บทที่ 4 ฮันส์และการแยกจิต
บทที่ 4 ฮันส์และการแยกจิต
เขาได้รับทักษะใหม่มาอีกอย่างหนึ่งแล้ว
คราวนี้มันดูเหมือนว่าจะเป็นทักษะย่อยที่สัมพันธ์กับทักษะเฉพาะตัวของเขา
และเมื่อตรวจสอบข้อมูลแล้ว เขาก็ยืนยันได้ในที่สุดว่าสิ่งที่เขาปรารถนาอย่างมาก็ได้เกิดขึ้นแล้ว เนื่องจากมันเป็นทักษะในการกลั่นกรองความรู้สึก
อวตารนั้นก็เป็นเพียงร่างกายอีกร่างหนึ่งสำหรับเขา
แม้ว่าการมีสองร่างกายจะมีข้อดี แต่ก็มีข้อเสียเช่นกัน
และค่าใช้จ่ายเรื่องอาหารที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าก็เป็นเพียงปัญหาเล็กน้อย
แต่สิ่งที่เป็นปัญหาหลักตอนนี้คือ..
‘ฉันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับประสาทสัมผัสของอวตารและอารมณ์ที่ถ่ายทอดออกมาโดยไม่ได้กรองนั้นเป็นอันตรายร้ายแรง’
การเพิกเฉยต่อประสาทสัมผัสโดยใช้สถานะหลับใหลของอวตารไม่ใช่ทางเลือกที่ดี และเมื่อได้รับอารมณ์หรือความรู้สึกที่รุนแรงมันจะต่างออกไป
'เช่น...ความตายหรือการบาดเจ็บสาหัส'
เมื่อร่างอวตารได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาก็ไม่สามารถละเลยอารมณ์และความรู้สึกอันรุนแรงเหล่านั้นได้
แน่นอนว่าเขาสามารถเรียกร่างอวตารกลับมาได้เมื่อมันอยู่ในสถานการณ์อันตราย
เขาเชื่อในเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงพยายามส่งอวตารไปยังอีกโลกหนึ่งในนามของเขา
“แต่วิกฤตหรืออุบัตินั้นอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อและทุกรูปแบบ ความไม่ระมัดระวังเพียงชั่วขณะอาจนำไปสู่ความตาย และในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดก็อาจจะทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสก็เป็นได้”
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ประสบกับมันโดยตรง แต่เขาจะต้องได้รับผมกระทบทางจิตใจอย่างรุนแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้แต่หากมีคนเสียชีวิตตรงหน้าเขาๆก็รับไม่ได้ เนื่องจากเขามีสภาพจิตใจที่อ่อนแอกว่าคนทั่วไปในปัจจุบัน
ในเรื่องนี้ทักษะที่เขาได้รับครั้งนี้มีประโยชน์อย่างไม่น่าเชื่อ
ศูนย์กลางจิตใจทำให้สามารถกรองและประมวลผลสิ่งเร้าและอารมณ์ต่างๆ อย่างเลือกสรรที่ได้รับผ่านร่างอวตารได้
กล่าวอีกนัยหนึ่ง การเอาชนะการคลื่นไส้เมื่อเคลื่อนย้ายมิติเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
เขาจะสามารถมีภูมิคุ้มกันต่อการปนเปื้อนทางจิตใจทั้งหมด รวมถึงความตายด้วย
เขาสามารถไปที่ไหนก็ได้และทำทุกสิ่งทุกอย่างโดยการควบคุมร่างอวตารเหมือนกับกำลังเล่นเกม
'ทั้งหมดนี้สามารถกลั่นกรองได้โดยทักษะแยกจิต!'
[ศักยภาพของอวาตารกำลังเพิ่มขึ้น การเติบโตกำลังเร่งตัวขึ้น]
ข้อความแจ้งเตือนยังคงดำเนินต่อไปราวกับว่ามันยังไม่สิ้นสุด
นั่นหมายความว่ามีการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมให้กับการเติบโตของอวตาร
'แต่เดี๋ยวก่อน ความแข็งแกร่งของร่างอวตารได้รับการพัฒนาให้ทรงพลังมากขึ้น...'
