ตอนที่ 23 : มุ่งหน้าสู่หลินชวน
ยามเช้าตรู่ของปลายเดือนสิงหาคม เจียงฉินเก็บสัมภาระและเดินทางมาที่สถานีรถไฟ
ภายใต้สภาพอากาศที่ร้อนจัด สถานีรถไฟจะเนืองแน่นไปด้วยผู้คนจนรองเท้าคุณแทบจะหลุดหายเพียงแค่ก้าวเท้าเดินเข้าไป
อันที่จริงแล้วปรากฏการณ์นี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะนี่เป็นช่วงเปิดเทอมของมหาวิทยาลัย
เจียงฉินยืนอยู่หน้าทางเข้า คลายฝาขวดน้ำแร่ในมือแล้วยกขึ้นจิบ ในใจคิดว่าโชคดีที่คุณหยวนโหย่วฉินกับคุณเจียงเจิ้งหงไม่ได้มาส่ง ไม่งั้นตัวเองคงต้องเสียเวลาไปกับการตามหาคู่สามีภรรยานี้ท่ามกลางฝูงชนนับไม่ถ้วนแน่นอน
สิบนาทีต่อมา กัวจื่อหังเจ้าอ้วนดำก็มาถึง
เขาสมัครเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหลินชวน ซึ่งถือเป็นมหาวิทยาลัยชั้นสองที่ดีแห่งหนึ่ง อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยหลินชวนมากนัก ดังนั้นทั้งสองจึงตัดสินใจเดินทางไปด้วยกัน
หลังจากผ่านจุดตรวจรักษาความปลอดภัยและตรวจตั๋วแล้วทั้งสองก็เดินขึ้นรถไฟ หาที่นั่งแล้วนั่งลง
นี่เป็นครั้งแรกที่กัวจื่อหังเดินทางไกล เขาไม่เคยมีโอกาสได้นั่งรถไฟมาก่อน ดังนั้นทันทีที่ขึ้นรถไฟเขาก็รู้สึกตื่นเต้นมาก เอาแต่มองไปรอบๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
โชคดีที่รถไฟออกตัวค่อนข้างเร็ว เมื่อทิวทัศน์นอกหน้าต่างเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง กัวจื่อหังก็เริ่มสงบเสงี่ยมมากขึ้น
“พี่เจียง นายคิดว่าชีวิตในมหาวิทยาลัยจะเป็นยังไง?”
“ชีวิตในมหาวิทยาลัย? ก็ค่อนข้างดี”
“?????”
เจียงฉินถอดเสื้อคลุมออกแล้วยัดไว้ตรงด้านหลัง จากนั้นเอนตัวพิงที่นั่งพร้อมมองออกไปนอกหน้าต่าง
เศรษฐกิจในจี้โจวยังถือว่าดี แต่การลงทุนด้านการพัฒนาเมืองยังน้อยเกินไป ทำให้ถนนหนทางและตึกรามบ้านช่องอยู่ในสภาพเก่าทรุดโทรม ยังเทียบกับเมืองระดับเทศมณฑลที่อยู่ภายใต้การปกครองไม่ได้ด้วยซ้ำ
ดังนั้นเมื่อรถออกจากสถานี สิ่งแรกที่เข้ามาในสายตาคือเมืองชนบทอันกว้างใหญ่ ตามมาด้วยทุ่งข้าวสาลีสีทองและแม่น้ำจี้ที่ล้อมรอบเมืองจี้โจว
แต่น่าแปลกที่เจียงฉินกลับรู้สึกว่าตนไม่ค่อยคุ้นเคยกับทิวทัศน์นอกหน้าต่างสักเท่าไหร่
ชีวิตที่แล้วฉันไม่ได้นั่งรถไฟเหรอ?
ไม่น่าเป็นไปได้ หรือว่าฉันจะเดินมาเองด้วยขาบัดซบนี่?
แต่ไม่นานเขาก็จำได้ว่าตอนนั้นตนเอาแต่ถือโทรศัพท์และรอข้อความจากฉู่ซือฉีอยู่ตลอดเวลา จนแทบจะไม่ได้เงยหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างเลย
เพราะแบบนี้แหละความรักจึงเป็นสิ่งที่แม้แต่สุนัขก็ยังไม่อยากเอ่ยถึง เพราะคุณจะไม่รู้เลยว่าตัวเองได้พลาดสิ่งสวยงามไปมากแค่ไหนเพียงเพราะคนๆ เดียว
เจียงฉินดันผ้าม่านเพื่อบังแสงแดดนอกหน้าต่าง จากนั้นตั้งใจว่าจะนอนยาวไปตลอดทาง
เมื่อเวลา 11.00 น. รถไฟมาถึงสถานี ผู้โดยสารจำนวนมากหลั่งไหลลงจากชานชาลาแล้วเดินออกไปที่ด้านนอกสถานี
เจียงฉินและกัวจื่อหังเดินอยู่ข้างๆ กัน ลากกระเป๋าเดินทางของพวกเขามาที่โถงผู้โดยสารขาออก จากตรงนี้พวกเขาสามารถมองเห็นตึกซินเม่าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้อย่างรวดเร็ว ด้านบนมีป้ายขนาดใหญ่เขียนไว้ว่าจินเฉียนกุ้ย KTV
“พี่เจียง ตอนนี้เราจะไปไหนกัน?”
