บทที่ 135: ดูแลสัตว์
ในขณะที่เซียวถังอี้เดินเข้าไปหาพวกมู่ไป๋ไป่ เขาก็บังเอิญได้ยินคำพูดสุดท้ายของคนตัวเล็ก และสายตาที่เขามองนางก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
เจ้าเด็กน้อยคนนี้ดูแตกต่างไปจากที่เขาจินตนาการเอาไว้
“คุณหนู เราไปกันเถอะ” อวี้เซิ่งแบกผู้ต้องหาเดินเข้ามาพร้อมกับพูดว่า “ถึงเวลากลับวัด— ถึงเวลากลับบ้านแล้ว”
“ไป๋ไป่! เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ ได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” เสิ่นจวินเฉารีบวิ่งเข้าไปหามู่ไป๋ไป่ เขารู้ว่านางอาจจะเข้าใจภาษาสัตว์แล้วรู้สึกสบายใจที่มีสัตว์คอยปกป้องอยู่ข้างกายนาง
“พี่จวินเฉา ข้าไม่เป็นไร” เด็กหญิงยิ้มหวานมองเด็กชาย “เจ้าแมวยักษ์กับเจ้าหมีพวกนี้เป็นมิตรกับข้ามาก พวกมันไม่ทำร้ายข้า ดังนั้นท่านก็อย่ากลัวพวกมันเลย”
เสิ่นจวินเฉามองสัตว์ป่าด้วยสายตาซับซ้อนก่อนจะพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”
ต่อมา มู่ไป๋ไป่หันไปหาอวี้เซิ่งแล้วกล่าวว่า “อวี้เซิ่ง ข้ายังมีอีกเรื่องที่ต้องไปทำก่อนจะกลับ”
ชายหนุ่มทำหน้าสับสน ในตอนที่เขากำลังจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น เซียวถังอี้ที่อยู่ด้านข้างก็ก้าวเข้ามาคว้าตัวคนของศาลาหมื่นอสูรมาถามว่า “พวกเจ้าขังสัตว์พวกนั้นไว้ที่ไหน?”
ชายคนนี้รู้สึกหวาดกลัวเซียวถังอี้กับอวี้เซิ่งเพราะฝีมือการต่อสู้อันแข็งแกร่งของทั้ง 2 เขาจึงรีบบอกความจริงออกมาโดยบอกว่าสถานที่ที่ขังสัตว์เหล่านั้นเอาไว้อยู่ด้านหลังอาคารแห่งนี้
เด็กหนุ่มผลักคนของศาลาหมื่นอสูรออกก่อนจะหันไปมองมู่ไป๋ไป่ที่กำลังตกตะลึง “ไปสิ สัตว์พวกนั้นถูกขังอยู่ข้างหลัง”
คนตัวเล็กซึ่งทำอะไรไม่ถูกได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ “ทำไม…”
เธออยากจะถามว่าทำไมเจ้าสัตว์ประหลาดถึงรู้ว่าเธอคิดจะทำอะไร และเธอก็อยากถามเขาด้วยว่าทำไมเขาถึงยื่นมือเข้ามาช่วยตน
เป็นผลให้มีคำถาม 2 คำถามผุดขึ้นมาพร้อมกัน และเธอไม่รู้ว่าควรถามคำถามไหนก่อนดี
“เร็วเข้า นี่ก็ใกล้รุ่งสางแล้ว” เซียวถังอี้ดูเหมือนจะไม่สังเกตเห็นท่าทางสงสัยของเธอ เขาจึงพูดเร่งขึ้นมาอย่างหมดความอดทน “ไม่อย่างนั้นจะยิ่งลำบากมากขึ้น”
หลังจากที่เด็กหนุ่มพูดเตือนมู่ไป๋ไป่เช่นนี้ เธอก็ตระหนักว่าเธอรอช้าไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้วจึงดึงเสิ่นจวินเฉา, หลัวเซียวเซียวและจื่อเฟิงออกไปอย่างรวดเร็ว
โดยมีสัตว์ป่า 4 ตัววิ่งตามมาข้างหลังคอยปกป้องเด็กทั้ง 4 คนเอาไว้ตรงกลาง
ระหว่างทางมู่ไป๋ไป่จินตนาการว่าภาพของสัตว์ป่วยเหล่านั้นถูกขังอยู่ในกรงเหล็กจะน่าตกใจขนาดไหน แต่เมื่อเธอเห็นด้วยตาของตัวเองจริง ๆ มันก็อดไม่ได้ที่จะทำให้เธอน้ำตารื้น
คนของศาลาหมื่นอสูรใช้กรงเหล็กขนาดใหญ่เพียงกรงเดียวเพื่อขังสัตว์ป่วยทั้งหมดไว้ด้วยกัน ทำให้พื้นที่ภายในกรงแน่นมากจนเธอเห็นว่าสัตว์เหล่านี้ไม่สามารถยืนขึ้นหรือนั่งลงได้สะดวกสบาย พวกมันทำได้เพียงนอนซ้อน ๆ กันเหมือนกล่องบรรทุกสินค้า
ซึ่งภาพที่ปรากฏทำให้บางคนถึงกับลืมหายใจ
“นี่มัน…” เสิ่นจวินเฉาเองก็รู้สึกตกใจมากเช่นกัน ก่อนที่เขาจะกำหมัดแน่น “คนพวกนั้นไม่ใช่มนุษย์!”
