ตอนที่ 24 : แสร้งทำเป็นเจ๋งเบาๆ
ขณะที่พูดคุยกันเรื่อยเปื่อย ไม่ทันรู้ตัวก็ถึงเวลาเที่ยงวัน
พอคนทั้งกลุ่มกินดื่มจนอิ่มแล้วก็เรียกเถ้าแก่มาเช็คบิล
สิ่งที่เจียงฉินไม่คาดคิดก็คือชายอีกสองคนนั้นไม่ได้เป็นคนโง่เหมือนฉินจื่ออัง และพวกเขาก็จ่ายแค่ค่าชานมของตัวเองเท่านั้น
แต่กัวจื่อหังต่างห่างที่เป็นพวกติงต๊อง เขาหยิบเอาค่าขนมออกจากกระเป๋าเพื่อจะเลี้ยงคนอื่น แต่ถูกเจียงฉินห้ามไว้ซะก่อน
ทำตัวเป็นสุนัขขี้ประจบก่อนจะเริ่มเรียนมหาวิทยาลัยไม่พอ ยังจะไปประจบสาวๆ ทั้งๆ ที่ยังไม่ทันได้รู้จักกันดีด้วยซ้ำ แถมยังมีผู้ชายอีกสองคนอีก นี่มันคนโง่ชัดๆ!
สุดท้ายทุกคนก็จ่ายบิลของตัวเองอย่างว่าง่าย มีแค่เจียงฉินเท่านั้นที่สบตากับเจ้าของร้านแล้วขอให้เขาลดราคาให้สักนิด
“เพื่อน ชานมแก้วนี้ของนายมันราคาสิบหยวนอยู่แล้ว ไม่มีเศษให้ปัดหรอกนะ”
“งั้นผมจ่ายคุณแปดหยวนได้ไหม?”
“เอ่อ…นี่ ก็ได้”
หลังจากได้ยินการสนทนานี้ คนอื่นๆ ก็อดไม่ได้ที่จะมองเขาด้วยความรังเกียจ
แม้ว่านักศึกษามหาวิทยาลัยจะมีค่าขนมไม่มากนัก แต่ชานมหนึ่งแก้วราคาแค่สิบหยวนพวกเขาก็น่าจะจ่ายได้ไม่ใช่เหรอ?
ปัง!
เสียงกระแทกแผ่วเบาดังขึ้นเมื่อเจียงฉินตบธนบัตรสิบหยวนใหม่เอี่ยมลงบนโต๊ะอย่างฉับพลัน
“ไม่ต้องทอน สองหยวนที่เหลือถือว่าเป็นทิป”
“??????”
เถ้าแก่สับสน นักศึกษาที่มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหลินชวนก็สับสน แต่เจียงฉินเพียงแค่ยิ้ม
อะไรคือความหมายของชีวิต?
แน่นอนว่ามันคือการแสร้งทำเป็นเจ๋งเบาๆ ทุกที่ทุกเวลา ก็เพื่อปลอบประโลมตัวเองจากช่วงเวลาที่ยาวนานและน่าเบื่อหน่ายนี้
เมื่อเห็นฉากนี้ หงหยานซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามก็อดไม่ได้ที่จะมองเจียงฉินอย่างพิจารณา เธอรู้สึกว่าชายคนนี้น่าสนใจจริงๆ ไม่เพียงแต่เขาจะพูดจาฉะฉานน่าฟัง แต่ยังไม่ทำตามแบบแผนที่เธอเคยเจอมาก่อนด้วย ผู้ชายคนนี้ดูเหมือนจะต่างออกไปจากทุกคนที่เธอเคยรู้จัก
ส่วนผู้ชายอีกสามคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ต่างก็มีท่าทางครุ่นคิด คิดในใจว่าวิธีแบบนี้ดูฉลาดดี แถมยังประหยัดเงินด้วย ต่อไปจะลองทำแบบนี้บ้างดีไหม?
เวลาประมาณบ่ายโมง อากาศร้อนจัด หลายคนเริ่มคุยกันว่าจะไปกินข้าวเที่ยงที่ไหน
เจียงฉินตบไหล่กัวจื่อหังแล้วบอกว่าเขาจะไม่ไป เขาไม่ใช่นักศึกษาของมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตั้งแต่แรก จึงไม่จำเป็นต้องอยู่นานกว่านี้
“พวกนายกินให้อร่อยนะ ฉันต้องกลับไปที่มหาวิทยาลัยก่อน”
กัวจื่อหังตื่นตระหนกทันที: “พ่อบุญธรรม ฉันทำไม่ได้ถ้าไม่มีนาย ฉันคุยกับคนที่เพิ่งรู้จักไม่เป็น”
เจียงฉินถ่มน้ำลายอย่างหนัก: “นายมันขี้ขลาด นายทำให้พ่อบุญธรรมอย่างฉันอับอายขายขี้หน้าจริงๆ ถ้าตอนนี้ฉันช่วยนายเข้าสงคม ในอนาคตฉันไม่ต้องช่วยนายหาแฟนเลยเหรอ?”
“แต่ว่า… พรุ่งนี้ถึงจะเป็นวันเปิดเทอมอย่างเป็นทางการนี่นา แล้วช่วงบ่ายนายจะทำอะไรล่ะ?”
“เฟิงหนานซูจะมาถึงมหาวิทยาลัยตอนบ่าย ฉันต้องพาเธอไปเดินสำรวจก่อน ผู้หญิงคนนี้ไม่ค่อยถนัดเรื่องทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมใหม่สักเท่าไหร่” เจียงฉินพูดพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา
“พี่เจียง ทำไมฉันรู้สึกเหมือนนายรับเลี้ยงลูกสาวเลย?”
เจียงฉินตกตะลึงหลังจากที่ได้ยิน แต่ก็รู้สึกว่าคำพูดนี้ฟังดูไม่เลวเลย เฟิงหนานซูคนนั้นเป็นทั้งคนที่กลัวสังคมและยังดูใสซื่อไร้เดียงสา เหมือนกับเด็กสาวตัวน้อยที่ยังไม่โต ในเมื่อเขาเองก็อายุเกือบจะสี่สิบแล้ว การบอกว่าเขากำลังเลี้ยงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็ดูไม่ผิดอะไร
เจียงฉินจึงกล่าวลากับทุกคนแล้วขึ้นรถบัสไปทางมหาวิทยาลัยหลินชวน
หลังจากมาถึงป้ายรอรถประจำทางเจียงฉินก็ก็ลงจากรถและเห็นประตูมหาวิทยาลัยที่คุ้นเคยทันที ถึงจะกล่าวกันว่ามันคือประตูมหาวิทยาลัย แต่ในความเป็นจริงมันคืออาคารสี่เหลี่ยมรูปทรงไม่สมมาตร ทั้งตัวอาคารถูกทาด้วยสีขาวและมีคำว่ามหาวิทยาลัยหลินชวนเขียนไว้ที่ด้านบน จะว่าดูสง่างามน่าเกรงขามหรือจะว่าดูมีศิลปะก็ได้เช่นกัน
เนื่องจากเป็นช่วงเปิดเทอมใหม่จึงทำให้บริเวณหน้าประตูมหาวิทยาลัยดูคึกคักเป็นพิเศษ ได้ยินทั้งเสียงตะโกนและเสียงแตรรถทุกประเภท มีทั้งนักศึกษาปีหนึ่งที่มากับครอบครัว นักศึกษาเก่าที่กลับมาเรียน และพ่อค้าแม่ค้าที่ถือโอกาสมาขายข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เช่นกะละมังล้างหน้า แก้วน้ำ เสื้อผ้า ไม้แขวนเสื้อ และของใช้ในชีวิตประจำวันอื่นๆ ที่ตรงบริเวณประตูทางเข้า
ดูวุ่นวายไปหมด
เจียงฉินไม่ต้องการเบียดเสียดกับคนอื่น ดังนั้นเขาจึงนั่งยองๆ อยู่ที่ป้ายรอรถพลางมองดูนักศึกษาสาวที่เดินผ่านไปมา รวมถึงขาที่ขาวเนียนสวยและเอวสะโพกที่งดงามสมส่วน
แต่ในวินาทีต่อมาเขาก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวที่ค่อนข้างรู้สึกคุ้นเคย และหญิงสาวคนนั้นก็มองเขาด้วยความประหลาดใจ
“เจียง...เพื่อนร่วมชั้นเจียงฉิน?”
“หงหยาน ทำไมเธอถึงมาที่นี่ด้วย?”
เมื่อทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนคำถามกัน มองหน้ากัน ทันใดนั้นทุกอย่างก็ชัดเจน
เยี่ยม นี่มันการแสดงร่วมกันนี่นา
ชัดเจนว่าเราเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยหลินชวนเหมือนกัน แต่บังเอิญว่าเราเจอกันที่มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และเราก็แกล้งทำเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน แต่กลับกลายเป็นว่าเราคือเพื่อนร่วมชั้นกันจริงๆ
“งั้นเรามาทำความรู้จักกันอีกครั้ง คณะนิติศาสตร์หลินชวน หงหยาน”
“คณะการเงินหลินชวน เจียงฉิน”
หงหยานรู้สึกประหลาดใจที่ตนเองเดาถูก เธอจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม: “ทำไมนายไม่บอกตั้งแต่แรกล่ะ ถึงกับบอกด้วยซ้ำว่าตัวเองอยู่คณะวิทยาการคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แถมยังแสดงได้เนียนมาก!”