เจียงฉินวางมือบนลงบนหูจับกระเป๋าเดินทาง: “แน่นอน เราจะแยกย้ายกันกลับไปที่มหาวิทยาลัยของตัวเอง”
กัวจื่อหังลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า: “งั้นนายไปนัดบอดกลุ่มกับฉันหน่อยได้ไหม?”
“ทำไมถึงมีนัดบอด? เกิดอะไรขึ้น?”
“ไม่นานมานี้ฉันได้เข้ากลุ่มแชทนักศึกษาใหม่ในมหาวิทยาลัยของเรา จากนั้นทุกคนก็บอกว่าอยากจะจัดนัดบอดเพื่อทำความรู้จักกันล่วงหน้า ฉันเลยขอเข้าร่วมด้วย แต่ตอนนี้รู้สึกไม่ค่อยกล้าไปเท่าไหร่”
มุมปากของเจียงฉินกระตุก: “ในโลกจริงขี้ขลาด แต่พออยู่ในโลกโซเชียลกลับด่าคนอื่นอย่างหนัก”
กัวจื่อหังไอเบาๆ เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกอับอาย: “ไหนๆ นายกลับไปก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ช่วยไปเป็นแบ็คให้ฉันหน่อยเถอะ!”
“ก็จริง กลับไปก็ไม่มีอะไรทำ งั้นไปกันเถอะ แต่นายต้องจ่ายค่าแท็กซี่เอง”
“ได้ๆ ฉันจ่ายเอง!”
ทั้งสองจึงนั่งแท็กซี่จากสถานีรถไฟและมุ่งหน้าไปยังมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหลินชวน
เจ้าเหรียญสุนัขตัวนี้ประหม่าตลอดทาง เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่หยุด นิ้วมือก็แทบจะจิกทะลุขากางเกงยีนส์แล้ว
เจียงฉินเห็นแล้วก็รู้สึกว่ามันตลกดี เขาคิดในใจว่า แม่มันเถอะ นายไม่ได้มานัดเจอกับสาวหลังจากที่หาคู่ในออนไลน์ได้สักหน่อย แล้วก็ไม่ใช่คนหน้าตาขี้เหล่ถึงขั้นที่คนอื่นเห็นแล้วจะรับไม่ได้ มันก็แค่นัดบอดธรรมดาๆ จำเป็นต้องกังวลขนาดนี้เลยหรือไง
แต่กัวจื่อหังนั้นแตกต่างจากเขา เขาเป็นคนแบบที่แม้จะโดนคนอื่นเหยียบเท้าก็ยังไม่กล้าเปิดปากพูดอะไร สมัยที่เขายังอยู่ในโรงเรียน แค่จะคุยกับป้าที่โรงอาหารเขาก็ยังใช้เวลาทบทวนอยู่หลายรอบ
ไม่นานรถแท็กซี่ก็มาถึงทางเข้ามหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหลินชวน กัวจื่อหังพาเจียงฉินไปที่ร้านชานมซึ่งตั้งเยื้องๆ อยู่ฝั่งตรงข้ามมหาวิทยาลัย
บอกว่ามันเป็นการนัดบอดกลุ่ม แต่จริงๆ แล้วเป็นแค่การรวมตัวกันกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น ในกลุ่มมีผู้หญิงสี่คนและผู้ชายอีกสองคน คาดว่าน่าจะรวมตัวกันเพราะเป้าหมายบางอย่าง
นักศึกษาในปี 2008 ไม่ค่อยสนใจเรื่องแฟชั่นสักเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับนักศึกษาในยุคอีกสิบกว่าปีให้หลังแล้วพวกเขาดูเรียบง่ายกว่ามาก
เสื้อยืดส่วนใหญ่เป็นสีชมพูหรือไม่ก็สีเหลืองซึ่งพิมพ์ลวดลายที่ซับซ้อน และส่วนใหญ่จะมีกิ๊บติดผมเล็กๆ อยู่บนหัว
ส่วนผู้ชายสองคนที่อยู่ข้างๆ พูดตรงๆ ว่าพวกเขาดูไม่น่าถูกชะตายิ่งกว่ากัวจื่อหังซะอีก
“ฉันชื่อเหลียงเซียว”
“ฉันชื่อสวี่ฉิงฉิง”
“...”
