บทที่ 58 หมู่บ้านสปอร์
บทที่ 58 หมู่บ้านสปอร์
เมื่อเห็นบอสเสียชีวิต สิ่งแรกที่ทุกคนทำไม่ใช่การเฉลิมฉลองแต่กลับเป็นการนั่งพักอย่างหมดแรง
“เมื่อกี้ฉันนึกว่าบอสจะปล่อยสแตติคฟิลด์ออกมาอีกรอบซะแล้ว” จางจื่อโป๋กล่าวพลางหอบหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า
“ฉันก็รู้สึกเหมือนกัน เมื่อกี้ฉันสังเกตเห็นมันยกมือขึ้นมาแล้วด้วยซ้ำ” เหลิ่งเฟิงกล่าว
“น่าเสียดายที่อุปกรณ์ของพวกเราไม่ค่อยดี นี่ถ้าเรามีอุปกรณ์ดี ๆ ให้ใช้งานอีกสักหน่อย เราคงจะช่วยลู่หยางจัดการกับบอสได้ง่ายกว่านี้” จางจื่อโป๋กล่าว
ทุกคนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
เซี่ยหยู่เว่ยเห็นลู่หยางเดินไปเปิดช่องเก็บของของบอส เธอจึงถามขึ้นมาว่า
“เป็นไงบ้างได้? อุปกรณ์ดี ๆ อะไรมาหรือเปล่า?”
“ได้กางเกงนักเวทระดับเงิน” ลู่หยางตอบ ก่อนที่จะทำการแชร์ข้อมูลอุปกรณ์ให้ทุกคนได้ดู
แองโกโล่เลกกิ้ง (ระดับเงิน)
เลเวล 5
พลังป้องกัน 6-10
ความอดทน +3
สติปัญญา +8
พลังโจมตีเวท +18
อัตราคริติคอลทางเวทมนตร์ +8%
อัตราความแม่นยำทางเวทมนตร์ +8%
“ตามข้อตกลง กางเกงนี้เป็นของฉัน” ลู่หยางกล่าว
ทุกคนพยักหน้ารับอย่างไม่มีปัญหาและถึงแม้ว่าพวกเขาจะผิดหวังไปบ้าง แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าการเอาชนะบอสตัวนี้พวกเขาแทบที่จะไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรเลย
ลู่หยางเปลี่ยนไปใส่กางเกงตัวใหม่อย่างรวดเร็ว ทำให้พลังโจมตีเวทของเขาเพิ่มขึ้นอีก 26 หน่วยกลายเป็น 174 หน่วย
อย่างไรก็ตามชายหนุ่มก็ไม่ค่อยได้สนใจอุปกรณ์ชิ้นนี้เท่าไหร่ ก่อนที่เขาจะหันไปบอกกับทุกคนว่า
“หลังจากออกจากดันเจียน ทุกคนตามฉันมาได้เลย เดี๋ยวฉันจะพาพวกคุณไปหาจุดเก็บเลเวลใหม่”
ตอนแรกเซี่ยหยู่เว่ยคิดว่าลู่หยางจะพูดเล่น ๆ ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะพาพวกเธอไปยังจุดเก็บเลเวลที่เขาเคยพูดถึงเอาไว้จริง ๆ
“ขอบคุณค่ะ” เซี่ยหยู่เว่ยกล่าว ก่อนที่เธอจะหันไปบอกทุกคนว่า
“หลังจากออกไปให้รีบมารวมตัวกันโดยเร็วที่สุด”
หลังจากออกจากดันเจียนทุกคนก็กลับไปที่เมืองเซนต์กอลล์พร้อมกัน ซึ่งในทันใดนั้นชิงเฟิงก็ถือโอกาสเอ่ยอำลาทุกคน
“ทุกคน ฉันขอตัวก่อนนะหัวหน้ากิลด์เรียกหาตัวฉันแล้ว”
ลู่หยางรู้ดีว่าฉือมู่ต้องการรายละเอียดที่เขาพาชิงเฟิงไปลงดันเจียน เขาจึงพูดขึ้นมาว่า
“ครั้งนี้ต้องขอบคุณคุณมาก ฝากความขอบคุณไปหาหัวหน้ากิลด์ของคุณด้วยนะ”
“พวกเราต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณ การเปิดหูเปิดตาของคุณย่อมช่วยให้กิลด์ของเรานำหน้ากิลด์อื่นไปไกลแน่นอน” ชิงเฟิงกล่าวอย่างสุภาพ
ลู่หยางเผยรอยยิ้มโดยไม่พูดอะไร