มันก็แปลว่าร่างอวตารจะเหนือกว่าและมีความสามารถมากกว่าร่างหลักของเขาไม่ใช่เหรอ?
“แต่ก็ช่างเถอะ เนื่องจากอวตารต้องออกไปเผชิญหน้ากับสิ่งอันตรายอยู่แล้ว การแข็งแกร่งขึ้นก็เป็นเรื่องดี แต่...”
ท่าทางวิตกกังวลปรากฏเล็กน้อยก็หายไป
'แม้ว่าจะแข็งแกร่งกว่าด้านร่างกาย แต่ด้อยกว่าด้านสมอง ดังนั้นจึงไม่เป็นไร ผู้บังคับบัญชาไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่งกว่าผู้ใต้บังคับบัญชา เรื่องนี้ถูกตัดไป..และมาดูกันว่ากรรมาจะเหลืออยู่เท่าไร'
[เพิ่มทักษะพิเศษ (500,000)]
[กรรมาที่มีอยู่ - 900,213]
กรรมาจำนวนมากนั้นก็ลดลงไปกว่าครึ่งแล้ว
เมื่อพิจารณาจากอัตราการบริโภคที่เพิ่มขึ้น ดูเหมือนว่าการปรับปรุงครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็เลือก 'การเพิ่มทักษะพิเศษ' เป็นครั้งสุดท้าย
มันมีประสิทธิภาพมากกว่าการเพิ่มคุณสมบัติอื่น ๆ ดังนั้นเขาจึงไม่มีการลังเลใดๆ
[เพิ่มทักษะพิเศษ (600,000)]
[กรรมาที่มีอยู่ - 400,213]
[ทักษะพิเศษได้รับการพัฒนาและขยายขอบเขตความเป็นไปได้ อวาตารทั้งหมดได้รับทักษะแบบสุ่ม]
การปรับปรุงครั้งสุดท้ายนี้ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวังเช่นกัน
ปลุกทักษะของอวตารแบบสุ่ม
ในสถานการณ์ที่แทบจะไม่มีความสามารถในการต่อสู้เลย มันถือเป็นพรสวรรค์ที่แท้จริง
'แน่นอนว่ามันอาจจะไม่ดีเท่าไร แต่ตอนนี้แม้แต่ทักษะเล็กน้อยก็ถือว่าช่วยได้มากแล้ว'
และการเปลี่ยนแปลงยังไม่หมด
ตอนนี้เขาสามารถมีร่างอวตารเพิ่มมาอีกหนึ่งแล้ว!
แปลว่าตอนนี้เขาสามารถมีร่างได้สามร่าง
ด้วยการปรับปรุงหลายประการและการเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานหลายอย่างพร้อมกันและความเข้มแข็งทางจิตใจอย่างต่อเนื่อง พร้อมด้วยความช่วยเหลือของ 'แยกจิต' ที่ทำให้ไม่มีความสับสนใดๆ แม้ว่าจะควบคุมหลายร่างพร้อมกัน
'อย่างไรก็ตาม ในอนาคตอาจมีอวตารใหม่ๆ ออกมาอีก ซึ่งอาจสร้างความสับสนได้ในภายหลัง จำเป็นต้องมีวิธีที่จะแยกแยะอวตารเหล่านี้ออกจากกัน'
สุดท้ายแล้วก็เป็นเรื่องการตั้งชื่อ
"ฉันไม่สามารถเรียกพวกเขาว่าอวตาร 1 หรือ อวตาร 2 ตลอดไปได้"
“แต่ฉันไม่ค่อยมีเซ้นต์ในการตั้งชื่อสิ่งต่างๆ”
"ชื่อ...ชื่องั้นหรือ…?"