“ฉันชื่อ...กัวจื่อหัง”
“เจียงฉิน”
หลังจากที่แนะนำตัวกันรอบหนึ่งแล้ว เด็กสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านนอกสุดของกลุ่มก็ดึงดูดความสนใจของเจียงฉินได้ทันที
เด็กสาวคนนี้แนะนำตัวว่าชื่อหงหยานมาจากหางเฉิง และเป็นเพื่อนสนิทกับสวี่ฉิงฉิงที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอ แต่เธอไม่ได้บอกว่าเรียนอยู่คณะหรือสาขาวิชาไหน
เธอมีรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาวเนียนใส สวมเสื้อยืดแขนสั้นสีเทาและกางเกงยีนส์ขาสั้นสีดำ อาจเป็นเพราะเธอได้รับสารอาหารครบถ้วน เสื้อยืดแขนสั้นสีเทาของเธอจึงดูรัดรูปและโค้งมนมาก
รูปร่างหน้าตาแบบนี้เมื่อเทียบกับอีกสามคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เห็นได้ชัดเจนว่าอยู่ในระดับที่แตกต่างกัน สัดส่วนเธอโค้งเว้าได้รูป แม้จะไม่แต่งหน้าก็ยังดูสวยมาก
เจียงฉินเองก็รู้ดีว่าการประเมินผู้หญิงทางสายตาของตนนั้นเป็นการกระทำที่ไม่สุภาพ แต่นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่าความประทับใจแรกพบ คุณสามารถบอกได้ทันทีว่าอะไรดีหรืออะไรไม่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความแตกต่างมันชัดเจนมากเกินไป
แน่นอนว่าฝ่ายผู้ชายนั้นชอบมองหงหยาน ในขณะที่สาวๆ จับตามองเจียงฉิน
“เจียงฉิน นายเรียนคณะอะไรเหรอ?”
“ฉัน… คณะวิทยาการคอมพิวเตอร์ สาขาวิศวกรรมซอฟต์แวร์ พี่น้องฉันก็เหมือนกัน”
เจียงฉินตบไหล่กัวจื่อหังพร้อมกับส่งสัญญาณให้เขาเป็นคนพูดบ้าง นี่มันนัดบอดห่าเหวของนายไม่ใช่หรือไง ทำไมถึงต้องให้ฉันเป็นคนพูดตลอดเลยฟะ?
ปรากฏว่าชายคนนี้ดันดูเหมือนคนที่วิญญาณเพิ่งกลับเข้าร่าง พออ้าปากก็ทำได้เพียงพูดซ้ำๆ ว่าใช่
ทันใดนั้นดวงตาของสวี่ฉิงฉิงก็สว่างวาบขึ้น: “ฉันก็เรียนวิศวกรรมซอฟต์แวร์เหมือนกัน นายได้อยู่ชั้นเรียนไหนเหรอ?”
“ชั้นเรียนสองน่ะ”
“ชั้นเรียนสอง อืม.. ชั้นเรียนที่สองงั้นสินะ แล้วมีแฟนหรือยัง?”
เจียงฉินเอื้อมมือไปคว้ากัวจื่อหัง: “เธอกำลังถามนายอยู่นะ นายมีแฟนหรือยัง?”
กัวจื่อหังหน้าแดงทันที: “ยัง… ยังไม่มี”
“แล้วนายล่ะเจียงฉิน?”
“ฉันเหรอ? ฉันชอบเรียนมากกว่า ถ้าไม่ได้เรียนสักวันฉันจะรู้สึกไม่สบายใจมาก เพราะงั้นก็เลยไม่ได้วางแผนว่าจะมีแฟนตอนเรียนมหาวิทยาลัยน่ะ”
เห็นได้ชัดว่าสวี่ฉิงฉิงขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ: “ถ้านายชอบเรียนขนาดนี้แล้วทำไมถึงมาสมัครเข้ามหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหลินชวนล่ะ ไปที่มหาวิทยาลัยหลินชวนไม่ดีกว่าหรือไง?”
หงหยานที่อยู่ข้างๆ รีบสะกิดเธอ: “ฉิงฉิง อย่าพูดประชดสิ บางทีคนอื่นเขาอาจจะแค่ทำได้ไม่ดีก็ได้”
“ไม่เป็นไร ใครๆ ก็พูดแบบนี้ทั้งนั้น พอดีฉันมันเป็นพวกท่องจำตายตัว[1]น่ะ”
“เห็นไหม ฉันพูดถูก” สวี่ฉิงฉิงเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ
หงหยานกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย: “นั่นก็แสดงให้เห็นว่านายทุ่มเทอย่างเต็มที่ อย่างน้อยนายก็ไม่ได้เสียใจภายหลัง”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้เจียงฉินก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ยากมากที่สมัยนี้จะหาผู้หญิงที่รู้จักเอาใจใส่ความรู้สึกของคนอื่นแบบนี้ได้
(จบตอน)
[1] 读死书 ถักสีจือ แปลว่า ท่องจำตายตัว หมายถึง ก้มหน้าก้มตาอ่านอย่างเดียว เอาแค่จำได้แต่ไม่สนใจวิเคราะห์เนื้อหา