาหารพุ่งสูงขึ้น มันจึงเป็นปัญหาเล็กน้อย

ด้วยการที่พวกเขาสามคนออกกำลังกายมากกว่าปกติ และคนหนึ่งแทบจะทรมานร่างกาย แคลอรี่ที่ถูกเผาผลาญจึงเกินกว่าที่จะจินตนาการได้

เมื่อคิดถึงค่าอาหารที่พุ่งสูงก็ทำให้เขาน้ำตาซึม แต่เขาตัดสินใจที่จะถือว่านี่เป็นการลงทุน

การนำไอเท็มที่มีประโยชน์กลับมาจากโลกอื่นผ่านทางอวตารก็น่าจะเพียงพอที่จะสร้างรายได้จำนวนมาก

'แม้ว่าการขายแบบลับๆ จะเป็นปัญหา แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็จะคลี่คลายไปเอง เพราะอวตารของฉันได้รับการปรับให้เหมาะสมสำหรับการก่ออาชญากรรมแล้ว'

แน่นอนว่าเขาไม่มีความตั้งใจที่จะหารายได้ด้วยการทำร้ายผู้บริสุทธิ์

เขาจะทำในสิ่งที่ไม่ทำให้ครอบครัวของเขาอับอายแต่อย่างใด

‘เพราะฉะนั้น ตอนนี้ฉันถึงจำเป็นต้องไปโลกอื่น’

เขาไม่ได้แข็งแกร่งมากนักเมื่อเทียบกับผู้กลับมาคนอื่นๆ ดังนั้นจึงไม่มีวิธีที่ชัดเจนในการหาเงินบนโลก

การใช้แรงงานเป็นสิ่งเดียวที่นึกถึงได้ตอนนี้

"ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับโลกอูเทริก้าเลยเหรอ?"

“นี่คือสถานที่ที่ไม่มีใครไปหรือ? หรือบางทีอาจไม่มีใครกลับมาเลยก็ได้ น่าเสียดายจัง”

การจัดระเบียบความคิดกลายเป็นนิสัยของเขาราวกับว่าเขากำลังสนทนากับอวตาร

เนื่องจากเขาขาดคู่สนทนาไประยะหนึ่ง…

ต่อไปนี้เมื่อเขาได้ทำการโต้ตอบกับคนอื่นๆ สิ่งต่างๆ จะค่อยๆ ดีขึ้น

แต่ก็ต้องใช้เวลาอีกสักพักหนึ่ง

เขาตรวจสอบอวาตารอุปกรณ์ป้องกันเช่นเดียวกับที่เขาทำตอนตอนเริ่มต้น

แต่ที่ต่างออกไปคือมันไม่ใช่อุปกรณ์ที่เขาเคยใช้มาก่อน แต่เป็นของที่เพิ่งได้มาใหม่

เมื่อต้องไปสู่อีกโลกหนึ่งที่ไม่สามารถคาดเดาได้ เขาจึงไม่สามารถส่งสิ่งของที่พ่อแม่เตรียมไว้ได้ ถึงแม้ว่าสิ่งของเหล่านั้นจะเตรียมไว้สำหรับกรณีฉุกเฉินก็ตาม

“อืม... ฉันคิดว่าทุกอย่างคงเสร็จสิ้นแล้ว”

จริงๆแล้วไม่จำเป็นต้องตรวจสอบหลายครั้งมากนักเพราะเขาสามารถกลับไปกลับมาได้ตลอดเวลา แต่เขาก็ต้องทำการตรวจสอบหลายครั้งเพื่อคลายความตึงเครียด

เขารู้ว่ามันปลอดภัย แต่แค่คิดว่าจะต้องไปอีกโลกหนึ่งก็ทำให้เขากังวลใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว

“'เรียกประตูมิติ'”

และต่อหน้าต่อตาเขา ประตูเคลื่อนย้ายที่เขาเคยเห็นมาก่อนหน้านี้ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

[การเคลื่อนย้ายไปยังมิติอูเทริก้าเสร็จสมบูรณ์แล้ว]

กระบวนการนี้ง่ายมาก

เขาเรียกประตูมิติออกมา ให้อวตารไปยืนบนนั้นและเปิดใช้งานมัน

มันเรียบง่ายมากจนความตึงเครียดที่เขารู้สึกเมื่อไม่กี่นาทีก่อนดูไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับการเดินทางตรงไปตรงมานี้สู่อีกโลกหนึ่ง

เมื่อการเคลื่อนย้ายเสร็จสิ้นและเขาก็ลืมตาขึ้น ทิวทัศน์ของป่าที่เขาเห็นเมื่อไม่นานมานี้ก็อยู่ตรงหน้าเขา

หรือพูดอย่างจริงจัง มันก็แตกต่างไปจากสิ่งที่เขาเคยเห็นมาก่อน

ต้นไม้สูงตระหง่านแม้ว่าจะดูคุ้นเคย แต่ก็ไม่สามารถมองเห็นบริเวณโดยรอบได้ชัดเจน

"มันเป็นเวลากลางคืนแล้ว..."

เขาถูกทิ้งไว้คนเดียวกลางป่าตอนกลางคืน

ด้วยความต่างของเวลาประมาณสิบเท่า มันเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่รู้เวลาของอีกโลก แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลยเกี่ยวกับความเสียใจในครั้งนี้

แม้ว่าตอนแรกเขาจะพยายามที่จะให้ตรงกับเวลาการเคลื่อนย้ายครั้งแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ต้องมีข้อผิดพลาดเป็นธรรมดา

เมื่อคิดถึงการเอาชีวิตรอดในป่าตอนกลางคืนแล้ว ไม่ต้องคิดเลย

แม้แต่ในป่าที่มีแสงสว่างเพียงพอ เขาก็ยังไม่รู้สึกมั่นใจด้วยซ้ำ

เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจย้ายสถานที่ทันที

"โดยทั่วไปแล้ว การเคลื่อนไหวอย่างไม่ระมัดระวังในป่าตอนกลางคืนไม่ใช่ทางเลือกที่ดี แต่..."

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ

เขามั่นใจในความสามารถทางกายที่แข็งแกร่งขึ้นและ "ฟื้นตัวได้เร็ว" แต่การขาดความรู้สึกถึงวิกฤตอาจเป็นปัญหาเช่นกัน

แต่นี้ก็เป็นอารมณ์ความรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง

เขาคิดว่าการเดินป่าตอนกลางคืนซึ่งมีความเสี่ยงนี้ก็ถือเป็นการผจญภัยที่น่าตื่นเต้นอย่าง

ด้วยจิตใจที่ตื่นตัวเช่นนี้ ขณะที่เขาดื่มด่ำไปกับความโรแมนติกของการผจญภัยในโลกอีกใบ เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน

จากนั้นสิ่งที่เขาเห็นในตอนแรกนั้นไม่ใช่ดวงดาว แต่เป็นดวงตาสีเหลืองเรืองแสงของสัตว์อสูร….

……………………………..

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด