บทที่ 2 อวตาร
บทที่ 2 อวตาร
<ผู้อเวคที่ปลุกพลังของตนเองได้จะถูกส่งไปยังอีกโลกหนึ่ง และสามารถกลับมายังโลกได้โดยทำตามเงื่อนไขบางประการ นี่คือวิถีของยุคสมัยใหม่ เป็นสาเหตุพื้นฐานของความสับสนในสังคมปัจจุบันนี้>
-เกิดเหตุไฟไหม้อาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งในเขตจอนนัม ขณะนี้หน่วยดับเพลิงกำลังดำเนินการดับเพลิงอยู่
-คนวางเพลิงหลบหนีจากที่เกิดเหตุและหายตัวไป และสำนักงานจัดการความสามารถพิเศษสงสัยว่าพวกเขาเป็นอาชญากร ก่อนที่จะมีการเคลื่อนย้ายมิติหลังจากอเวค
“ในช่วงนี้ ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะรุนแรงเป็นพิเศษ”
เขาหันศีรษะขณะดูข่าววันนี้ที่ฉายทางทีวี ทุกวันนี้ดูเหมือนเหตุการณ์และอุบัติเหตุจะเกิดขึ้นไม่รู้จบทุกที่ แต่มันไม่เกี่ยวข้องกับเขาเลย เพราะเขานั่งอยู่ในห้องเล็กๆของตัวเอง
“อัตราการรอดชีวิตที่ต่ำก่อนการเคลื่อนย้ายมิติ นำไปสู่การก่ออาชญากรรมที่เห็นแก่ตัว แถมยังมีความโกลาหลที่ตามมาหลังจากการกลับมาของพวกเขา…”
หากไม่คำนึงถึงทฤษฎีวันสิ้นโลกที่ว่าโลกจะแตกสลายในปี 2000 ที่เวลาได้ผ่านไปกว่า 20 ปีแล้ว แต่โลกก็ยังคงสมบูรณ์อยู่
“เปล่าเลย..มันไม่สมบูรณ์ มันกำลังยุ่งเหยิงอย่างมาก” โลกไม่ได้แตกสลาย แต่มนุษยชาติต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงใหม่ และเขาก็ตกเป็นเหยื่อของการเปลี่ยนผ่านนี้
กรี๊งงง
เสียงกริ่งดังขึ้นอย่างกะทันหัน เขาเดินกะเผลกไปหาเครื่องโทรศัพท์ เพราะยังคงรู้สึกไม่สบายที่ขาข้างหนึ่งเนื่องจากอุบัติเหตุ
“มันเป็นวันนี้งั้นเหรอ…?”
บุคคลหนึ่งซึ่งมีสีหน้าสงบยืนอยู่ที่ประตู
“สวัสดี ฉันมาจากแผนกสอบสวนการเคลื่อนย้ายมิติของสำนักงานจัดการความสามารถพิเศษ คุณคือคุณฮันซองฮยอนใช่ไหม?”
เมื่อเขาเปิดประตูและเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ เขาก็ได้ยินเสียงเป็นทางการอีกครั้ง เขาเคยเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน แถมพวกเขาก็ยังคงใช้โทนเสียงแบบนี้เสมอ
“ใช่... ก็อย่างที่คุณเห็น”
เจ้าหน้าที่สอบสวนไม่ได้แปลกใจเมื่อได้ยินคำตอบตรงๆ ของเขา หลังจากตรวจใบหน้าของเขาด้วยแผ่นอิเล็กทรอนิกส์แล้ว เจ้าหน้าที่ก็บอกลาเขาทันที
“ใช่แล้ว คุณได้รับการยืนยันแล้ว หากคุณทำการปลุกพลังได้โปรดรายงานตัวที่สำนักงานจัดการความสามารถพิเศษด้วย..ขอให้มีวันที่ดี”
คลิก
การติดต่อของเขากับคนนอกหลังจากผ่านมาครึ่งปีได้สิ้นสุดลงในเวลาไม่ถึงนาที
"การอเวคและการเคลื่อนย้ายแบบสุ่มทำให้ไม่สามารถทราบได้ว่าใครหายตัวไปเมื่อไหร่ นี่คือปัญหา"
“ตามกฎหมาย การรายงานหลังจากอเวคถือเป็นหลักการ แต่ในโลกนี้มีอะไรที่สามารถเป็นไปตามกฎได้จริงหรือ? คนเราต้องมีวิธีแก้ปัญหาที่เป็นหนทางของตัวเอง!”
