บทที่ 128 เกาะเหออู ตอนที่ 31
บทที่ 128 เกาะเหออู ตอนที่ 31
ชาวบ้านเริ่มทยอยออกมาจากบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน อากาศอบอุ่นภายในห้องโถงเมื่อเจอกับความเย็นชื้นภายนอกก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว
ทุกคนกระชับเสื้อผ้าที่สวมอยู่ “อากาศแบบนี้ช่างน่ารำคาญจริง ๆ…”
ชาวบ้านคนหนึ่งเพิ่งบ่นออกมาก็ถูกอีกคนข้าง ๆ ตบเบา ๆ ที่ไหล่
“ดึกขนาดนี้อย่าพูดอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า ระวังไว้หน่อย”
ชาวบ้านที่บ่นเมื่อครู่จึงเงียบไป เพราะนี่เป็นช่วงเวลาพิเศษ
ประตูเหล็กของบ้านหัวหน้าหมู่บ้านถูกเปิดออก วังเซียนเป็นคนออกมาเปิดเอง โดยปกติแล้วเขาไม่อยากจะส่งชาวบ้านที่โลภพวกนี้นักหรอก แต่เขาต้องฟังคำสั่งของพ่อ
ยิ่งไปกว่านั้น ชาวบ้านเหล่านี้ได้ถือหุ้นไปแล้ว ในอนาคตก็ต้องสามัคคีกันมากขึ้น
“เสี่ยวเซียนนี่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วจริง ๆ”
“ลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้านนี่มันไม่ธรรมดาจริง ๆ”
“ใช่เลย”
พวกเขาพูดชมอย่างไม่หยุด เพราะได้ผลประโยชน์จากหัวหน้าหมู่บ้าน แต่คนที่ถือหุ้นมากที่สุดก็ยังเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ซึ่งในอนาคตก็จะเป็นของวังเซียน ดังนั้นจึงต้องรักษาหน้าของเขาไว้
วังเซียนเพียงยิ้มเล็กน้อย โดยไม่ได้แสดงท่าทางไม่พอใจ
ยังไม่ทันที่ชาวบ้านจะพูดคุยกันไปมากกว่านี้ ก็มีเสียงผู้หญิงอุทานขึ้นมา
“โอ๊ย! เด็กคนนี้มายืนตรงนี้จะหลอกใครหรือไง”
ทุกคนฉายไฟไปที่ต้นเสียง ก็พบว่าเป็นลูกชายของต้าอิ๋วที่ตายไปแล้วในป่าก่อนหน้านี้ ทันใดนั้นทุกคนก็เงียบกริบ
วังเซียนก้าวออกมา “ดึกขนาดนี้มาทำอะไรอยู่ตรงนี้ ป้าหลี่ บ้านป้าอยู่ติดกับบ้านเขาพอดี ช่วยพาเขากลับไปหน่อย”
แม้ว่าป้าหลี่จะไม่อยากช่วย แต่เมื่อวังเซียนพูดขึ้นมา ชาวบ้านคนอื่น ๆ ก็มองเธอ ทำให้เธอแอบสบถในใจ “พวกขี้ขลาดกันหมด”
“ก็ได้ งั้นไปกันเถอะ”
ป้าหลี่เดินเข้ามาเรียกเด็กชายให้ไปด้วยกัน แต่เด็กคนนั้นกลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ดวงตาจับจ้องคนทุกคนที่อยู่รอบ ๆ แล้วหยุดมองไปที่วังเซียนอย่างจดจ่อ
วังเซียนรู้สึกกระวนกระวายที่ถูกมอง “พอได้แล้วเจ้าเด็ก รีบกลับบ้านไปซะ อย่าทำให้แม่ของเจ้าเป็นห่วง”
ป้าหลี่เดินเข้าไปดึงแขนของเด็กชาย “รีบไปเถอะ ไม่อย่างนั้นถ้าแม่เจ้าไม่เห็น จะเป็นห่วงเอา เด็กอะไรออกมาวิ่งตอนดึก ๆ แบบนี้”
แรงของเด็กไม่อาจสู้ป้าหลี่ได้ เขาถูกดึงไป แต่ขณะเดินไป เขายังหันกลับมาจ้องมองวังเซียน
“ตั้งแต่พ่อของเด็กคนนี้ตาย เขาก็กลายเป็นเด็กที่เก็บตัว หากออกไปจากที่นี่ได้ คงต้องแนะนำให้แม่ของเขาหาสามีใหม่” ชาวบ้านคนหนึ่งพูดขึ้น
ชาวบ้านที่อยู่ใกล้ ๆ ก็เห็นด้วย เด็กคนนี้มองพวกเขาด้วยสายตาที่เหมือนจะรู้บางอย่าง แต่เรื่องนี้พวกเขาปิดบังไว้ทั้งหมด เด็กจะไปรู้ได้ยังไง
ไม่นาน ชาวบ้านที่เหลือก็แยกย้ายกันไป
ทางด้านป้าหลี่ เธอพาเด็กไปส่งถึงหน้าบ้าน ชี้ไปที่ลานบ้าน “รีบกลับบ้านไป”
พูดจบเธอก็เดินกลับบ้านตัวเองโดยไม่หันมามองอีก และ ปิดประตูโดยไม่สนว่าเด็กจะกลับเข้าบ้านหรือไม่
เธอทำในสิ่งที่ควรทำแล้ว หากเด็กไปทำอะไรที่ไม่ควรก็ไม่เกี่ยวกับเธอ
เด็กชายไม่ได้วิ่งกลับบ้านทันที แต่ยืนมองหมู่บ้านที่ถูกปกคลุมด้วยความมืดอยู่นาน ก่อนจะพ่นลมหายใจเย็น ๆ และ เดินกลับบ้าน
…
เฟิงอี้เฉินที่เพิ่งจัดการกับผีเสร็จ รีบวิ่งกลับมาถึงที่พัก เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็เห็นเสิ่นชงหรานนั่งอยู่บนเตียง เมื่อเห็นเขากลับมาก็ลุกขึ้นทันที
“เป็นยังไงบ้าง?” เสิ่นชงหรานถาม
เฟิงอี้เฉินปิดประตู “ก็ราบรื่นดี แค่เสียเวลาไปตอนกลับ”
เมื่อได้ยินคำว่าเสียเวลา เสิ่นชงหรานก็รู้ทันทีว่าเขาคงเจอผีระหว่างทางกลับ
เฟิงอี้เฉินนั่งลงก่อนจะพูดต่อ “พวกชาวบ้านนั้นมีเรื่องที่ต้องการให้เราทำจริง ๆ แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องอะไร อีกอย่างคือ ทุกคนในหมู่บ้านนี้เตรียมจะย้ายออกไปจากที่นี่ทั้งหมด”
“ย้ายออกไปทั้งหมด? ไม่ใช่ว่าดินวิญญาณอยู่ที่นี่เหรอ? คาดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะยอมออกไป”
เสิ่นชงหรานกล่าว
แม้ว่าจะได้ดินวิญญาณมาบ้างก่อนออกไป แต่ก็ไม่อาจรับประกันความมั่งคั่งที่ยืนยาวได้
เฟิงอี้เฉินพยักหน้า “ใช่ พวกเขาจะย้ายออกไป หัวหน้าหมู่บ้านพรุ่งนี้จะมาหาพวกเรา เราคงจะได้รู้ว่าพวกเขาต้องการให้เราทำอะไร”
เสิ่นชงหรานคิดไปคิดมา รู้สึกว่าคงเกี่ยวกับดินวิญญาณแน่ ๆ “หรือพวกเขาต้องการให้เราไปที่ป่าเพื่อหาดินวิญญาณ ที่หมู่บ้านนี้นอกจากดินนั้นก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรที่สำคัญอีกแล้ว”
เฟิงอี้เฉินพูดว่า “มันต้องอันตรายแน่ ๆ และ คนหกคนในโลกภารกิจนั้นเป็นคนที่หมู่บ้านนี้คัดเลือกมา เราที่ถูกส่งมาทำภารกิจในที่นี้มีสถานะคล้ายกับคนทั้งหก และ ตอนนี้คนพวกนั้นก็ตายไปบ้าง
หายไปบ้างแล้ว”
เสิ่นชงหรานเริ่มตรวจสอบอุปกรณ์ในตัว หวังว่าจะสามารถผ่านพ้นวันพรุ่งนี้ไปได้
“ว่าแต่ว่า แล้วดินวิญญาณล่ะ จะทำยังไงดี?”
เฟิงอี้เฉินพูดต่อ “ตอนแรกคิดว่าจะขโมยดินวิญญาณออกมา แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้ว ในเมื่อพวกนั้นจะย้ายออกไป พวกเขาต้องเอาดินวิญญาณขึ้นเรือไปด้วยแน่ ๆ เราแค่ขึ้นเรือก็สามารถเอามาได้ มันง่ายกว่าที่จะไปค้นหาที่บ้านหัวหน้าหมู่บ้าน”
ตอนนั้นเรือจะกลายเป็นเหมือนเกาะเล็ก ๆ ที่เล็กกว่าตอนนี้ หากเกิดการต่อสู้กันจริง ๆ พื้นที่ที่แคบจะกลับกลายเป็นข้อได้เปรียบในการจัดการกับคนพวกนั้น
พวกเขาต้องขึ้นเรือแน่ เพราะภารกิจนี้ไม่มีการจำกัดเวลา หากไม่ได้ขึ้นเรือ จะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่อาจบอกได้
ในภารกิจที่มีการจำกัดเวลา แม้จะผ่านเวลาไปแล้วแต่ยังไม่เสร็จสิ้นภารกิจก็ยังสามารถกลับไปที่หน้าสรุปผลได้ แต่สำหรับภารกิจในครั้งนี้ เสิ่นชงหรานไม่อาจแน่ใจได้เลยว่าหากพลาดการขึ้นเรือจะสามารถกลับไปที่หน้าสรุปผลได้หรือไม่
…
เสิ่นชงหรานยืนอยู่กลางลานของหมู่บ้าน เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นกลุ่มคนอยู่ไม่ไกล
เธอเดินเข้าไปใกล้ ผ่านกลุ่มคนเหล่านั้นไปได้ง่าย ๆ และ เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งคุกเข่าอยู่ตรงกลาง
“ขอร้องล่ะครับลุงวัง ให้ผมพาแม่ไปรักษาเถอะ แม่ป่วยหนักจนแทบไม่ไหวแล้ว!”