ชิงเฟิงรู้สึกว่าเรื่องบางเรื่องเขาก็ไม่ควรที่จะพูดขึ้นมาด้วยตัวเอง และมันก็สมควรให้ฉือมู่มาพูดคงจะเป็นเรื่องที่เหมาะสมกว่า
“ไว้เจอกันใหม่นะทุกคน ถ้ามีเวลาพวกเราค่อยมาพบกันอีก” ชิงเฟิงโค้งคำนับก่อนที่จะหันหลังและเดินจากไป
เซี่ยหยู่เว่ยและจางจื่อโป๋ต่างก็มองตามชิงเฟิงด้วยแววตาเศร้าสร้อย เพราะทุกคนรู้ดีว่าหลังจากแยกทางกันในครั้งนี้โอกาสที่จะได้รวมทีมกันอีกคงจะเป็นเรื่องที่ยากมากแล้ว เพราะท้ายที่สุดชิงเฟิงก็คือรองหัวหน้ากิลด์ที่มีสมาชิกนับ 60,000 คน ส่วนพวกเขาก็เป็นเพียงแค่สตูดิโอเล็ก ๆ ที่มีสมาชิกเพียงแค่ 20 กว่าคนเท่านั้น
ลู่หยางสังเกตเห็นความเศร้าในแววตาของพวกเซี่ยหยู่เว่ย เขาจึงพูดปลอบใจขึ้นมาว่า
“พวกคุณไม่ต้องท้อแท้ไปหรอก เกมเพิ่งจะเปิดให้บริการตัวเกมจะพัฒนาไปทางไหนมันก็ไม่มีใครรู้ หากพวกคุณเตรียมตัวเตรียมเงินเอาไว้ตั้งแต่แรก ๆ พวกคุณก็สามารถจ้างผู้เล่นเป็นจำนวนมากและก่อตั้งกิลด์ขนาดใหญ่ขึ้นมาได้ด้วยเหมือนกัน”
“ฉันก็กำลังคิดแบบนั้นอยู่เหมือนกัน” เซี่ยหยู่เว่ยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
จางจื่อโป๋กับเหลิ่งเฟิงต่างก็พยักหน้าย้ำ ๆ ด้วยเช่นกัน เพราะในตอนนี้พวกเขาได้เห็นแล้วว่าเซคคัลเวิลด์มีอิทธิพลมากแค่ไหน และพวกเขาก็เห็นพ้องต้องกันว่าการลงทุนกับเกม ๆ นี้เป็นสิ่งที่คุ้มค่ามาก ๆ แล้ว
“เอาล่ะทุกคนไปกันเถอะ หลังจากนี้ให้เทเลพอร์ตไปที่หมู่บ้านยักษ์”
“ลูกพี่ ผมต้องไปด้วยไหม?” เสี่ยวเหลียงถาม
“ไม่ต้อง นายรออยู่ที่นี่ก่อนเดี๋ยวฉันจะพานายไปเก็บเลเวล” ลู่หยางตอบ
“ได้ครับ เดี๋ยวผมจะรอ” เสี่ยวเหลียงพยักหน้ารับ เพราะเขารู้ดีว่าลู่หยางจะพาเขาไปเก็บเลเวลภายในค่ายฮาล์ฟออร์คเหมือนเดิม
—
ลู่หยางพาพวกเซี่ยหยู่เว่ยไปยังหมู่บ้านยักษ์แนะนำให้ทุกคนรับภารกิจจากเฟร็ค และนำไอเท็มภารกิจซึ่งเป็นเชือกบ่วงมาใช้ในการปีนเขาขึ้นไปยังจุดบัคที่อยู่ทางด้านบน
“พวกคุณปีนเชือกขึ้นไปด้านบนได้เลย มอนสเตอร์ที่อยู่หลังภูเขาเป็นวัวป่าเลเวล 5 ทุกคนสามารถโจมตีระยะไกลใส่พวกมันได้โดยที่พวกมอนสเตอร์ไม่มีโอกาสโจมตีสวนกลับใส่พวกคุณเลยแม้แต่น้อย” ลู่หยางกล่าว
“ไอเท็มภารกิจเอามาใช้แบบนี้ได้ด้วยงั้นเหรอ?” จางจื่อโป๋ถามอย่างสับสน
“ตอนนี้ผู้เล่นเลเวล 5 มีอยู่น้อยมาก อย่างน้อยพวกคุณก็น่าจะสามารถเก็บเลเวลสบาย ๆ ไปได้อีกสองวัน” ลู่หยางกล่าว
พวกเซี่ยหยู่เว่ยต่างก็ขอบคุณลู่หยางอย่างใจจริง เพราะท้ายที่สุดวันนี้ก็เป็นวันที่ 3 ที่เกมเปิดให้บริการแล้วจำนวนของผู้เล่นก็เพิ่มมากขึ้นจากเดิมในทุก ๆ วัน แค่การพยายามหาสถานที่ฟาร์มโดยไม่มีคนมาแย่งก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก มันจึงไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงการมีคนมาบอกจุดฟาร์มแบบสบาย ๆ โดยไม่มีคนมาแย่งแบบจุดบัคแห่งนี้เลย