เขาทิ้งทีวีไว้ข้างหลังแล้วมุ่งหน้าไปที่ห้องครัว
“อ่า เมื่อคิดดูดีๆ อาหารฉันหมดแล้วงั้นเหรอ?”
ถึงกระนั้นเขาก็ยังเปิดตู้เย็นด้วยความหวัง แต่กลับพบกับความว่างเปล่า
เขาหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาเพื่อสั่งของ แต่ก็ต้องวางลงไม่นานหลังจากนั้น
“…ช่างมันเถอะ ฉันจะสั่งอาหารมาส่งทีหลัง”
อุบัติเหตุครั้งนั้นไม่เพียงพรากชีวิตครอบครัวและขาของเขาไปเท่านั้น แต่ยังพรากความกล้าหาญของเขาไปด้วย ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเขาถูกกักตัวอยู่ที่บ้านและสื่อสารกับโลกภายนอกผ่านเพื่อนเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่และการติดต่อทางอินเทอร์เน็ตเท่านั้น
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงต้องทนรับการตรวจสุขภาพรายเดือนและการตรวจเยี่ยมทุกๆ 6 เดือน
“การสืบสวนการเคลื่อนย้ายมิติมันไร้ประสิทธิผล! มันเป็นเพียงผลงานจากการทำงานบนโต๊ะเท่านั้น...”
"แต่เราก็ไม่สามารถนั่งเฉย ๆ และไม่ทำอะไรเลยไม่ได้ใช่ไหม?..."
เมื่อกลับมาที่ห้องนั่งเล่นเขาก็ได้ยินเสียงจากทีวี และใช้มันเป็นเพื่อนของเขา ซึ่งเขาได้ทำเช่นนี้มาเป็นเวลาสองปี
"วูบๆ!"
อุปกรณ์ออกกำลังกายหลากหลายประเภทถูกจัดวางไว้ในมุมหนึ่งของห้องนั่งเล่น ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่เขาใช้ฝึกฟื้นฟูขาเป็นประจำทุกวัน
“... ไม่ว่าฉันจะทำอย่างไรก็ไร้ประโยชน์”
แม้ว่าร่างกายของเขาจะแข็งแรงขึ้น แต่ก็ไม่มีสัญญาณใดๆ ที่บ่งชี้ถึงความคืบหน้าในการบรรลุเป้าหมายเบื้องต้นในการฟื้นฟูขาของเขาเลย
แม้จะรู้ว่ามันไร้ประโยชน์ แต่เขาก็หยุดไม่ได้ และทำกิจวัตรเดิมๆ ซ้ำๆ ซากๆ แบบนี้เป็นนิสัย หากเขาเอาชนะความพิการได้ เขาคิดว่าเขาเอาชนะความเจ็บปวดทางใจได้เช่นกัน
หากเขายอมแพ้ เขารู้สึกเหมือนว่าจะไม่มีอะไรเหลือให้เขาทำได้อีกแล้ว
"อึก..."
จู่ๆ เขาก็เกิดความไม่แน่ใจในตัวเอง เขาจึงวางดัมเบลลงและจ้องมองเพดานอย่างครุ่นคิด
ทำไมมันถึงเป็นอย่างนี้? ในโลกนี้คงมีคนโชคร้ายเหมือนเขาอีกหลายคน แล้วทำไมเขาถึงทนไม่ได้ล่ะ? ทำไมร่างกายของเขาถึงสั่นสะท้านด้วยความกลัวเพียงแค่คิดว่าต้องก้าวออกไป?
หากเขามีความกล้ามากกว่านี้ ทุกอย่างคงจะต่างออกไป หากเขาก้าวออกจากห้องนี้และไปที่ไหนสักแห่ง…
จากนั้นเขาก็ตกอยู่ในหนองน้ำแห่งการโทษตัวเอง
“ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของมิติ การเข้าถึงระบบ..”
จู่ๆ ประโยคนั้นก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา และเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้
“กะ...เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?”
และในไม่ช้าเขาก็ตกอยู่ในความตื่นตระหนก
นี่เขาได้ทำการอเวคแล้วใช่ไหม?..
แล้วจากนี้ไปเขาก็จะถูกส่งตัวไปอีกโลกหนึ่งใช่ไหม?
แต่เขาจะอยู่รอดในโลกนั้นได้จริงหรือด้วยความสามารถที่เพิ่งค้นพบนี้ และหากเขาไม่สามารถตัดความกลัวในการก้าวออกไปจากประตูได้ล่ะ..
อย่างไรก็ตาม ความกลัวของเขาไม่ได้รับความเมตตา เนื่องจากข้อความยังคงปรากฏราวกับว่าสถานการณ์ของเขาไม่สำคัญ
“การอเวคเสร็จสมบูรณ์แล้ว ทักษะพิเศษ 'อวตาร' ได้รับการปลุกขึ้นมาแล้ว..
เหลือเวลาอีก 24 ชั่วโมงก่อนการเคลื่อนย้าย”
และเมื่ออ่านข้อความสุดท้าย เขาก็หมดสติไป
“โอย... หัวฉัน...”
หัวของเขาเต้นระรัวด้วยความเจ็บปวด เมื่อเขารู้สึกตัวข้างนอกก็มืดแล้ว เขารู้สึกกระหายน้ำมากจึงพยายามลุกขึ้นและดื่มน้ำจากห้องครัวก่อนจะนึกอะไรบางอย่างได้
“ห๊ะ? ขาฉันหายดีแล้วเหรอ?”
เขาขยับขาไปมาช้าๆ แม้จะยังไม่หายดี แต่ก็ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก
“การเสริมพลังกายหลังการอเวคงั้นหรือ? การฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์จะเป็นไปได้หรือไม่หากยังคงดำเนินต่อไปเช่นนี้?”
เขาหยุดรถไฟแห่งความสุขและเผชิญกับความจริง ด้วยปัญหาที่มีอยู่ว่าเขากลัวการออกไปข้างนอกนั้น โอกาสที่เขาจะอยู่รอดและเติบโตในโลกนั้นด้วยขาที่ไม่ปกิตและกลับมาอีกครั้งนั้นมีเท่าไร?
“ใครจะสนใจเรื่องโอกาส ฉันอาจจะต้องตายที่ไหนสักแห่งในไม่ช้าอยู่แล้ว”
เมื่อคิดถึงว่าแม้แต่นักกีฬาที่เก่งกาจและหน่วยรบพิเศษจำนวนมากที่ไม่สามารถกลับมาได้ แล้วเขาจะทำอย่างไรได้?
แน่นอนว่านั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะนั่งเฉย ๆ แล้วยอมแพ้ไป
“อวตาร... ฟังจากชื่อ ดูเหมือนมันจะไม่ค่อยมีประโยชน์สักเท่าไหร่...”
ไม่มีหน้าจอสถานะที่ใช้งานง่ายเหมือนในเกม ไม่มีคำอธิบายทักษะโดยละเอียด เขาต้องขยับร่างกายเพื่อทำความเข้าใจความสามารถทางกายภาพและสถานะของตัวเอง และข้อมูลที่ประทับอยู่ในใจของเขามีสิ่งเดียว นั่นคือข้อมูลเกี่ยวกับทักษะ ดังนั้นทิศทางการเติบโตของเขาขึ้นอยู่กับเขาโดยสิ้นเชิง
“ลองใช้ดูสักครั้งก่อนก็แล้ว ฉันไม่รู้เลยว่าจะทำอะไรกับร่างอวตารนี้ได้บ้าง”
การใช้ความสามารถที่ปลุกขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เขาหลับตาแล้วใช้มันตามที่มีความทรงจำในใจ
เขาตระหนักว่าทักษะพิเศษของเขาได้รับการเปิดใช้งานอย่างถูกต้องแล้ว
จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
ตัวเขาอีกคนยืนอยู่ตรงหน้าเขา สวมชุดออกกำลังกายหลวมๆ ผมยุ่งๆ ตาเบิกกว้างราวกับกำลังสังเกต
เขาตรวจดูตัวเองว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ ไม่ว่าจะมองยังไงก็ต้องเป็นเขาอย่างแน่นอน แม้แต่การขยับศีรษะก็รู้สึกเหมือนกำลังส่องกระจก
เมื่อพวกเขายื่นมือขวามาจับมือกัน เขารู้สึกอบๆ มันเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่านั่นไม่ใช่ภาพลวงตา แต่เป็นสิ่งที่จับต้องได้
ทว่าจู่ๆ เขาก็รู้สึกสับสนในสายตาของตัวเอง
แม้ว่าเขาจะโฟกัสกันและกันเหมือนกับมองในกระจก แต่เขาไม่ได้สังเกตเห็นว่าการมองเห็นของเรามีการทับซ้อนกันเลย
ยิ่งเห็นชัดเจนมากขึ้นเมื่อเรายืนหันหน้าเข้าหากัน ตอนนี้เขามองเห็นทั้งด้านหน้าและด้านหลังได้ในเวลาเดียวกัน!