เมื่อคิดเกี่ยวกับนี้ เขาก็ถอนหายใจและส่ายหัว
แม้ว่าจะมีสามหัว แต่ทั้งหมดก็มีความรู้สึกเหมือนกัน ดังนั้นการตั้งชื่อจึงไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก
“เอาเป็นว่า ‘ฮันส์’ ก็แล้วกัน มันพูดง่ายและไม่ได้ฟังดูแย่ขนาดนั้นหรอก..ใช่ไหม?”
เขาชี้ไปที่อวตารตัวแรกที่เขาเรียกออกมาและบอกชื่อที่ผุดขึ้นมาในหัวให้เขา
สิ่งที่เขาไม่ได้คาดการณ์ไว้คือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นทันที
ซิงโคนซ์เรียบร้อย—
“ห๊ะ? เกิดอะไรขึ้น…?”
มีคลื่นเล็กๆ แล่นผ่านจิตใจของเขา
ไม่มีความเจ็บปวดหรือความรู้สึกไม่สบายใดๆ แต่โดยสัญชาตญาณ เขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนไป
<ข้อมูลส่วนบุคคล>
-ชื่อ : ฮันส์
- ทักษะทั่วไป: 'แยกจิต' 'การฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว'
- ทักษะเฉพาะตัว 'ความสัมพันธ์กับเวทมนตร์'
-หมายเหตุพิเศษ: อวตารร่างแรกของฮันซองฮยอน
"...ฉันไม่ได้คาดหวังเกี่ยวกับสิ่งนี้"
ในขณะที่ทักษะ 'อวตาร' เติบโตขึ้น ข้อมูลของฮันส์ก็ถูกจารึกไว้ในใจของเขา
'อันที่จริง นี่อาจเป็นวิธีปกติในการได้รับหน้าต่างสถานะของร่างอวตาร'
ครั้งนี้การตั้งชื่ออวาตารดูเหมือนจะเป็นเงื่อนไขสำหรับการเปิดใช้งานมัน
'แต่ตัวอวตารนั้นมีแถบสถานะทั้งที่ฉันไม่มีด้วยซ้ำ'
แผงข้อมูลที่เพิ่งปรากฏขึ้นนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นผลลัพธ์จาก 'อวตาร' ที่เติบโตขึ้นเพื่อแยกแยะมันกับเขา
'ฉันน่าจะตั้งชื่อให้มันดูเท่กว่านี้ถ้ารู้ว่ามันจะมีผลเช่นนี้ ฉันคงต้องคิดหนักกว่านี้เกี่ยวกับชื่อของร่างต่อไป แต่ว่าทักษะเฉพาะตัว 'ความสัมพันธ์กับเวทมนตร์' งั้นหรือ'
ทักษะที่ทำให้สามารถสัมผัสและจัดการกับเวทมนตร์ได้ง่ายขึ้น
มันอาจเป็นประโยชน์สำหรับการเติบโตในอนาคต ซึ่งอาจหมายถึงความสามารถในการต่อสู้ทันทีไม่สามารถคาดเดาได้
อวตารที่สองเขาตั้งชื่อว่า 'ไฮนซ์'
ส่วนทักษะที่ได้รับก็คือ 'ความแข็งแกร่ง' ซึ่งเพิ่มความอดทนของร่างกายอย่างมาก
จากนั้นเขาก็ทำการทดลองบางอย่าง
“เฮ่อ...เฮ่อ...”
เขายืนอยู่หน้าประตูบ้าน โดยถือถุงขยะไว้ในมือข้างหนึ่ง และหายใจเข้าลึกๆ
แม้แต่การทิ้งถุงขยะเพียงใบเดียวก็เป็นเรื่องยาก
ก่อนหน้านี้ เขาต้องออกไปตั้งเช้าที่ไม่มีใครอยู่เลย เขาต้องรีบเดินไปโดยมองดูพื้นดินเท่านั้น
เมื่อเขาออกไปแล้วจะกลับมาด้วยขาสั่นและรู้สึกแทบจะเป็นลม เขาคงต้องทนเหงื่อและทรมานอยู่สักพัก
แต่ตอนนี้ถึงเวลาทดสอบ 'แยกจิต' แล้ว
ความสามารถนี้เขาตรวจสอบหลายครั้งทำให้เขามั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดปกติ แต่การออกไปข้างนอกตอนกลางวันแสกๆ ก็ทำให้เขาประหม่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
"เอาล่ะ ไปกันเลย!"