ลู่หยางอยากจะรีบกลับไปอัปเกรดหัวใจแห่งเทพอสูร หลังจากที่เขาพูดคุยกับพวกเซี่ยหยู่เว่ยยูอีกสักพักเขาก็กลับไปยังเมืองเซนต์กอลล์และใช้เงิน 1 เหรียญเงินเทเลพอร์ตไปยังเมืองไนท์เคอร์เทนซึ่งเป็นแผนที่เลเวล 20
เมืองไนท์เคอร์เทนเป็นเมืองที่ผู้เล่นในชาติก่อนโหวตให้เป็นเมืองอันดับ 9 ของสถานที่ที่พวกเขาไม่ชอบมากที่สุด เพราะสถานที่แห่งนี้มีแต่ต้นไม้สีดำสูงกว่า 10 เมตรอยู่เต็มไปหมด ตัวต้นไม้จึงบดบังท้องฟ้าเอาไว้จนมิดและทำให้ทุกคนรู้สึกราวกับว่าพวกเขาอยู่ภายใต้ความมืดตลอดเวลา
พื้นที่รอบเมืองไนท์เคอร์เทนเต็มไปด้วยหนองน้ำที่ทางตัวเกมลอกเลียนแบบมาจากโลกแห่งความเป็นจริง หากใครลงไปติดในบึงโคลนพวกเขาก็มีโอกาสที่จะเสียชีวิตสูงมาก ผู้เล่นหลาย ๆ คนจึงมีปมกับเมืองแห่งนี้และไม่ชอบสภาพแวดล้อมของเมืองไนท์เคอร์เทนเอาเสียเลย
อย่างไรก็ตามสำหรับลู่หยางสถานที่แห่งนี้ก็เปรียบเสมือนสรวงสวรรค์ เพราะในชาติก่อนหลังจากหาเรื่องพวกแบล็คบลัด เขากับพี่น้องก็อาศัยบึงโคลนนอกเมืองทำให้หลบหนีเอาชีวิตรอดมาได้
เมื่อคิดถึงแบล็คบลัด มันก็ทำให้ชายหนุ่มเต็มไปด้วยความโกรธอีกครั้งและความแค้นภายในจิตใจมันก็ทำให้หัวใจของชายหนุ่มกลับมาร้อนรน
เมื่อออกมาจากเมืองภาพเก่า ๆ ก็ทำให้เขาคิดถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ซึ่งหลังจากที่เขาเดินตามเส้นทางและสังหารมอนสเตอร์ไปบ้าง ในที่สุดเขาก็มาถึงสถานที่ที่มีชื่อว่าหมู่บ้านสปอร์
สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่แม้แต่ชาติก่อนก็มีผู้เล่นรู้จักอยู่น้อยมาก เพราะมันจำเป็นจะต้องเดินผ่านเส้นทางที่เป็นหนองน้ำสีดำอันน่าหวาดกลัว
ย้อนกลับไปลู่หยางได้พบเส้นทางมายังหมู่บ้านสปอร์โดยบังเอิญ ซึ่งในระหว่างการหลบหนีพวกแบล็คบลัดอยู่นั้น พวกเขาก็ไม่คิดเลยว่าภายในสถานที่อันน่ากลัวแบบนี้จะมีหมู่บ้านเล็ก ๆ ซ่อนตัวอยู่ด้วย
รอบหมู่บ้านถูกล้อมเอาไว้ด้วยรั้วไม้สีดำ ที่ทางเข้าหมู่บ้านมีสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์ 2 คนที่มีความสูงเพียงแค่ครึ่งเมตร มีผิวสีม่วง มีหัวเหมือนลูกรักบี้และมีดวงตาสีเหลือง 3 คู่ยืนเฝ้าเอาไว้
พวกเขาคือยามเฝ้าหมู่บ้านสปอร์เลเวล 5 และเมื่อพวกเขาเห็นคนแปลกหน้าเข้ามา ยามทั้งสองก็เริ่มตื่นตระหนก
ระบบ: คุณได้ค้นพบหมู่บ้านสปอร์
ชื่อเสียงของคุณในหมู่บ้านสปอร์อยู่ในระดับปกติ
ลู่หยางเดินไปหยุดอยู่หน้ายามทั้งสอง ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า
“ฉันเป็นนักเวทที่ออกเดินทางมาฝึกฝนแล้วบังเอิญพบเจอกับสถานที่แห่งนี้ ไม่ทราบว่าฉันขอเข้าไปเยี่ยมชมหมู่บ้านของพวกคุณหน่อยได้ไหม?”
ยามทางฝั่งซ้ายเริ่มพูดอะไรบางอย่างเป็นภาษาสปอร์ ซึ่งในตอนแรกที่ลู่หยางมายังสถานที่แห่งนี้เขาก็ฟังภาษาสปอร์ไม่ออกเหมือนกัน แต่หลังจากหลบหนีอยู่ในหมู่บ้านมานานกว่าครึ่งปี เขาก็พอจะฟังประโยคง่าย ๆ ในภาษาสปอร์ได้บ้าง
สิ่งที่ยามพูดมีความหมายโดยสรุปก็คือ “นักผจญภัยสามารถเข้าไปในหมู่บ้านได้ แต่หวังว่าคุณจะรีบออกไปจากสถานที่แห่งนี้โดยเร็วที่สุดเพราะหมู่บ้านแห่งนี้ไม่ต้อนรับคนนอก”
ลู่หยางพยักหน้าก่อนที่จะเดินตรงเข้าไปในหมู่บ้าน และเนื่องมาจากชาวสปอร์มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก บ้านเรือนของพวกเขาจึงมีขนาดเล็กกระทัดรัดตามขนาดลำตัวของพวกเขาไปด้วย
อาคารทั้งหมดทำจากไม้รูปร่างคล้ายต้นมะพร้าวที่ถูกปอกเปลือกออก ในหมู่บ้านเป็นอาคารที่มีขนาดใกล้ ๆ กัน แต่มีบ้านหลังหนึ่งที่ใหญ่กว่าอาคารหลังอื่น ๆ และมันก็คือบ้านของผู้ใหญ่บ้านนั่นเอง
ตอนนี้ผู้ใหญ่บ้านกำลังยืนอยู่ตรงบริเวณประตู เมื่อเขาเห็นลู่หยางเดินเข้ามาดวงตาของเขาก็เบิกกว้างอย่างเป็นประกาย ก่อนที่จะเริ่มพูดคุยกับชายหนุ่มโดยใช้ภาษากลางของทวีป
“มนุษย์หนุ่มเชิญทางนี้”
ลู่หยางเดินมาหาผู้ใหญ่บ้าน ก่อนที่เขาจะพูดอย่างนอบน้อม
“สวัสดีครับผู้อาวุโส ผมคือนักเวทที่กำลังผจญภัยออกสำรวจโลกกว้าง”
ผู้ใหญ่บ้านคนนี้ดูแก่มากแล้ว เขาจึงเงยหน้ามองลู่หยางพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า
“หนุ่มน้อย เจ้ามาที่นี่มีธุระอะไรงั้นเหรอ?”
“ผมแค่เดินผ่านมาและต้องการจะเข้ามาท่องเที่ยวเล็กน้อยเท่านั้นเอง ไม่ทราบว่าคุณมีเรื่องอะไรที่ต้องการจะให้ผมช่วยไหมครับ?” ลู่หยางถาม
“หนุ่มน้อย เจ้ายินดีจะช่วยพวกเราจริง ๆ เหรอ?” ผู้ใหญ่บ้านสปอร์ถาม
“แน่นอนครับ”
เมื่อชาติก่อนลู่หยางก็เริ่มพูดคุยกับผู้ใหญ่บ้านด้วยวิธีนี้ด้วยเช่นกัน เพราะเขาแค่ต้องการจะรู้ว่าที่นี่มีภารกิจให้ผู้เล่นทำไหม และเขาก็ไม่คิดเลยว่าผู้ใหญ่บ้านจะขอให้เขาจัดหาดาร์คสไปเดอร์ซิลค์และลูมินัสเอเลเมนท์เป็นจำนวนมาก
ตอนแรกลู่หยางคิดว่านี่คือภารกิจลับ แต่หลังจากที่เขาทำภารกิจส่งไปหลายสิบชุดเขาก็ได้พบว่าแท้ที่จริงมันคือภารกิจที่มีไว้เพื่อเพิ่มค่าความสัมพันธ์
ต่อมาในตอนที่ลู่หยางต้องการจะอัปเกรดหัวใจแห่งเทพอสูร เขาก็พึ่งตระหนักว่าแท้ที่จริงภารกิจนี้คือหนึ่งในภารกิจที่จำเป็นจะต้องทำเพื่อทำการอัปเกรดหัวใจแห่งเทพอสูรของเขานั่นเอง
ปั่นของอัปเกรดรัว ๆ เลย สู้เขา!