บทที่ 17 จัดงานเลี้ยง
เมื่อธุรกิจปลาไหลหยุดลงและหลี่เหอก็ได้นอนได้หลับอย่างสงบสุขในที่สุด เขาใช้เสื่อในการนอนที่ลานบ้านและนอนจนตื่นขึ้นตามธรรมชาติทุกวัน
ในขณะนี้ดวงอาทิตย์เริ่มส่องแสงจ้า มันทะลุผ่านรอยแตกในต้นไม้และสาดส่องไปที่ใบหน้าของหลี่เหอ เขารู้สึกอยากนอนต่อ แต่กลัวว่าความง่วงจะหายไป เขาจึงลุกขึ้นพยายามจะปิดม่าน แต่ร่างกายเขาเอียงและเซไปเซมา หลังจากนั้นสักครู่เขาก็ตื่นขึ้น มองไปที่ดวงอาทิตย์ที่สว่างไสว และตกอยู่ในภวังค์หรือว่าเขาจะละเมอนะ
แต่จิตใต้สำนึกของเขากลับไปที่คฤหาสน์ที่มีเตียงใหญ่นุ่มสบายและหน้าต่างบานใหญ่ ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่ยอมปล่อยวางชีวิตก่อนหน้า
เขาลุกขึ้นล้างหน้า มองไปที่ใบหน้าทคล้ำแดดในน้ำ มันไม่ได้หล่อเหลาอะไร ในทางที่ดีที่สุดก็คือหน้าตาปกติและค่อนข้างผอม
เขามีหนวดเคราบางๆ ซึ่งดูไม่สวยงามนัก มองแค่แวบเดียวก็รู้ว่าขนยังไม่เต็มที่ เขากำจัดสิวบนใบหน้าไม่ได้ เขาเลยตบหน้าตัวเองอย่างรังเกียจ มันก็เหมือนกันในวัยรุ่น
แต่นกตัวใหญ่ก็ไม่สามารถซ่อนอยู่ในป่าทั่วไปได้ กางเกงของเขาต้องเปลี่ยนไซส์ซะแล้ว
โลกนี้มันช่างน่าอัศจรรย์จริง ๆ เลย
แม้ว่าหลี่เจาคุนจะยังคงมีนิสัยแบบเดิม ๆ แต่พี่น้องในบ้านก็ถือทำเป็นว่ามองไม่เห็น
หลี่เหอรู้สึกว่าเขาได้จัดการทุกอย่างไว้เรียบร้อยก่อนที่จะไปเรียนมหาวิทยาลัย สิ่งเดียวที่เขากังวลคือการแต่งงานของพี่สาวคนโต แต่กลิ่นความยากจนจากบ้านพี่เขยคนโตนั่นสามารถได้กลิ่นจากระยะสามไมล์ ใคร ๆ ก็รู้กันทั่ว
พี่เขยคนโตไม่มีพ่อแม่ ถึงแม้เขาจะมีปู่กับย่า แต่ย่าของเขาสุขภาพไม่ดี และปู่ก็แก่มากแล้ว ชีวิตไม่สามารถแย่ไปกว่านี้ได้อีกแล้ว
ในยุคของทีมการผลิตที่ทานอาหารรวมกันจากหม้อใบใหญ่ ไม่ว่าชายคนไหนจะทำงานในไร่นานเท่าไหร่ เขาจะไม่มีทางมีชีวิตที่ดีกว่าก่อนที่เขาจะประสบความสำเร็จ ดังนั้นสำหรับญาติของหลี่เหอ การทำแบบนี้หลี่เหอไม่ได้ตกใจ
หลี่เหอเพียงแค่สร้างโอกาสให้พวกเขาเท่านั้นที่เหลือก็อยู่ที่ตัวเองแล้ว มหาวิทยาลัยกำลังจะเปิดเทอมและเขาไม่มีเวลาเหลือมากนัก