สัตว์ป่าทั้ง 4 ที่ติดตามพวกเขามาก็ส่งเสียงร้องด้วยความโกรธ แค้น ก่อนที่แต่ละตัวจะไปยืนที่ขอบกรงเพื่อค้นหาสหายของตัวเองอย่างยากลำบาก
“แย่ที่สุดเลย” หลัวเซียวเซียวยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง “ทำไมพวกเขาถึงทำกับสัตว์พวกนี้เช่นนี้ล่ะ?”
“เพราะพวกเขาไม่ใช่มนุษย์” มู่ไป๋ไป่ตอบด้วยใบหน้าเย็นชา เธอมองโซ่เส้นใหญ่ที่พันอยู่ตรงประตูกรง เมื่อเธอคิดว่าจะหาอะไรบางอย่างมาเปิดมัน ก็มีมือหนึ่งยื่นมาตรงหน้าของเธอ ซึ่งมือนั้นกำลังจับกระบี่ยื่นให้เธอ
คนตัวเล็กสะดุ้งตกใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นหน้ากากเงินที่ดูเย็นเยียบของเซียวถังอี้
“รับไปสิ” เด็กหนุ่มมองเด็กหญิงแล้วพูดเบา ๆ “กระบี่นี้สามารถตัดเหล็กได้ แม้ว่ามันจะเป็นเหล็กกล้าที่แข็งที่สุดในโลกก็ไม่มีปัญหา”
“แต่ข้าคิดว่าคนของศาลาหมื่นอสูรคงไม่ยินดีที่จะใช้เหล็กกล้ามากักขังสัตว์ที่กำลังจะป่วยตายพวกนี้หรอก”
มู่ไป๋ไป่พ่นลมหายใจ ก่อนจะรับกระบี่อ่อนของเขามาแล้วเดินไปที่ประตูกรง
“ท่านจ้าวอสูร! รีบช่วยพวกเขาเร็วเข้า!” หมีดำตัวใหญ่ที่อยู่ข้างกรงตะโกนเรียกเด็กหญิงอย่างเป็นกังวล “พวกเขากำลังจะตายแล้ว”
ข้างหน้าหมีดำมีลูกหมีตัวเล็ก 2 ตัวกำลังหายใจรวยรินมากขึ้นเรื่อย ๆ
มู่ไป๋ไป่เดินไปที่โซ่เหล็กด้วยหน้าตาบึ้งตึงพลางกระชับกระบี่ไว้ในมือทั้ง 2 ข้างและออกแรงฟันโซ่เหล็กเต็มกำลัง
กระบี่อ่อนของเซียวถังอี้มีน้ำหนักเบามาก เด็กอย่างเธอจึงสามารถใช้มันได้อย่างง่ายดาย แต่ข้อเสียก็คือแรงที่ถูกเหวี่ยงออกไปไม่มีน้ำหนักมากนัก แต่มันก็เป็นไปตามที่อีกฝ่ายพูด เพียงแค่ฟันลงไปครั้งเดียว โซ่เหล็กก็ถูกตัดออก
จากนั้นหลัวเซียวเซียวกับจื่อเฟิงก็รีบเปิดกรงออกกว้าง ทำให้ดวงตาของเหล่าสัตว์ที่กำลังจะตายค่อย ๆ มีความหวังมากขึ้น
แรกสุด หมาป่าไคโยตีเดินออกจากกรงตัวสั่น
ไม่นานก็มีกวางอีกตัวที่มีขนสีขาวก้าวออกมา
ตอนนี้มนุษย์ทุกคนที่อยู่ในที่นี้เงียบมาก พวกเขาทำเพียงแค่เฝ้าดูสัตว์ป่าที่อ่อนแอก้าวออกจากกรงเงียบ ๆ
“ข้า… ข้าจะไปสั่งให้คนเตรียมยาไว้” เสิ่นจวินเฉาปาดน้ำตาของตัวเองแล้วกล่าวว่า “สัตว์พวกนี้ต้องได้รับการรักษา”
หลังจากพูดจบเขาก็รีบวิ่งออกจากศาลาหมื่นอสูรไปอย่างรวดเร็ว
“องค์หญิงหก พระองค์จะทำอย่างไรกับสัตว์พวกนี้?” อวี้เซิ่งที่ฟื้นคืนจากอาการตกใจก้าวออกไปพูดกับมู่ไป๋ไป่ “ที่นี่มีสัตว์อยู่อย่างน้อยหลายร้อยตัว ท่านจะเอาพวกมันไปไว้ที่ไหนหลังจากที่ช่วยพวกมัน?”