แต่เมื่อมีร่างกายแยกจากกัน การเคลื่อนไหวจึงกลายเป็นเรื่องท้าทายยิ่งขึ้น เมื่อร่างกายสองร่างเคลื่อนไหวแยกจากกัน แขนและขาของเขาจึงพันกัน และระยะการมองเห็นที่ขยายออกไปก็ทำให้เวียนหัว เขารู้สึกแปลกแยกมาก ราวกับว่ามีสมองส่วนอื่นๆ อีกส่วนหนึ่งที่ทำงานพร้อมกัน
“แปลว่าตอนนี้ฉันถึงมีสมองสองอันงั้นหรือ?”
แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องชินกับมัน เพราะนี่เป็นหนทางเดียวที่เขาจะอยู่รอดได้
กรอดดด~...
...แต่วันนี้เขาเป็นลมเพราะยังไม่ได้กินอะไรเลย
จากนั้นเขาจึงเริ่มต้นฉีกไก่กินเพื่อฟื้นคืนพลังก่อน
….
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา
“โอ้..นี่มันยากที่จะชำนาญจริงๆ”
ตามที่คาดไว้มันยากเกินไป แต่ตอนนี้เขาก็เริ่มที่จะชินกับมันบ้างแล้ว ตอนนี้เขาสามารถเรียกและดึงกลับได้อย่างคล่องแคล่ว และหากร่างหนึ่งหยุดนิ่งร่างหนึ่งก็สามารถเคลื่อนไหวได้ตามปกติ แต่เมื่อเขาพยายามเคลื่อนไหวทั้งสองร่างพร้อมกัน เขาสะดุดเป็นระยะๆ และถึงแม้จะเป็นแบบนั้น การเคลื่อนไหวช้าๆ เขาก็ยังพอทำได้อยู่
“ฉันจะสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วก่อนออกไปข้างนอกได้ไหมนะ…?”
หากเขามีเวลาเพียงพอ เขาคงสามารถทำความคุ้นเคยกับการใช้ความสามารถของตัวเองมากขึ้น อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาเหลือเวลาไม่มากแล้ว
“ตอนนี้ฉันต้องเตรียมตัวสำหรับการเคลื่อนย้าย...”
เขาหยิบของต่างๆ ในบ้านและสิ่งของที่สั่งไว้ก่อนหน้านี้ออกมาจัดวางให้เป็นระเบียบ และทำการบรรจุสิ่งของเอาตัวรอดใส่กระเป๋า เช่น เหล็กกล้าสำหรับจุดไฟและเครื่องมืออเนกประสงค์ มีดอเนกประสงค์พกพา อาหารกระป๋องและขวดน้ำเดินป่า เขาไม่สามารถนำอาวุธจริงติดตัวไปได้ ด้วยเหตุผลบางประการอาวุธจึงถูกจำกัดไม่ให้สามารถโอนย้ายข้ามมิติไปได้ ความพยายามที่จะนำอาวุธปืนไปในต่างโลกล้วนล้มเหลว และเขาได้เรียนรู้ว่าแม้แต่มีดก็ถือเป็นขีดจำกัดในบรรดาอาวุธที่สามารถนำไปได้แล้ว
เขาก็สวมใส่สิ่งของที่พ่อแม่เตรียมไว้ก่อนที่พวกท่านจะเสียชีวิต ซึ่งเขาซื้อมาเก็บไว้ในโกดังเผื่อว่าจะต้องใช้งานในอนาคต เช่น อุปกรณ์ด้านความปลอดภัยทั้งหลาย พวกหมวกกันน็อคแบบเปิดหน้าที่ไม่บดบังวิสัยทัศน์ แผ่นรองเข่า สนับศอก และเสื้อกั๊กป้องกัน
"ฉันไม่คิดว่าฉันจะได้ใช้สิ่งเหล่านี้จริงๆ"
และเขาต้องการที่จะโทรหาเพื่อนคนเดียวของเขา แต่เมื่อพยายามโทรไปหลายครั้งก็ไม่มีใครรับสาย เขาจำได้ว่าอีกฝ่ายบอกว่ายุ่งอยู่พักหนึ่ง ดังนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่คาดไม่ถึง เขาจึงส่งข้อความหา และแม้จะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็วางสายไป
ในที่สุด เขาก็สงบสติอารมณ์ลงในขณะที่กำลังค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับโลกอีกใบที่จะเคลื่อนย้ายไปที่เขียนไว้ในเว็บไซต์ โลกที่เขาจะถูกส่งไปนั้นเป็นโลกแบบสุ่ม และจำนวนสถานที่ที่ค้นพบจนถึงตอนนี้ก็มีมากกว่าร้อยแห่ง เขาไม่รู้แน่ชัดว่าจะลงเอยที่ไหน แต่ก็ยังดีกว่าไม่รู้อะไรเลย
ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความสามารถของเขาที่ยังไม่เชี่ยวชาญและโรคกลัวโลกภายนอกนั้น ทำให้เขากังวลว่าเขาจะปรับตัวในมิติต่างโลกได้หรือไม่ แต่ถึงกระนั้นความมุ่งมั่นที่จะเอาชีวิตรอดและประสบการณ์ที่เขาได้เจอมาทำให้จิตใจเขาสงบลงไม่น้อย
ขณะที่เขากำลังพยายามสงบจิตใจด้วยการหายใจเข้าลึกๆ ก็มีแสงสีฟ้าปรากฏขึ้นใต้เท้าของเขา
เหลืออีก 10 นาทีก่อนการเคลื่อนย้าย
เขามองลงไปที่เครื่องหมายการเคลื่อนย้ายมิติใต้เท้าของเขา เขาจะต้องยืนอยู่ในพื้นที่นี่และถูกเคลื่อนย้ายไปยังอีกโลกหนึ่งภายใน 10 นาที ซึ่งเขาจะต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดโดยไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน
“ไม่ได้กล่าวไว้หรือว่าการเสื่อมของร่างกายจะไม่เป็นไปตามกาลเวลาในขณะที่อยู่ในอีกโลกหนึ่ง? หากฉันสามารถเอาชีวิตรอดได้ นี่ย่อมเป็นเรื่องที่ดีอย่างแน่นอน”
การไหลของเวลาจะแตกต่างกันไปในแต่ละโลกที่ถูกเคลื่อนย้ายไป แต่โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 1:10
“...ว่ากันว่าโดยปกติแล้วการกลับมาจะใช้เวลาหนึ่งปีเป็นอย่างน้อย และการต้องเอาชีวิตรอดในโลกอีกใบนี้ด้วยระยะเวลาหลายปีนั้น...ไม่ใช่เรื่องตลก”
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาก็ถอยหลังหนึ่งก้าวและก้าวออกจากเครื่องหมายเคลื่อนย้ายโดยไม่ได้ตั้งใจ ผลก็คือแสงสีน้ำเงินเริ่มเปล่งแสงสีแดง แสงสีแดงของเครื่องหมาเคลื่อนย้ายนั้นมันจะเป็นคำเตือน หากถึงเวลาที่กำหนดแสงสีแดงจะส่งบุคคลที่ปลุกพลังแล้วไปยังอีกโลกหนึ่งโดยบังคับ
เขาได้ทิ้งสัมภาระที่เตรียมไว้เป็นอย่างดีไว้ข้างหลังและยืนนิ่งอยู่ที่นั่นด้วยร่างกายที่ไม่มีอุปกรณ์อะไร ด้วยสถานการณ์ตรงหน้าทำให้จิตใจของเขาก็กระสับกระส่ายอีกครั้ง
ทันใดนั้นเขาก็จำได้ว่าเขาไม่ได้รายงานการอเวคของตัวเองให้กับหน่วยงานจัดการความสามารถพิเศษได้ทราบ แต่เขาก็รู้ว่ามันสายเกินไปที่จะทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาจึงลบความคิดนั้นออกจากใจทันที
“อ่า... ถ้ามีคนอื่นขึ้นไปแทนฉันก็คงจะดี...”