ในขณะนี้ ครอบครัวหลี่ทั้งหมดกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมงานเลี้ยง หลี่เหอจึงตัดสินใจสั่งหมูตัวใหญ่จากเฉินหยงเฉียง โดยฆ่าหมูที่หนักกว่า 300 กิโลกรัม ในช่วงนี้เราจะไม่ใส่ใจกับความหลากหลายของอาหาร ผักก็มีคุณค่าทางโภชนาการ แต่อาหารสำคัญที่สุดคือต้องมีเนื้อ ต้องมีไขมันหนา ๆ เนื้อจะต้องชิ้นใหญ่ สิ่งสำคัญคือทำให้ทุกคนอิ่ม และดื่มเหล้าในถ้วยใหญ่ ๆ
หลี่เหอเตรียมเหล้า เนื้อ และผัก และมอบหมายส่วนที่เหลือให้กับหลี่เจาคุน ด้วยกฎระเบียบในชนบทที่มีไม่รู้กี่ข้อ หลี่เหอไม่สามารถเข้าไปยุ่งได้ แม้ว่าเขาจะอยากทำแต่หากเกิดความผิดพลาด เขาอาจจะได้รับชื่อเสียงว่า โง่และไม่เรื่องรู้อะไรเลย
หนึ่งวันก่อนงานเลี้ยงหลี่เจาคุนได้เชิญพ่อครัวฝีมือดีที่มีประสบการณ์มาทำงาน จัดโต๊ะอาหารขนาดใหญ่สิบสองโต๊ะ และสร้างเตาแบบง่าย ๆ เขายังยืมโต๊ะ เก้าอี้ หม้อ กระทะ และกาต้มน้ำจากบ้านต่าง ๆ
แน่นอนว่าครอบครัวเดียวไม่สามารถรวบรวมสิ่งเหล่านี้ได้ ในชนบทงานแต่งงานหรืองานเลี้ยงต่าง ๆ จะจัดขึ้นในลักษณะนี้ โดยต่างฝ่ายต่างยืมกันไปมา และงานเลี้ยงทั้งหมดจะจัดขึ้นในลานของตัวเอง
ก่อนวันงานเลี้ยงหนึ่งวัน อาทั้งสอง อาสะใภ้และญาติของหลี่เหอมาที่บ้านตั้งแต่เช้า เพื่อช่วยสับฟืน หั่นผัก และล้างผัก
เมื่อถึงเวลานอนตอนกลางคืน ครอบครัวญาติๆก็ไปที่บ้านของหลี่ฟู่เฉิง ครอบครัวหวังหยูหลานไม่อยากรบกวนใคร ดังนั้นพวกเขาจึงเบียดเสียดกันที่นี่ ผู้หญิงและเด็ก ๆ นอนในบ้านและผู้ชายก็แค่ปูเสื่อและนอนข้างนอก
วันรุ่งขึ้นทุกคนตื่นแต่เช้า หลี่เจาคุนจัดแจงแบ่งงานอย่างเป็นระบบระเบียบดีมาก โดยมอบหมายให้แต่ละคนทำหน้าที่แตกต่างกัน มีทั้งคนขนน้ำ คนผ่าฟืน คนทำอาหาร คนเลือกและล้างผัก คนเสิร์ฟอาหาร คนเก็บโต๊ะ คนล้างจาน คนช่วยในครัว คนต้มน้ำหม้อใหญ่ และคนคอยเสิร์ฟน้ำชา มีงานมากมายทั้งในบ้านและนอกบ้าน
หลี่เหอต้องทำตัวเป็นเด็กดี หลังจากที่หลี่เจาคุนทักทายคนอื่นเสร็จ เขาต้องคอยแจกบุหรี่ให้ผู้คนที่มาร่วมงาน โต๊ะงานเลี้ยงมีทั้งหมด 12 โต๊ะ แม้ว่าครึ่งหนึ่งจะมีเด็ก ๆ นั่งอยู่หลี่เหอก็ยังต้องตามไปทักทายผู้คนที่โต๊ะด้านหลังอย่างทั่วถึง จนในที่สุดหัวเขารู้สึกวิงเวียนและไม่ได้ยินสิ่งที่คนอื่นพูด
หลังจากชนแก้วเสร็จ หลี่เจาคุนมองดูหลี่เหอที่หน้าซีดและตาแดง แล้วด่าเขาว่า “อะไรกัน แกดื่มไปแค่นี้เอง แกนี่ไม่ได้เรื่องเลย”
ชีวิตนี้ไม่ยาว บางสิ่งที่งดงามเรามีโอกาสสัมผัสได้แค่ครั้งเดียว แต่บางความเจ็บปวดเราต้องเผชิญถึงสองครั้ง!