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วจับลูกบิดประตูแล้วเปิดประตูออกกว้าง
ทันทีที่เขาก้าวออกไป ร่างกายของเขาก็ค่อยๆ สงบลงโดยสัญชาตญาณ
เขาสูดอากาศภายนอกผ่านโถงทางเดินและลงบันไดไป
แรงกระตุ้นที่จะหนีที่เคยหลอกหลอนเขาทุกครั้งที่ออกไปข้างนอกดูเหมือนจะไม่มีอยู่อีกต่อไป
เขาเดินเล่นอย่างสบาย ๆ ท่ามกลางแสงแดดไปที่จุดเก็บขยะและคัดแยกขยะ
หลังจากทิ้งขยะเสร็จแล้วเขาก็มองไปรอบๆ
บนพื้นเต็มไปด้วยก้นบุหรี่ เสียงพูดคุยของคุณยายที่อยู่อีกด้าน และเสียงหัวเราะของเด็กๆ จากสนามเด็กเล่นที่อยู่ไกลๆ
เขาหลับตาและสูดหายใจเข้าลึกๆ กลิ่นขยะก็ฉุนเข้าจมูก
“เฮ้ หนุ่มน้อย คุณมาทำอะไรที่นี่ อย่าขวางทาง..หลบออกไปทิ้งฉันจะทิ้งขยะ”
"โอ้..ขอโทษครับ"
เขาก้มหน้าด้วยความเขินอาย เดินกลับบ้านอย่างช้าๆ และมองไปรอบ ๆ อีกครั้ง
หัวใจของเขาพองโตเมื่อมองเห็นทัศนียภาพรอบ ๆ ใกล้บ้านของเขา ซึ่งเป็นมุมมองที่เขาไม่ได้เห็นมานานแล้ว
และเขาก็ดูมันเหมือนกับกำลังดูหนังจากในบ้าน แต่ความรู้สึกที่สัมผัสได้ทุกอย่าง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งที่อยู่ข้างนอกนั้นคือตัวเขาเอง
การเคลื่อนไหวร่างกาย การคิด และการพูด เป็นสิ่งที่เขาทำด้วยตัวเอง
แต่ก็ไม่มีความรู้สึกหวาดกลัว ไม่มีอาการสั่นสะท้าน ไม่มีเหงื่อออกเหมือนปกติ และเขาสามารถพูดคุยได้ตามปกติ
อารมณ์ต่างๆ มากมาย รวมถึงความกลัวแล้วความสับสน
เหมือนกับว่าความรู้สึกทั้งหมดที่รับรู้ผ่านร่างอวตารได้ผ่านการกรองแล้ว ซึ่งไม่มีผลกระทบอะไรต่อเขาเลย
บี๊บๆ - คลิก
เมื่อมีเสียงประตูหน้าเปิด ฮันส์ก็เดินเข้ามาอย่างสบายๆ เขาเดินไปล้างมือในห้องน้ำ
การตรวจสอบเสร็จสิ้นแล้ว
‘แยกจิต’ ได้ผลเกินกว่าที่คาดหวังไว้ และตอนนี้เขาก็สามารถทำอะไรเหมือนคนปกติได้แล้ว ด้วยร่างอวตารของเขา
'ตอนนี้ฉันก็สามารถไปยังโลกอื่นได้แล้ว'
และเมื่อเขาคุ้นเคยกับโลกภายนอกมากขึ้น จากนั้นในที่สุดเขาก็จะสามารถออกไปข้างนอกด้วยร่างกายที่แท้จริงของเขาได้เช่นกัน
….