แน่นอนว่ามันเป็นเพียงความคิดที่ไร้สาระ เวลาผ่านไปประมาณยี่สิบปีแล้วนับตั้งแต่การอเวคและการเคลื่อนย้ายมิติข้ามโลกได้เริ่มขึ้น และไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยที่จะบอกว่าผู้คนทั่วโลกได้พยายามหลีกหนีทุกวิถีทางแล้ว แม้ว่าจะมีคนอื่นขึ้นไปยืนแทน แต่เครื่องหมายการเคลื่อนย้ายก็จะยังคงเป็นสีแดง และมันยังคงบังคับให้เจ้าตัวที่ขึ้นไปและส่งเขาไปโดยไม่สนใจอะไร
เครื่องหมายการเคลื่อนย้ายระหว่างโลกจะรับรู้และทำงานเฉพาะกับบุคคลที่ทำการอเวคเท่านั้น จากนั้นความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในใจเขา
“บางที... ไม่หรอก ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ถ้ามันได้ล่ะ..ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะ”
เขาเปิดใช้งาน "อวตาร" ทันที อวตารที่เรียกออกมาสวมชุดออกกำลังกายหลวมๆ เหมือนเดิม จากนั้นเขาก็ใช้ความคิดและร่างโคลนก็ปีนขึ้นไปบนเครื่องหมายการเคลื่อนย้ายอย่างงุ่มง่าม และสีของเครื่องหมายการเคลื่อนย้ายก็เริ่มเปลี่ยนไป
“มันได้ผล! หือ..แต่ทำไม..?”
เมื่อดูเหมือนว่าแสงจากเครื่องหมายการเคลื่อนย้ายกำลังจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน แต่มันกลับหยุดลงตรงกลาง เขาถอนหายใจด้วยความผิดหวังเมื่อมองดูแสงสีม่วงที่เปล่งออกมาจากเครื่องหมายการเคลื่อนย้าย
“ฉันคิดไว้แล้วว่าต้องเป็นอย่างนี้ เพราะยังไงมันคงไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก”
และเขาก็อยากรู้ว่าถ้าอยู่ในสถานะนี้จะเกิดอะไรขึ้นถ้ากาลเวลาผ่านไป แต่เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะเคลื่อนย้ายไปด้วยตัวเองอยู่แล้ว
เพราะหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น โอกาสเอาชีวิตรอดที่น้อยอยู่แล้วก็จะกลายเป็นศูนย์ ดังนั้นสถานการณ์นี้จึงเหมือนกับว่า "ลองดูถ้าได้ผลก็ดี แต่ถ้าไม่ได้ผลก็เดินหน้าต่อไป" และดูเหมือนว่าเขาจะคาดหวังสิ่งนี้ไว้มากโดยไม่รู้ตัว
เขาลงนั่งพร้อมกับมองดูนาฬิกา ตอนนี้เหลือเวลาอีกเพียง 5 นาทีเท่านั้น จริงๆ แล้วเวลาก็เหลือไม่มากแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องตั้งสติและลุกขึ้น
เขาหลับตาแน่น สูดหายใจเข้าลึกๆ เป็นครั้งสุดท้าย และใน "สายตา" ของเขา เขาเห็นตัวเองนั่งหลับตาพร้อมอาวุธครบมือ
โดยไม่รู้ตัวจิตสำนึกส่วนใหญ่ของเขาก็ไปอยู่ที่ร่างอวตาร
จากนั้นเครื่องหมายการเคลื่อนย้ายก็เริ่มเปล่งแสงสีฟ้าออกมา….
…………………….