เมื่อหลี่เหอตื่นจากการนอนหลับในลานบ้าน มีญาติเหลืออยู่ที่บ้านเพียงไม่กี่คนและพวกเขาเก็บกวาดเสร็จเกือบหมดแล้ว เหลือแค่ขนเก้าอี้อีกไม่กี่ตัวก็เสร็จ ญาติ ๆ พากันเก็บปลากับหมูที่เหลือกลับบ้านไปด้วยความดีใจ
หลังจากที่ญาติเหล่านั้นกลับไปแล้ว พี่น้องในครอบครัวก็ทยอยนำอาหารที่เหลือไปมอบให้ครอบครัวที่มาช่วยทำอาหารในช่วงสองวันที่ผ่านมา นี่ก็เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของคนในชนบท
ตอนเย็น หลังจากหลี่เจาคุนคำนวณบัญชีของขวัญเสร็จ เขาก็บ่นว่า “แม่งเอ้ยยย ขาดทุนหนักเลย”
หลี่เหมยถามอย่างสงสัยว่า “ขาดทุนไปเท่าไรคะ?”
หลี่เจาคุนตอบว่า “27 หยวน 5 เหมากับอีก 2 เฟิน ไม่นับรวม 30 หยวนที่ทีมผลิตให้มา ฉันซื้อบุหรี่กับเหล้าไป 47 หยวน หมดเกลี้ยงเลย ไหนจะค่าอาหารอีก พวกนี้ช่างแพงเหลือเกิน”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่ครั้งนี้เท่านั้นนะ ลองคิดดูสิ ไม่มีใครไม่ชื่นชมงานเลี้ยงของพ่อเลย ถ้าพ่อไม่กลับมาจัดงานดี ๆ แบบนี้ พวกเรากับแม่คงไม่ได้หน้าขนาดนี้” หลี่เหอไม่ได้หวังเรื่องเงินของขวัญนัก เขาเพียงแค่อยากให้จัดงานเพื่อหน้าตาของครอบครัว
หลี่เหอชมเชยอย่างจริงใจ เป็นไปไม่ได้เลยถ้าไม่มีเขา หลี่เจาคุณ เองก็เป็นคนที่รักหน้าตาสุด ๆ ขาดีใจมากที่ได้มีโอกาสจัดงานใหญ่โตเช่นนี้ในวันนี้ “ไร้สาระ มันก็แค่งานเลี้ยงไม่ใช่หรอ เฮอะ เรานี่แหละที่เป็นเจ้าแรกของหมู่บ้านหลี่ ใครจะมีบุหรี่หงต้าชานให้สูบแบบเรา ใครจะเอาเหล้ามาให้ดื่มต้อนรับแบบนี้ หมูเราก็มีพอสำหรับทุกคน” เงินของขวัญนี่ได้กลับมาตั้งหลายเท่า
ไม่บ่อยนักที่ หลี่เจาคุณ จะมีสติและพูดอย่างสงบ หลี่เหอ เลยพูดด้วยเจตนาชักชวนว่า “พ่อครับ ผมคิดว่าอีกไม่นานผมจะต้องไปแล้ว ครอบครัวนี้ยังคงต้องพึ่งพาพ่อ ถ้าพ่ออยู่บ้านก็จะมีคนคอยดูแล ชีวิตที่บ้านก็โอเคตอนนี้”
หลี่เจาคุณ มองไปที่ หลี่เหอ แล้วพูดว่า “ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน แกอย่าคิดว่าการเข้ามหาวิทยาลัยมันเป็นเรื่องใหญ่โต”
หลี่เหอ แทบจะกระอักเลือดเพราะคำพูดนี้ .......
เมื่อเห็น หลี่เจาคุณ ไปยุ่งตรงนั้น ไปยุ่งตรงนี้ ความประทับใจดี ๆ ที่ได้รับมาตลอดวันก็มลายหายไป กลับกลายเป็นความรู้สึกที่หดหู่แทน
กลางดึกคืนนั้น หลี่เหอ นอนอยู่ในลานบ้าน แม้จะยังไม่หลับสนิท ในความทรงจำจากชีวิตก่อน เขารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต เขาหวังว่าชีวิตในชาตินี้จะมีการเปลี่ยนแปลง ความสุขไม่ใช่จุดจบของถนนสายยาวหรืออีกฝั่งของแม่น้ำ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างทาง
เห็นได้ชัดว่าเขาต้องผิดหวัง
คืนนั้น เขาได้ยินเสียงเปิดประตูบ้าน มีใครบางคนเดินออกมาช้า ๆ ขณะปิดประตูและถือถุงอยู่ในมือ เมื่อคน ๆ นั้นเดินผ่าน หลี่เหอ เขาหยุดลงชัดเจนและเงียบไปประมาณสองนาที จากนั้นจึงย่อตัวลงและเปิดถุง หยิบอะไรบางอย่างออกมา วางหินกดทับไว้ แล้วค่อยยืนขึ้นและเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
หลี่เหอ ค่อย ๆ ลุกขึ้นและวิ่งออกไปนอกลานบ้าน มองดูเงาที่เดินห่างออกไปเรื่อย ๆ น้ำตาก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว เขาไม่ได้ตั้งใจจะร้องไห้แต่กลับกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ แม้ว่าเขาจะได้เกิดใหม่ แต่ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตอนจบที่จะต้องเกิดได้เลย เขารู้สึกว่าการเกิดใหม่เป็นเพียงภาพลวงตาและความฝัน เขารู้สึกไร้พลังและหมดหนทาง เขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้จริง ๆ เขารู้สึกสิ้นหวังและท้อแท้มาก
เขานอนลงบนเสื่อ มองดูท้องฟ้าข้างนอกที่ค่อย ๆ สว่างขึ้นทีละนิด รู้สึกไม่ง่วงเลยแม้แต่น้อย
พอรุ่งสาง เสียงร้องไห้ก็ดังขึ้นจากในบ้าน หลี่เหอ ไม่ได้เข้าไปปลอบหวังหยูหลาน อาจจะเพราะเขาเคยชินกับการเห็นแม่ร้องไห้ไปแล้ว
หลี่เจาคุณออกเดินทางเพื่อตามหาสิ่งที่เขาต้องการ อาจจะมีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร
หลี่เหมยดึงหลี่เหอไปด้านข้างและกระซิบเบา ๆ ว่า "เขาเอาเงินของบ้านเราไปหมดเลย เหลือไว้แค่ 100 หยวนเท่านั้น"
หลี่เหอหยิบธนบัตรจำนวน 100 หยวนที่ หลี่เจาคุณวางไว้ใต้ก้อนหินของเขาตอนกลางคืนขึ้นมาแล้วพูดว่า "เขาก็เหลือไว้ให้ฉัน 100 หยวนเหมือนกัน"
ตอนจัดงานเลี้ยงส่วนใหญ่ค่าใช้จ่ายมาจากเงินเก็บของพี่น้อง หวังหยูหลานเองแทบไม่ได้ใช้เงินเลย เมื่อหักลบเงินที่เหลืออยู่ 200 หยวน หลี่เจาคุณก็เอาไปอย่างน้อย 1,600 หยวน ตอนที่เขาออกเดินทาง เขาเอาเงินไปทำอะไรกันแน่?