เขาได้ทำการเตรียมตัวก่อนมุ่งหน้าไปยังโลกอื่นเป็นเวลาหลายวัน
เขาได้รับประโยชน์มากมายจากร้านค้ากรรมาก่อนหน้านี้ และเมื่อสามารถรับรองความปลอดภัยได้แล้ว ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่ไปอีกต่อไป
นอกจากความปรารถนาส่วนตัวของเขาที่จะสำรวจโลกอื่นแล้ว การเติบโตที่รวดเร็วยิ่งขึ้นก็เป็นสิ่งที่เขาต้องการเช่นกัน
แถมยังมีประโยชน์จากช่วยเวลาแล้ว ยังสามารถเรียนรู้สิ่งต่างจากผู้อเวคในโลกอื่นด้วย
'ในสังคมที่วุ่นวายนี้ ความแข็แกร่งคืออำนาจที่สำคัญที่สุด'
เขากำมือที่สั่นเทาไว้ พยายามระงับความทรงจำของ 'วันนั้น'
เขาไม่อยากรู้สึกสิ้นหวังอย่างไม่มีพลังอีกต่อไป
ด้วยการเตรียมตัวสำหรับการไปโลกอีกใบนี้ เขาสามารถสัมผัสได้ถึงคุณค่าที่แท้จริงของ 'การฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว' อย่างชัดเจน
ด้วยการที่เขาฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่องโดยไม่พักผ่อน แต่การพักผ่อนเพียงชั่วครู่ก็จะนำไปสู่การฟื้นตัวที่สมบูรณ์แบบ ส่งผลให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
น่าเสียดายที่ผลของการฝึกฝนอันเข้มข้นนั้นใช้ได้กับเฉพาะอวตารร่างนั้นเท่านั้น ไม่มีผลกับร่างหลักของเขา
แต่เนื่องจากมันถูกสร้างขึ้นเป็นตัวตนที่แยกจากกันมาตั้งแต่แรก ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถช่วยอะไรได้
'แต่ดูเหมือนว่าเอฟเฟกต์จากร้านค้ากรรมาจะแชร์กันเมื่อฉันเรียกอวาตารกลับมาที่ฉันอีกครั้ง'
ต่างจากตัวเขาที่ฝึกฝนที่บ้านซึ่งมีข้อจำกัด อวตารสามารถออกไปข้างนอกได้ ซึ่งช่วยให้เขาออกกำลังกายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เนื่องจากพลังฟื้นฟูอันเหนือธรรมชาติของมัน ฮันส์จึงออกกำลังกายร่างกายจนถึงขีดสุดในยิมที่ว่างเปล่า โดยหลีกเลี่ยงการได้รับความสนใจที่ไม่จำเป็น
และเมื่อเขาเริ่มรู้สึกว่ามีสิ่งน่าสงสัย เขาก็จะออกไปเพื่อเพิ่มความอดทน
ความเจ็บปวดจากการฝึกฝนที่หนักหน่วงสามารถกรองออกไปได้ผ่าน 'แยกจิต' ทำให้แบบฝึกหัดที่แสนทรหดกลายเป็นเพียงงานซ้ำๆ ธรรมดาๆ เท่านั้น
แน่นอนว่าเนื่องจากร่างกายหลักของเขาเล่นอินเทอร์เน็ตอยู่ที่บ้านอย่างสบายๆ จึงไม่ได้น่าเบื่อเลย แต่การที่มีอวาตารร 2 คนที่มีใบหน้าเดียวกันก็ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
ดังนั้นเขาจึงฝึกฝนฮันส์ที่ถูกกำหนดให้ไปยังโลกอื่นอย่างเข้มข้น และในเวลาเดียวกันก็ฝึกฝนที่บ้านและทำกิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจกับอวตารอีกร่าง
“โอ้! เคลียร์บอสเรียบร้อยแล้ว!”
"ดีมาก ไปต่อเลย!"