เจียงฉินยิ้มเล็กน้อย: “ก็เพราะฉันหล่อเกินไปน่ะสิ ดูไม่เหมือนคนที่เรียนเก่งเท่าไหร่ กลัวบอกออกไปแล้วคนอื่นจะไม่เชื่อ”
“จริงเหรอ?”
“แน่นอน แต่เหตุผลหลักคือฉันไปกับเพื่อน เขาคือตัวเอก เพราะงั้นฉันจึงไม่จำเป็นต้องทำให้ตัวเองดูเหนือกว่าคนอื่น”
“จริงๆ ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”
ดวงตาของหงหยานสั่นไหว และทันใดนั้นเธอก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับคนๆ นี้
เธอมีความฉลาดทางอารมณ์ที่เหนือกว่าคนวัยเดียวกันตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก และเธอก็ถนัดการดูแลเอาใจใส่อารมณ์ของคนอื่นมาก สิ่งนี้จึงทำให้เธอมีเพื่อนมากมาย แต่มันก็ทำให้เธอรู้สึกทุกข์ใจมากเช่นกัน
ทำไมน่ะเหรอ?
เนื่องจากความฉลาดทางอารมณ์ของเธอสูงกว่าเพื่อนในวัยเดียวกัน พฤติกรรมของคนรอบข้างจึงดูเด็กมากในสายตาของเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอมีหน้าตาสวยงามและรูปร่างที่ดี จึงทำให้เด็กผู้ชายหลายคนในโรงเรียนมัธยมปลายชอบที่จะทำตัวอวดเบ่งเป็นพิเศษตอนอยู่ต่อหน้าเธอ ซึ่งก็ทำเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเธออีกที
แม้กระทั่งครั้งหนึ่งตอนที่เธอเดินผ่านสนามบาสเก็ตบอล จู่ๆ ก็มีคนโยนลูกบาสใส่หน้าเธอโดยเจตนาแล้วแกล้งทำเป็นว่าไม่ได้ตั้งใจ
ถึงเธอจะคิดว่าคนเหล่านั้นโง่แต่เธอไม่สามารถบอกพวกเขาได้ตรงๆ ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงพูดให้น้อยลงและยิ้มให้มากขึ้น
ด้วยเหตุนี้เธอจึงรู้สึกโดดเดี่ยวมาก
แต่ครั้งนี้เธอได้พบกับคนที่ทำให้เธอสบายใจได้ทั้งคำพูดและการกระทำ ซึ่งหาได้ยากมากจริงๆ
ลองจินตนาการดูว่าจะเป็นยังไงถ้าในร้านชานมเมื่อกี้เป็นคนอื่น?
เขาต้องอยากแสดงความเหนือกว่าอย่างแน่นอน เขาจะบอกว่าตัวเองมาจากหลินชวนทันทีที่เปิดปากและก็ต้องการได้รับคำชมจากคนอื่น
ไม่ใช่ว่าหงหยานเกลียดคนประเภทนี้ แต่เธอชอบที่จะผูกมิตรกับคนที่มีบุคลิกมั่นคงมากกว่า คนเราล้วนมีรสนิยมที่แตกต่างกัน และวิธีการปกปิดตัวตนของเจียงฉินนั้นก็ตรงเสป็คหงหยานพอดี
แต่ตอนนี้เธอต้องรีบกลับไปที่หอพักเพื่อจัดเตียงและไม่มีเวลาพูดคุยมากนัก ดังนั้นเธอจึงได้เริ่มเป็นฝ่ายขอเพิ่ม QQ กับเจียงฉิน
“นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันขอเพิ่ม QQ กับผู้ชายก่อน ฉันไม่เคยทำแบบนี้เลย”
“บังเอิญจัง นี่ก็เป็นครั้งแรกที่มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาขอเพิ่ม QQ กับฉันเหมือนกัน”
หงหยานยิ้มอย่างสงบและผ่อนคลาย: “ถ้างั้นฉันขอตัวก่อนนะ ในหอพักยังมีอีกหลายเรื่องต้องทำ ถ้านายว่างเราค่อยหาเวลามาคุยกันไหม?”