ทั้งครอบครัวมีความรู้สึกหดหู่ในวันนั้น คุณปู่หลี่ฟู่เฉิงเดินมาดูสถานการณ์และกล่องบุหรี่ของเขาโดนบี้จนแตกไปแล้ว
หลังอาหารกลางวันหลี่เหอไปหาหลิวต้าจวง ให้เขาจัดเตรียมรถลาไปยังสำนักงานคอมมูนในช่วงบ่าย เขากำลังจะเปิดเทอมและต้องไปยื่นเอกสารขอใบรับรองการย้ายทะเบียนบ้าน
พวกเขาจะไปที่สำนักงานคอมมูนก่อนแล้วค่อยไปที่สถานีตำรวจ ทุกคนคุ้นเคยกับหลี่เหอในฐานะนักเรียนอันดับหนึ่งของอำเภอ ถึงแม้เขาจะไม่ได้ตั้งใจสร้างความประทับใจ แต่ทุกคนก็มีสบาย ๆ เขายังล้อเล่นสองสามคำด้วยรอยยิ้ม ใช้เวลาเพียงบุหรี่มวนเดียวในการเขียนใบรับรอง จากนั้นก็ปั๊มตราประทับให้เรียบร้อย หลี่เหอมอบบุหรี่ให้พวกเขา 2 ซองอย่างสุภาพเมื่อเขาจากไป
ระหว่างทางกลับเขาเจอเหอจวิน เจ้าหน้าที่คอมมูนที่เคยส่งประกาศให้เขาครั้งก่อน หลี่เหอลงจากรถลากลาแล้วทักทายว่า "สหายเหอไม่เจอกันนานเลยนะครับ"
เหอจวินหยุดจักรยานแล้วตอบว่า "สวัสดีครับ นักเรียนหลี่ไม่ได้เจอกันนานเลย คุณมาทำอะไรที่นี่เหรอ?"
หลี่เหอโบกกระดาษในมือแล้วหัวเราะ "ฮ่า ๆ ก็จะเปิดเทอมแล้วนี่ครับ ผมเลยมาทำเรื่องย้ายทะเบียนบ้านครับ"
เหอจวินยิ้มแล้วพูดว่า "ผมคิดว่าคุณอาจจะลืม ผมกำลังคิดจะเตือนคุณอยู่พอดี"
หลี่เหอรู้สึกว่าเหอจวินก็เป็นคนที่ใส่ใจคนอื่นดี อนาคตเขาจะกลายเป็นผู้นำท้องถิ่น ดังนั้นทำความรู้จักไว้คงไม่เสียหาย เขาพูดว่า "จะลืมได้ยังไงครับ เจ้าหน้าที่เหอ ถ้าคุณว่างไปดื่มที่ร้านอาหารเฉียวโต่วสักแก้วไหมครับ"
เหอจวินไม่รอช้าที่จะตอบรับ เขาตกลงทันทีแล้วพากันไปที่ร้านอาหารเฉียวโต่ว
เขาแอบมีความคิดที่จะดูแลรุ่นน้อง ขณะที่หลี่เหอคิดถึงการลงทุนระยะสั้นและผลตอบแทนระยะยาว พวกเขาต่างตั้งใจที่จะปฏิบัติในแนวทางตัวเองอย่างเต็มที่ ตอนสั่งอาหารทั้งสองก็ไม่ได้เกรงใจกัน มีทั้งไก่ เป็ด ปลา และเนื้อครบ หลิวต้าจวงดูแล้วพูดไม่ออก ยังมีเจ้าหน้าที่คอมมูนที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ แต่เขาก็ไม่กล้าขัดแย้ง แม้แต่การพบกับหลิวชวนฉีและเจ้าหน้าที่กองพันคนอื่น ๆ เห็นแล้วก็ยังตกใจ
แต่เจ้าของร้านอาหารที่อยู่ข้าง ๆ เข้าใจสิ่งที่เขาคิด จึงยิ้มและพูดว่า "อาหารตั้งมากมาย สามคนจะทานหมดกันเหรอครับ?"
หลี่เหอคุ้นเคยกับเจ้าของร้านอาหารนี้ดี เขามาเก็บรวบรวมปลาไหลที่หน้าร้านเฉียวโต่วทุกวันและทานอาหารที่ร้านนี้เสมอ เขายิ้มแล้วตอบแบบไม่ถือตัวว่า "งั้นก็ทานแค่จานพิเศษก็ได้ ถ้าไม่พอใจอาหาร เราจะไม่จ่ายเงินนะครับ ให้ตายก็ไม่จ่ายอยู่ดี"
เจ้าของร้านยิ้มและชี้ไปที่แบนเนอร์บนกำแพง "ร้านเล็ก ๆ ของเรา ไม่รับค้างค่าอาหารนะครับ"
ทุกคนหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน