บทที่ 2 จับเซียนเพื่อขอความรู้
หน้าศาลท้องพระโรง ขุนนางและทหารมากมายยืนเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ นักดนตรีบรรเลงเพลงต้อนรับ บรรยากาศทั่วลานกว้างหน้าแท่นสูงกลมที่ปูด้วยหยกขาวงดงาม หรูหรา ดูดั่งภูเขาหยกลูกเล็ก ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับการมาของเหล่าเซียนโดยเฉพาะ "แท่นรับเซียน" และบนแท่นนั้นมีเงาของสองบุรุษยืนอยู่ คือหงจ้านและหนิวเว่ยจง
"อาจารย์ของข้าท่านจะมาเมื่อไหร่กัน?" หนิวเว่ยจงกล่าวด้วยท่าทีหงุดหงิด
"พวกเซียนคงกำลังตรวจสอบว่าปืนใหญ่ของเราเป็นภัยต่อพวกเขาหรือไม่กระมัง" หงจ้านมองไปทางกำแพงเมืองทิศใต้พลางกล่าว
“ภัย? ปืนใหญ่พวกนี้ทำร้ายข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ หากไม่เผลอพลาด ข้าคงไม่ถูกเจ้าจับหรอก เจ้านี่ช่างขบขันยิ่งนัก ที่คิดว่าปืนใหญ่ไร้ค่าพวกนี้จะข่มขู่พวกเซียนได้” หนิวเว่ยจงกล่าวอย่างดูถูก
หงจ้านเพียงยิ้มรับคำเยาะเย้ยอย่างไม่ใส่ใจ เพราะเขามีเพียงโอกาสเดียวที่จะจัดการเหล่าเซียน จึงต้องรอบคอบให้ถึงที่สุด ทั้งแผนยังรวมถึงการทำให้เซียนดูแคลนเขาโดยเจตนา เช่นนี้พวกเขาจึงไม่คิดระแวงอะไร ปืนใหญ่บนกำแพงเมืองทางทิศใต้นั้นคือสิ่งที่เขาตั้งใจวางไว้เพื่อให้พวกเซียนเห็น "อาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาก็เป็นเพียงของไร้ค่านี้"
แน่นอนว่า บนกำแพงเมืองทางใต้ ขณะนี้เหล่าเซียนกำลังยืนล้อมปืนใหญ่สีดำขนาดใหญ่ตัวหนึ่งอยู่
“เซียนทุกท่าน นี่คือปืนใหญ่ ‘เทพอาวุธ’ ของต้าชิง เมื่อครั้งนั้นปืนใหญ่กระบอกนี้แหละที่ทำให้เสด็จอ๋องเซียวเหยาแพ้พ่าย” นายทหารคนหนึ่งกล่าวแนะนำอย่างเคารพ
“ลองยิงดูสักนัดสิ!” เซียนคนหนึ่งกล่าว
“ขอรับ!” นายทหารรับคำทันที ก่อนจะสั่งการให้ทหารเติมดินปืนและจุดชนวน ปัง! กระสุนถูกยิงออกจากปากกระบอก พุ่งไปโดนก้อนหินก้อนหนึ่งกลางป่าแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ
“น่าสนใจจริง ๆ พี่ใหญ่ ลองยิงมาที่ข้าสักนัดสิ ให้ข้าลองดูหน่อยว่าพลังแค่ไหน” เซียนคนหนึ่งกล่าวอย่างสนุกสนาน เขาทำท่าหยัน ๆ
เพียงครู่เดียว เซียนอีกคนหนึ่งก็นำปืนใหญ่มาพาดบ่าเล็งมายังเขา ก่อนจุดชนวน ปัง! กระสุนพุ่งออกมา เขาสะบัดดาบฟาดออกไป กระสุนก็ถูกฟันขาดกลางอากาศทันที ส่วนคนที่ถือปืนใหญ่กลับเซถอยหลังไปเพียงเล็กน้อย
ทหารที่เห็นเหตุการณ์ต่างพากันตกตะลึง ‘นั่นมันปืนเทพอาวุธเชียวนะ จะยกด้วยมือเดียว แล้วยังฟันกระสุนขาดเป็นสองท่อนได้ นี่พวกเซียนมีวิชาเก่งกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ?’
เซียนที่ถือปืนใหญ่อยู่หัวเราะเยาะอย่างไม่แยแส “แรงอ่อนมาก แค่จัดการผู้มีพลังระดับต่ำสุดยังแทบทำไม่ได้ ไม่มีผลกับพวกเราเลย ยังกล้าคิดว่าเป็นอาวุธวิเศษงั้นหรือ ช่างน่าขบขัน!”
เหล่าเซียนต่างพากันหัวเราะเยาะปืนใหญ่เทพอาวุธ แล้วหันไปมองบุรุษในชุดแดงผู้นำกลุ่ม เขาเองก็เหลือบมองปืนใหญ่ด้วยสายตาดูถูก ก่อนกล่าวว่า “ปืนใหญ่เราก็ได้ดูแล้ว ไปพบกับหนิวเว่ยจงเถอะ”
นายพลคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างนอบน้อม "เซียนทุกท่าน ฝ่าบาททรงทราบข่าวการมาเยือนของพวกท่านแล้ว จึงให้จัดเตรียมแท่นรับเซียนที่หน้าศาลท้องพระโรง ทรงคอยท่าอยู่พร้อมขุนนางและอ๋องเซียวเหยา เพื่อเป็นเกียรติต้อนรับท่านเซียน"
เหล่าเซียนหันไปมองพระราชวังทันที และก็ได้เห็นแท่นรับเซียนอยู่กลางลานหน้าศาลท้องพระโรง พร้อมทั้งหงจ้านและหนิวเว่ยจงยืนรออยู่เรียบร้อย
“ไปกันเถอะ!” บุรุษชุดแดงกล่าว
“รับทราบ!” ทุกคนต่างหยิบกระบี่เหาะขึ้นมาขึ้นยืนบนกระบี่ ฟิ้ว! กระบี่เหาะพาพวกเขาลอยฟ้าไปยังแท่นรับเซียนเหนือศาลท้องพระโรงในพริบตา เหล่าเซียนลอยอยู่บนฟากฟ้า มองลงมาด้านล่าง
“หงจ้านแห่งต้าชิง ทูลคำนับเหล่าเซียนทุกท่าน” หงจ้านคำนับอย่างหนักแน่น
“ขอคารวะเหล่าเซียน” ขุนนางทั้งหลายก้มกราบอยู่ด้านล่างอย่างนอบน้อม
หนิวเว่ยจงรีบก้มกราบพร้อมกับร้องเรียกอย่างยินดี “ศิษย์หนิวเว่ยจง ขอคำนับอาจารย์และคารวะท่านอาจารย์อาและพี่น้องทั้งหลาย!”
หนิวเว่ยจงกวักมือโบกไปมาอย่างตื่นเต้น เขาปิติยินดีในใจว่าในที่สุดอาจารย์ก็มาถึง วันแก้แค้นก็อยู่ตรงหน้าแล้ว เขาจะทำให้หงจ้านต้องตายอย่างไร้ที่ฝัง!
เหล่าเซียนมองไปรอบ ๆ และในที่สุดก็ค่อย ๆ ลงมายังแท่นรับเซียนโดยมีบุรุษชุดแดงเป็นผู้นำ
ถึงตอนนี้ หงจ้านแอบถอนหายใจเบา ๆ รู้สึกโล่งอกในใจ นี่เป็นก้าวที่สองที่สำคัญในการล่อเซียนเข้ากับดัก ด้วยการชักจูงของหนิวเว่ยจงทำให้เหล่าเซียนผู้เย่อหยิ่งไม่แม้แต่จะตรวจสอบให้ดีว่ามีอันตรายใด ๆ หรือไม่ พวกเขาทั้งหมดจึงย่างก้าวเข้าสู่แท่นรับเซียน
"อาจารย์ ทำไมพวกท่านถึงเพิ่งมาถึงกันเล่า? ศิษย์ลำบากลำบนมาหลายปี เจ้าหงจ้านมันร้ายกาจมาก มัน..." หนิวเว่ยจงรีบก้าวไปข้างหน้าพลางฟ้องความเจ็บแค้นที่มีต่อหงจ้านกับอาจารย์ของเขา ชายในชุดแดงและเหล่าเซียนมองหงจ้านด้วยสายตาเย็นชา ในสายตาของพวกเขา การที่หงจ้านพยายามเอาใจนั้นดูเป็นเพียงเรื่องขบขันเท่านั้น หงจ้านเป็นแค่แกะตัวหนึ่งที่รอถูกเชือด พวกเขาจะบีบเค้นให้หงจ้านพินาศตามใจชอบ
"หงจ้านรึ? เจ้านี่ชีวิตแข็งแกร่งไม่น้อย ที่รอดมาได้ทั้งที่บาดเจ็บขนาดนั้น แล้วยังกล้ากลับมาขัดขวางแผนการของพวกเราอีก ช่างไม่รู้จักตายเสียจริง บัดนี้ยกบัลลังก์ให้หนิวเว่ยจงซะ แล้วข้าจะเว้นชีวิตเจ้าให้มีศพครบสมบูรณ์" ชายชุดแดงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
หงจ้านมองชายชุดแดงโดยไม่แสดงอาการหวาดกลัว เพราะตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ก่อนที่เหล่าเซียนจะก้าวลงมาบนแท่นรับเซียน เขาย่อมต้องเป็นเพียงแกะให้เชือดตามที่พวกนั้นคิด แต่ตอนนี้มันต่างออกไป เขามีแผนการจัดการเหล่าเซียนเรียบร้อยแล้ว แท่นรับเซียนนี้แหละ คือดาบสังหารเซียนของเขา
"ข้าคิดว่ามีบางเรื่องที่เราไว้พูดกันภายหลังจะดีกว่า" หงจ้านกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
"บังอาจ!" เหล่าเซียนมองเขาด้วยสายตาแข็งกร้าว เซียนหลายคนถึงกับก้าวเข้ามาจะเข้าจับกุมหงจ้าน
แต่ทันใดนั้นเอง เสียง "แกร๊ก" ก็ดังขึ้น แผ่นหยกสองแผ่นใต้ฝ่าเท้าของหงจ้านทรุดตัวลง หงจ้านพลันร่วงลงไปในช่องที่เปิดออก
“อะไรนะ?” เหล่าเซียนต่างตกใจรีบก้าวเข้ามาดู ก็เห็นเพียงทางเดินมืดที่อยู่ด้านล่าง และทันทีที่หงจ้านร่วงลงไป ประตูลับขนาดใหญ่ก็เลื่อนปิดทางหนีเอาไว้
"เขาเตรียมการหลบหนีไว้ล่วงหน้า?" เซียนบางคนกล่าวอย่างประหลาดใจ
“ในแท่นรับเซียนนี้มีกลิ่นอะไรแปลก ๆ? กลิ่นเหมือนดินปืนที่เราเห็นในปืนใหญ่นี่?” เซียนอีกคนพูดขึ้น
"ทำไมถึงมีเปลวไฟอยู่ด้านล่าง?" เหล่าเซียนต่างขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
"มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล" ชายชุดแดงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เมื่อพวกเขารู้สึกถึงอันตรายก็สายไปแล้ว
ตูม~! เสียงระเบิดดังสนั่นแท่นรับเซียนปะทุขึ้นอย่างรุนแรง เปลวไฟพุ่งทะยานสว่างจ้าอย่างกับดวงอาทิตย์ ปกคลุมทั้งพระราชวังในพริบตา แสงที่แผ่กระจายทำให้ทั่วหล้าสว่างไสว เหล่าเซียนไม่ทันได้แม้แต่จะร้องเรียก ต่างถูกเปลวไฟกลืนกินไปในทันที
-----
ในห้องนิรภัยใต้ดินที่ถูกผนึกด้วยโลหะหนาแน่น มีทหารในชุดเกราะยืนอยู่ไม่กี่คน ขณะที่หงจ้านร่วงลงมา พวกเขาก็รีบปิดประตูลับด้านบนแน่นหนา
ตูม! ห้องนิรภัยสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง แรงระเบิดถึงขนาดที่ทำให้ผนังโลหะถึงกับบิดเบี้ยว
ระเบิด! นี่แหละคือสิ่งที่หงจ้านใช้เป็นกลยุทธ์การต่อกรกับเหล่าเซียนที่มนุษย์ธรรมดาไม่อาจเอาชนะได้ พลังของปืนใหญ่ดูเบาบางก็เพราะมีดินปืนอยู่เพียงน้อยนิด และสูตรผสมดินปืนที่ยังไม่สมบูรณ์ แต่เขาเก็บดินปืนที่ผสมอย่างลงตัวไว้ในปริมาณมากเพื่อใช้ในยามสำคัญเช่นนี้ แท่นรับเซียนทั้งแท่นอัดแน่นด้วยระเบิดซึ่งมีพลังทำลายล้างมหาศาล เหล่าเซียนที่อาจจะเก่งกาจแค่ไหน แต่ก็ต้องตกเป็นเหยื่อกับดักอันรุนแรงนี้
เมื่อแรงสั่นสะเทือนรุนแรงสงบลง หงจ้านกล่าวว่า “พวกเรากลับไปกันเถอะ!”
“ขอรับ!” ทหารหลายคนขานรับอย่างตื่นเต้น พวกเขารู้ดีว่าองค์จักรพรรดิทรงตั้งใจจะสังหารเซียน ซึ่งในอดีตแม้แต่จะคิดก็ยังไม่กล้าคิด แต่ตอนนี้กลับได้เห็นกับตา
พวกเขาก้าวไปตามทางเดินมุ่งหน้าสู่ทางออกอีกทางของห้องนิรภัย ซึ่งอยู่ในศาลท้องพระโรง
เมื่อเดินเข้าไปในศาลท้องพระโรง ก็พบว่าห้องโถงนั้นถูกแรงระเบิดพัดกระหน่ำจนพังทลาย เศษกระเบื้องและเศษวัสดุตกเกลื่อนพื้น ขุนนางที่นั่งอยู่ด้านนอก แม้จะหมอบลงกับพื้นตามคำสั่งล่วงหน้า แต่ก็ไม่พ้นโดนแรงระเบิดจนกระอักเลือด ทว่าพวกเขากลับไม่สนใจบาดแผลของตนเอง สายตาต่างจับจ้องไปที่ลานกว้างซึ่งตอนนี้เต็มไปด้วยควันไฟหนาทึบ
บนลานนั้น บัดนี้แท่นรับเซียนได้สูญสิ้นไป เหลือเพียงหลุมลึกขนาดใหญ่และห้องนิรภัยใต้ดินที่ผนังบิดเบี้ยวเต็มไปด้วยซากศพ ชิ้นส่วนที่กระจายอยู่ทั่วลานคือเศษซากของเหล่าเซียนที่ถูกแรงระเบิดฉีกกระจาย หนิวเว่ยจงก็ถูกสังหารไปเช่นกัน
“ยังมีคนรอดอยู่งั้นหรือ? ช่างมีชีวิตอันแกร่งกล้ายิ่งนัก” หงจ้านกล่าวด้วยความรู้สึกทึ่ง
บนลานกว้าง บัดนี้ยังเห็นร่างของเซียนทั้งห้านอนจมอยู่ในกองเลือด บางคนแขนขาด บางคนขาขาด ร่างกายถูกแรงระเบิดจนไหม้เกรียม ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตะลึง ทั้งที่ไม่เชื่อว่าพวกเขาผู้บำเพ็ญเซียนจะพ่ายแพ้และต้องมาพบจุดจบเช่นนี้
“ฝ่าบาท พวกเซียนคงหมดกำลังแล้วทั้งหมด” ขุนนางคนหนึ่งกล่าวอย่างยินดี
“ห้ามประมาท จงทำตามวิธีที่ได้จากปากหนิวเว่ยจง ใช้เข็มทองแทงจุดปิดชีพจร จากนั้นทำลายจุดตันเถียนของพวกเขาให้สิ้นพลังเสีย” หงจ้านสั่งอย่างเข้มงวด
“ขอรับ!” ขุนนางรับคำอย่างแข็งขัน
ทหารหลายคนเดินเข้าไปใกล้เหล่าเซียนที่บาดเจ็บอย่างหนัก พวกเซียนในตอนนี้อวัยวะภายในบอบช้ำจนถึงขีดสุด ไม่มีกำลังแม้แต่จะเปล่งเสียงออกมาได้ ทำได้เพียงจ้องมองอย่างเคียดแค้น ทหารไม่ได้สนใจสายตาอาฆาตนั้นเลย รีบลงมือทำลายพลังของเหล่าเซียนอย่างเยือกเย็น
ไม่นาน ทหารผู้หนึ่งก็เดินเข้ามารายงาน “ฝ่าบาท พวกกระหม่อมทำลายพลังของพวกเขาจนสิ้นแล้ว ทุกคนเจ็บปวดจนหมดสติไป”
หงจ้านเดินเข้าไปตรวจสอบทีละคนจนแน่ใจ จึงกล่าวว่า “รักษาชีวิตพวกเขาไว้ จากนั้นทำความสะอาดพวกเขาแล้วขังไว้ในคุกเซียน”
“ขอรับ!” ขุนนางหลายคนขานรับพร้อมกัน
“รวบรวมของทุกชิ้นที่พวกเขาทิ้งไว้” หงจ้านสั่งต่อ
ไม่นาน ดาบยาวและถุงเก็บของที่พอใช้ได้บางชิ้นก็ถูกนำมาวางตรงหน้า หงจ้านเปิดถุงเก็บของออก เห็นขวดบรรจุโอสถจำนวนหนึ่งก็พอใจ ‘ด้วยโอสถเหล่านี้ เขามีหวังบรรลุถึงขั้นพลังเซียนขั้นต้นได้แน่’
-----
หลายวันต่อมา ณ กลุ่มตำหนักในพระราชวัง มีทหารคุมเข้มเฝ้าอยู่มากมาย หงจ้านเดินเข้ามาโดยมีขุนนางคอยรับใช้เคียงข้าง
“ฝ่าบาท หลังจากที่เซียนทั้งห้าฟื้นจนพูดได้ พวกเขาสาปแช่งอยู่ตลอด แต่เมื่อพวกเขาตระหนักถึงสถานการณ์ ก็เริ่มเงียบปากลงบ้าง” ขุนนางคนหนึ่งกล่าว
หงจ้านพยักหน้าและเดินเข้าไปในห้องขังใหญ่ ห้องนี้ดูอึมครึมและน่ากลัวกว่าที่อื่น ๆ เครื่องทรมานวางเรียงรายอยู่มากมาย พร้อมกับกรงทองแดงที่ขังเซียนทั้งห้าซึ่งมีร่างกายบอบช้ำอย่างหนัก ดูก็รู้ว่าเป็นคุกที่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยสูง
“หงจ้าน?” เซียนคนหนึ่งเอ่ยออกมาอย่างเดือดดาล
เหล่าเซียนที่นั่งหลับตาอยู่ในกรงต่างลืมตาขึ้นมา พวกเขาจ้องมองหงจ้านด้วยสายตาเดือดดาล อยากจะฉีกเนื้อทึ้งกระดูกของเขาให้แหลก พวกเขาไม่เคยพบเจอความอัปยศเช่นนี้มาก่อน และยังเป็นความอัปยศที่ได้รับจากคนธรรมดา ยิ่งเป็นการหยามเกียรติที่ยากจะยอมรับ
หงจ้านมองไปยังชายชุดแดงที่เป็นหัวหน้าเหล่าเซียนและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กู่ซิงจื่อ ไม่ได้เจอกันตั้งยี่สิบปี ครั้งนั้นข้าเกือบจะตายเพราะพวกเจ้าแท้ ๆ!”
กู่ซิงจื่อจ้องหงจ้านอย่างแน่วนิ่งก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงเย็นชา “เจ้าต้องการอะไร?”
หงจ้านยิ้มและกล่าวว่า “ข้าไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย เพียงแต่อยากขอคำแนะนำเรื่องการบำเพ็ญเซียนที่ข้าไม่เข้าใจนัก หวังว่าพวกเจ้าจะช่วยตอบคำถามให้ข้าได้”
กู่ซิงจื่อลังเลชั่วครู่ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์ มอบวิชาให้เจ้าอย่างหมดเปลือก”
หงจ้านเพียงแต่ยิ้มส่ายหน้า เวลานี้ต่างจากเมื่อยี่สิบปีก่อนแล้ว กู่ซิงจื่อจึงกล่าวต่อ “ข้ายินดีจะยกโทษให้เจ้าสำหรับการกระทำทั้งหมดที่ผ่านมา และพร้อมจะให้ข้อมูลที่จะใช้ข่มขู่พวกข้าได้”
หงจ้านส่ายหน้าอีกครั้ง “ข้าไม่เชื่อในเรื่องการข่มขู่”
“ฮึ วิถีเซียนเต็มไปด้วยอุปสรรคและกับดัก หากพลาดเพียงนิดก็อาจเสียสติได้ เจ้าจะฝึกวิชาได้อย่างไรในวัยเจ็ดสิบเช่นนี้หากไม่มีผู้ชี้แนะ?” กู่ซิงจื่อกล่าวอย่างดูถูก
“ข้าไม่ได้บอกว่าจะไม่ให้พวกเจ้าชี้แนะข้า” หงจ้านตอบ
กู่ซิงจื่อเริ่มรู้ตัวว่าตนเองกำลังถูกควบคุม เขาแสดงสีหน้าเคร่งเครียด “เจ้าต้องการอะไร?”
“ข้าคิดว่าการคุมขังพวกเจ้าไว้ ให้พวกเจ้าชี้แนะวิชาบำเพ็ญเซียนแก่ข้า ก็ไม่น่าจะขัดแย้งกันมิใช่หรือ?” หงจ้านตอบ “ข้าจะกักขังเซียนเพื่อขอความรู้!”
กู่ซิงจื่อหน้าถอดสีทันที เขาไม่เคยเจอคนธรรมดาที่โหดเหี้ยมขนาดนี้ คิดจะกักขังเซียนเพื่อบีบบังคับให้พวกเขาสอนวิชาบำเพ็ญเซียน
“เจ้านี่ช่างกล้าจริง ๆ!” กู่ซิงจื่อตะคอก
หงจ้านยิ้มเย็น “เจ้าทั้งหลายที่บูชายัญเด็กหมื่นคนทุกสิบปี ใช้ชีวิตคนดั่งเศษหญ้า ไม่เห็นค่ามนุษย์ประดุจสัตว์เลี้ยง ยังมีหน้ามากล่าวหาข้าว่ากล้าหรือไม่กล้าอีกหรือ?”
“เจ้า...!” กู่ซิงจื่อหน้าเสียทันที
“ผู้ที่สังหารคนต้องพร้อมที่จะถูกคนอื่นสังหาร การที่ข้าไว้ชีวิตพวกเจ้า ถือว่าเป็นความกรุณาสูงสุดแล้ว จงรีบถ่ายทอดวิชาที่เจ้ารู้มาให้ข้าเพื่อชดใช้ มิฉะนั้น คุกเซียนของข้าจะไม่เลี้ยงพวกเจ้าไว้เปล่า ๆ!” หงจ้านกล่าวเสียงเย็นชา
กู่ซิงจื่อแววตาเต็มไปด้วยโทสะ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความหวาดหวั่น เขาไม่เคยถูกคนธรรมดากล่าวคำข่มขู่เช่นนี้ ความหยิ่งผยองของอีกฝ่ายทำให้เขาแทบคลั่ง!