ในขณะที่กำลังเล่นเกมส์โหมดสองผู้เล่น ฮันส์ซึ่งเหงื่อท่วมตัวก็ได้เดินเข้าประตูหน้าและมุ่งหน้าไปยังห้องน้ำ โดยการหอบหายใจอย่างหนัก
การเห็นเขาซึ่งเพิ่งกลับมาจากการฝึกฝนอันแสนยากลำบาก ทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ เล็กน้อย เหมือนกับว่าเขากำลังทำอะไรผิดอยู่
'มันรู้สึกไม่สบายตัวนิดหน่อย มันเหมือนฉันโฟกัสที่แขนข้างเดียวแล้วละเลยส่วนอื่นของร่างกาย แล้วก็รู้สึกสงสารแขนข้างนั้น'
ก่อนที่ฮันส์จะออกมาจากห้องอาบน้ำ เขาจึงไปจัดโต๊ะอาหารไว้รอ
ด้วยการที่ราคาอาหารพุ่งสูงขึ้น มันจึงเป็นปัญหาเล็กน้อย
ด้วยการที่พวกเขาสามคนออกกำลังกายมากกว่าปกติ และคนหนึ่งแทบจะทรมานร่างกาย แคลอรี่ที่ถูกเผาผลาญจึงเกินกว่าที่จะจินตนาการได้
เมื่อคิดถึงค่าอาหารที่พุ่งสูงก็ทำให้เขาน้ำตาซึม แต่เขาตัดสินใจที่จะถือว่านี่เป็นการลงทุน
การนำไอเท็มที่มีประโยชน์กลับมาจากโลกอื่นผ่านทางอวตารก็น่าจะเพียงพอที่จะสร้างรายได้จำนวนมาก
'แม้ว่าการขายแบบลับๆ จะเป็นปัญหา แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็จะคลี่คลายไปเอง เพราะอวตารของฉันได้รับการปรับให้เหมาะสมสำหรับการก่ออาชญากรรมแล้ว'
แน่นอนว่าเขาไม่มีความตั้งใจที่จะหารายได้ด้วยการทำร้ายผู้บริสุทธิ์
เขาจะทำในสิ่งที่ไม่ทำให้ครอบครัวของเขาอับอายแต่อย่างใด
‘เพราะฉะนั้น ตอนนี้ฉันถึงจำเป็นต้องไปโลกอื่น’
เขาไม่ได้แข็งแกร่งมากนักเมื่อเทียบกับผู้กลับมาคนอื่นๆ ดังนั้นจึงไม่มีวิธีที่ชัดเจนในการหาเงินบนโลก
การใช้แรงงานเป็นสิ่งเดียวที่นึกถึงได้ตอนนี้
"ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับโลกอูเทริก้าเลยเหรอ?"
“นี่คือสถานที่ที่ไม่มีใครไปหรือ? หรือบางทีอาจไม่มีใครกลับมาเลยก็ได้ น่าเสียดายจัง”
การจัดระเบียบความคิดกลายเป็นนิสัยของเขาราวกับว่าเขากำลังสนทนากับอวตาร
เนื่องจากเขาขาดคู่สนทนาไประยะหนึ่ง…
ต่อไปนี้เมื่อเขาได้ทำการโต้ตอบกับคนอื่นๆ สิ่งต่างๆ จะค่อยๆ ดีขึ้น
แต่ก็ต้องใช้เวลาอีกสักพักหนึ่ง
เขาตรวจสอบอวาตารอุปกรณ์ป้องกันเช่นเดียวกับที่เขาทำตอนตอนเริ่มต้น
แต่ที่ต่างออกไปคือมันไม่ใช่อุปกรณ์ที่เขาเคยใช้มาก่อน แต่เป็นของที่เพิ่งได้มาใหม่
เมื่อต้องไปสู่อีกโลกหนึ่งที่ไม่สามารถคาดเดาได้ เขาจึงไม่สามารถส่งสิ่งของที่พ่อแม่เตรียมไว้ได้ ถึงแม้ว่าสิ่งของเหล่านั้นจะเตรียมไว้สำหรับกรณีฉุกเฉินก็ตาม
“อืม... ฉันคิดว่าทุกอย่างคงเสร็จสิ้นแล้ว”
จริงๆแล้วไม่จำเป็นต้องตรวจสอบหลายครั้งมากนักเพราะเขาสามารถกลับไปกลับมาได้ตลอดเวลา แต่เขาก็ต้องทำการตรวจสอบหลายครั้งเพื่อคลายความตึงเครียด
เขารู้ว่ามันปลอดภัย แต่แค่คิดว่าจะต้องไปอีกโลกหนึ่งก็ทำให้เขากังวลใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว
“'เรียกประตูมิติ'”
และต่อหน้าต่อตาเขา ประตูเคลื่อนย้ายที่เขาเคยเห็นมาก่อนหน้านี้ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
[การเคลื่อนย้ายไปยังมิติอูเทริก้าเสร็จสมบูรณ์แล้ว]
กระบวนการนี้ง่ายมาก
เขาเรียกประตูมิติออกมา ให้อวตารไปยืนบนนั้นและเปิดใช้งานมัน
มันเรียบง่ายมากจนความตึงเครียดที่เขารู้สึกเมื่อไม่กี่นาทีก่อนดูไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับการเดินทางตรงไปตรงมานี้สู่อีกโลกหนึ่ง
เมื่อการเคลื่อนย้ายเสร็จสิ้นและเขาก็ลืมตาขึ้น ทิวทัศน์ของป่าที่เขาเห็นเมื่อไม่นานมานี้ก็อยู่ตรงหน้าเขา
หรือพูดอย่างจริงจัง มันก็แตกต่างไปจากสิ่งที่เขาเคยเห็นมาก่อน
ต้นไม้สูงตระหง่านแม้ว่าจะดูคุ้นเคย แต่ก็ไม่สามารถมองเห็นบริเวณโดยรอบได้ชัดเจน
"มันเป็นเวลากลางคืนแล้ว..."
เขาถูกทิ้งไว้คนเดียวกลางป่าตอนกลางคืน
ด้วยความต่างของเวลาประมาณสิบเท่า มันเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่รู้เวลาของอีกโลก แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลยเกี่ยวกับความเสียใจในครั้งนี้
แม้ว่าตอนแรกเขาจะพยายามที่จะให้ตรงกับเวลาการเคลื่อนย้ายครั้งแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ต้องมีข้อผิดพลาดเป็นธรรมดา
เมื่อคิดถึงการเอาชีวิตรอดในป่าตอนกลางคืนแล้ว ไม่ต้องคิดเลย
แม้แต่ในป่าที่มีแสงสว่างเพียงพอ เขาก็ยังไม่รู้สึกมั่นใจด้วยซ้ำ
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจย้ายสถานที่ทันที
"โดยทั่วไปแล้ว การเคลื่อนไหวอย่างไม่ระมัดระวังในป่าตอนกลางคืนไม่ใช่ทางเลือกที่ดี แต่..."
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ
เขามั่นใจในความสามารถทางกายที่แข็งแกร่งขึ้นและ "ฟื้นตัวได้เร็ว" แต่การขาดความรู้สึกถึงวิกฤตอาจเป็นปัญหาเช่นกัน
แต่นี้ก็เป็นอารมณ์ความรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง
เขาคิดว่าการเดินป่าตอนกลางคืนซึ่งมีความเสี่ยงนี้ก็ถือเป็นการผจญภัยที่น่าตื่นเต้นอย่าง
ด้วยจิตใจที่ตื่นตัวเช่นนี้ ขณะที่เขาดื่มด่ำไปกับความโรแมนติกของการผจญภัยในโลกอีกใบ เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน
จากนั้นสิ่งที่เขาเห็นในตอนแรกนั้นไม่ใช่ดวงดาว แต่เป็นดวงตาสีเหลืองเรืองแสงของสัตว์อสูร….
……………………………..