เหมือนสัตว์เหล่านี้สัมผัสได้ถึงความหมายในคำพูดของเขา เหล่าสัตว์ป่าที่คิดจะเดินหนีไปก่อนหน้านี้ก็หันมาจ้องเขาอย่างหวาดระแวง
ในทางกลับกัน อวี้เซิ่งไม่ได้รู้สึกกลัวพวกมันเลย เขาเชื่อว่ามู่ไป๋ไป่กำลังทำสิ่งที่ดี และสัตว์พวกนี้ก็ไม่มีพิษมีภัยอะไร บางตัวไม่ใช่สัตว์ในท้องถิ่นของแคว้นเป่ยหลง พวกมันถูกส่งมาจากต่างแคว้น
หากพวกมันถูกปล่อยเข้าไปในธรรมชาติ มันคงไม่เป็นผลดีสักเท่าไหร่นัก
ทางด้านมู่ไป๋ไป่นั่งลงกับพื้นเพื่อลูบหัวกวางขาวโดยไม่พูดอะไร
“ข้าได้ยินมาว่าในวังหลวงมีอุทยานที่เอาไว้ใช้เลี้ยงสัตว์อยู่” จู่ ๆ เซียวถังอี้ก็พูดขึ้นมา “องค์หญิงหกได้ช่วยเหลือสัตว์พวกนี้เอาไว้ ทำไมถึงไม่นำสัตว์ดุร้ายทั้งหมดไปอาศัยอยู่ที่นั่นล่ะ”
“ส่วนสัตว์ที่เหลือก็ปล่อยให้ไปอาศัยอยู่บนภูเขาด้านหลังวัดฮู่กั๋ว”
“ถึงอย่างไรภูเขาที่ตั้งของวัดฮู่กั๋วนั้นก็ไม่ได้เล็ก ดังนั้นการเลี้ยงดูสัตว์ไม่กี่ตัวคงไม่น่าเป็นปัญหาอะไร”
“ท่านอ๋—” อวี้เซิ่งขมวดคิ้วอย่างไม่เห็นด้วย “คุณชายเซียว นั่นอาจจะดูง่ายสำหรับท่าน ท่านรู้หรือไม่ว่าจะต้องใช้กำลังคนและทรัพยากรมากเท่าไหร่ในการขนส่งสัตว์พวกนี้ไปที่วังหลวง”
“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าสัตว์ป่าพวกนี้กัดคนจนตายระหว่างที่เคลื่อนย้าย?”
“ใครจะเป็นคนรับผิดชอบ?”
เขาไม่น่าปล่อยให้องค์หญิงหกเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้เลย
“ข้าจะรับผิดชอบเอง” ทันใดนั้นมู่ไป๋ไป่พูดขึ้นพร้อมกับมองอีกฝ่ายด้วยสายตาจริงจัง “ข้าสามารถรับประกันได้ว่าพวกมันจะไม่ทำร้ายใคร อวี้เซิ่ง ท่านลืมไปแล้วหรือว่าข้ารู้วิธีฝึกสัตว์ให้เชื่อง”
“...”
“นอกจากนี้ ไม่จำเป็นต้องให้คนในวังมาขนพวกมันไป” คนตัวเล็กยิ้มหวาน “หลังจากที่พวกมันรักษาตัวจนหายแล้ว ข้าจะพาพวกมันกลับไปเอง”
“ท่านพ่อเป็นคนรักสัตว์มากเช่นกัน ข้าเชื่อว่าท่านจะต้องเห็นด้วยกับสิ่งที่ข้าทำ”
อวี้เซิ่งเหลือบมองสัตว์หลากหลายชนิดที่คอยปกป้องมู่ไป๋ไป่อย่างเชื่อฟัง และเขาก็ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรอยู่ครู่หนึ่ง
เวลาผ่านไปไม่นานเสิ่นจวินเฉาก็กลับมา เขาได้สั่งให้คนนำผลเพลิงสีชาดจำนวนมากและสมุนไพรหลากหลายชนิดที่สัตว์สามารถใช้ได้ติดมาด้วย
แล้วคนของหอไป่เฉ่าจำนวนมากก็มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ เหล่าหมอฝึกหัดรู้สึกหวาดกลัวเมื่อเห็นสัตว์ดุร้ายมากมายในตอนแรก แต่พอเห็นว่าพวกมันอ่อนแอมากและไม่มีทีท่าว่าจะทำร้ายคน ดังนั้นพวกเขาจึงผ่อนคลายความระมัดระวังลงแล้วไปช่วยรักษาสัตว์ทีละตัว
สัตว์ป่าพวกนี้จะต้องใช้เวลาพักฟื้นอีกสักพักกว่าจะหายดี ดังนั้นมู่ไป๋ไป่จึงตัดสินใจใช้ศาลาหมื่นอสูรเป็นสถานพยาบาล