เจียงฉินพยักหน้าเบาๆ: “โอเค ไว้เจอกัน”
“บาย”
หงหยานโบกมือให้เขา จากนั้นก็เลี้ยวเข้าประตูมหาวิทยาลัยทางฝั่งตะวันออกไป
เจียงฉินข้ามสะพานลอยแล้วเดินไปที่วิทยาเขตหลัก จากนั้นก็ใช้กำลังสุดชีวิตในการเบียดตัวเข้าไปข้างใน พอเบียดตัวเข้ามาได้เขาก็ถึงกับร้องอุทานว่าโอ้โห เพราะข้างในนั้นแออัดยิ่งกว่าข้างนอกซะอีก
นอกจากนี้ยังมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะพลัดหลงกับแฟนสาวของเขาและเอาแต่ตะโกนอย่างบ้าคลั่งท่ามกลางฝูงชนว่า “ฉีเจียอี” “ฉีเจียอี”!
เจียงฉินฟังแล้วรู้สึกหงุดหงิด จึงเบียดเข้าไปบอกเขาด้วยความใจดีว่า: พี่ชาย ฉีเจียอีเท่ากับแปด เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแบบไหนทำไมยังบวกลบเลขไม่ได้อีก?
หลังจากนั้นเจียงฉินก็เดินตามแผนที่ที่แนบมากับจดหมายตอบรับไป ในที่สุดก็พบอาคารหอพักของตัวเองซึ่งก็อยู่ในบริเวณที่มีผู้คนหนาแน่นเช่นกัน
ทันทีที่เขาเปิดประตูเข้าไป ในห้องพักมีคนสามคนกำลังคุยกันอยู่ เจียงฉินรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยเพราะเบียดฝ่าฝูงชนเข้ามา ดังนั้นเขาจึงนั่งลงบนเก้าอี้เพื่อพักผ่อนพลางฟังการสนทนาของพวกเขา และก็ค่อยๆ รู้จักทั้งสามคนมากขึ้นในระดับหนึ่ง
โจวเชาเป็นชาวหลงเฉิงจากทางใต้ มีผิวสีเข้มและรูปร่างค่อนข้างเล็ก
เหรินจื้อเฉียงเป็นชาวตงซาน รูปร่างสูงผอม มีสิวที่ใบหน้าเล็กน้อย แต่เขาพูดจาสุภาพมาก
เฉากวงอวี่มาจากหางเฉิง ใส่ของแบรนด์เนมทั้งตัว บุคลิกท่าทางสูงส่งมาก ตอนที่แนะนำตัวเขายังเน้นเป็นพิเศษว่าพ่อทำธุรกิจ
“เพื่อน แล้วนายล่ะ?”
“เจียงฉิน ชาวจี้โจว ปกติชอบทำธุรกิจ”
“บัดซบ นายเกทับฉันเหรอ!”
เฉากวงอวี่โกรธจนแทบพูดไม่ออก นายพูดแบบนี้ไม่ใช่ว่านายกำลังพยายามทำให้ตัวเองเป็นพ่อของฉันอยู่งั้นเหรอ? เหรินจื้อเฉิงและโจวเชาที่อยู่ข้างๆ ต่างก็หัวเราะออกมาเสียงดัง ในใจคิดว่านายสมควรได้รับมัน ทีนี้รู้หรือยังว่าแสร้งทำเป็นเจ๋งจนโดนฟ้าผ่ามันเป็นยังไง?
เจียงฉินคิดในใจว่า แม่มันเถอะ ฉันไม่ได้พูดอะไรผิดสักหน่อย ฉันก็แค่ชอบทำธุรกิจจริงๆ ไม่พอใจแล้วไง นายจะกัดฉันเหรอ?
(จบตอน)
อธิบายมุกฉีเจียอี คำว่าฉีเจียอี หรือ 齐佳怡 ตัวฉีนั้นออกเสียงคล้ายกับคำว่า 七 ชี ที่แปลว่า 7 และตัวอีก็ออกเสียงคล้ายกับคำว่า 一 อี ที่แปลว่า 1 ส่วนคำว่าเจียออกเสียงเหมือนกับคำว่า 加 เจีย ที่แปลว่าบวก ดังนั้นผู้ชายที่กำลังตะโกนเรียกแฟนว่าฉีเจียอี ก็เหมือนกับกำลังตะโกนว่าเจ็ดบวกหนึ่งได้เท่าไหร่ เจียงฉินมันก็เลยโผล่ไปตอบว่าเท่ากับแปด