เด็กหนุ่มคนนั้นร้องขอด้วยใบหน้าที่เศร้าโศก แต่ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ตรงข้ามไม่ได้รู้สึกอะไร แม้ตอนนี้จะดูหนุ่มกว่า แต่เสิ่นชงหรานก็จำได้ว่าเขาคือหัวหน้าหมู่บ้านแซ่วังคนปัจจุบัน
“เสี่ยวเยว่ เจ้ารู้กฎของหมู่บ้านดี ใคร ๆ ก็รู้ว่าของพิเศษของหมู่บ้านเราคืออะไร ถ้าเจ้าพาแม่เจ้าไปโรงพยาบาลในเมือง คนที่ซื้อของพิเศษจากเราจะคิดยังไง”
คำพูดนี้เป็นการปฏิเสธอย่างชัดเจน
แววตาของเด็กหนุ่มมีแววแห่งความสิ้นหวัง เขาเงยหน้ามองไปรอบ ๆ ผู้คนที่เคยเป็นเพื่อนบ้าน เป็นชาวบ้านเดียวกัน แต่ไม่มีใครพูดอะไรเพื่อช่วยเขาเลย
แต่เขาก็ยังคงก้มหน้าลง แล้วเอาหน้าผากโขกลงพื้นดิน แม้จะเป็นดินโคลนแต่ก็มีหินปนอยู่ โขกหนัก ๆ ไม่กี่ครั้งก็ทำให้หน้าผากเขาถูกหินบาด
หลังจากโขกไปอีกไม่กี่ครั้ง ก็เริ่มมีเลือดไหล แต่ผู้คนรอบข้างก็ยังคงนิ่งเฉย
เด็กหนุ่มร้องเสียงหลง “ขอร้องล่ะครับ ให้ผมพาแม่ไปรักษาเถอะ ผมมีแม่เพียงคนเดียวเท่านั้น!”
เสียงร้องของเขาทำให้เสิ่นชงหรานที่ยืนดูอยู่ข้าง ๆ รู้สึกเศร้าใจ เด็กคนนี้ถูกบีบคั้นจนสุดทางแล้ว
แต่หัวหน้าหมู่บ้านแซ่วังยังคงไม่แยแส “กฎก็คือกฎ” เขาหยิบซองกระดาษจากกระเป๋าเสื้อแล้วโยนไปให้เด็กหนุ่มที่คุกเข่าอยู่
เด็กหนุ่มนึกว่ามันเป็นยา แต่เมื่อเปิดดูก็พบว่ามันเป็นแค่ดินธรรมดา
เขาจ้องหัวหน้าหมู่บ้านด้วยตาแดงก่ำ “ท่านต้องการให้เราทั้งครอบครัวตายหรือไง”
หัวหน้าหมู่บ้านแซ่วังแค่นเสียงเย็นชา “ให้พวกเจ้าตายอะไรกัน ข้าทำทั้งหมดนี้เพื่อหมู่บ้าน พวกเราไม่เคยออกไปรักษาข้างนอก”
จากนั้นเขาก็เงยหน้ามองชาวบ้านที่ล้อมรอบอยู่ “หากเขาพาแม่ออกไปข้างนอก ความมั่งคั่งของพวกเจ้าทุกคนก็จะสูญสิ้นไป คิดให้ดี ๆ”
พูดจบเขาก็หันหลังเดินจากไป ส่วนชาวบ้านที่ล้อมรอบ แม้จะรู้สึกไม่สบายใจบ้าง แต่เมื่อนึกถึงเงินที่จะได้รับ ความรู้สึกนั้นก็หายไป หากจะต้องเสียทุกอย่างเพราะคน ๆ เดียวก็ไม่คุ้ม...
ชาวบ้านพากันแยกย้าย ไม่มีใครสนใจเด็กหนุ่มที่คุกเข่าอยู่อีกต่อไป
..........