ตอนที่ 20 อย่าจริงจังกับคำพูดฉันนักเลย
พอถึงสถานีในเช้าวันถัดมาหลี่เหอก็รู้สึกโล่งใจเสียที "ขอบคุณพระเจ้า!" ในที่สุดเขาก็ไม่ต้องปีนหน้าต่างเพื่อออกจากรถไฟตอนถึงสถานีปลายทาง
หลังจากออกจากสถานี เขาก็สูดอากาศเข้าปอดลึก ๆ แล้วหาที่นั่งตรงบันไดเพื่อจุดบุหรี่ สูบได้ไม่ทันไรก็มีคนแตะบ่าเขาจากด้านหลัง เขาหันไปเห็นว่าเป็นหญิงสาวคนนั้นอีกครั้ง หลี่เหอหันไปมองเธอ
เธอพูดขึ้นอย่างสบาย ๆ ว่า “เพื่อนนักศึกษาหลี่ คุณเป็นน้องใหม่ไม่รู้จักทาง เดี๋ยวฉันพาไป”
หลี่เหอตอบ “ไม่เป็นไรครับ ขอสูบบุหรี่ก่อนแล้วกัน รถเมล์ก็มีป้ายบอกทาง คงไม่หลงหรอก ผมก็ไม่ใช่คนอ่านหนังสือไม่ออก”
เมื่อได้ยินที่เขาพูด หญิงสาวก็ไม่ได้จากไปแต่ยืนรอแล้วพูดขึ้นว่า “งั้นฉันรอให้คุณสูบเสร็จก่อนก็ได้ สถานีรถรางที่นี่มีหลายสายจนดูแล้วงง แถมเมื่อกี้คุณสละที่นั่งให้ฉัน นี่ฉันยังไม่ได้ขอบคุณเลยนะ”
พอได้ยินแบบนี้ หลี่เหอก็ไม่อยากทำตัวเกรงใจอีกต่อไป เขาดับบุหรี่แล้วบอก “ไปกันเถอะ”
บนถนนมีแต่จักรยานกับรถเมล์วิ่งสวนกันไปมา มีคนมารับญาติด้วยจักรยานกันบ้าง ซึ่งถือว่าดูมีเกียรติมากกว่าการนั่งรถหรูอย่าง BMW ในสมัยต่อมาซะอีก คนที่มีสัมภาระเยอะก็จะผูกไว้ที่เบาะหลัง ส่วนคนที่มีของไม่เยอะก็ถือไว้ในอ้อมแขน
รถยนต์ยังเป็นของหายาก ส่วนมากเป็นรถ Jim และ Volga ที่ผลิตจากยุโรปตะวันออก วิ่งเสียงดังกระหึ่มเหมือนรถแทรกเตอร์
หญิงสาวมองหลี่เหอที่กำลังมองไปรอบ ๆ เธอแอบคิดในใจว่าดูยังไงก็เป็นหนุ่มบ้านนอกเข้ามาในเมืองเป็นครั้งแรก เธอบอกเขาด้วยน้ำเสียงภูมิใจ “ดูสิ เมืองหลวงของเรายิ่งใหญ่ขนาดไหน วันหลังฉันจะพาคุณไปดูธงแดง”
ขณะพูด เธอก็ยืดอกขึ้นเล็กน้อยอย่างภาคภูมิใจ
หลี่เหอพยักหน้าและมองออกไปที่รถเมล์และรถรางที่กำลังเข้ามา เขาตามหญิงสาวขึ้นรถเมล์ ซื้อตั๋ว แล้วก็นั่งมองวิวเมืองที่เปลี่ยนไปอย่างเงียบ ๆ ความคิดวิ่งพล่านในหัวเขา ขณะที่มองเมืองใหญ่ผ่านกระจกหน้าต่าง เขานึกถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่จะมาถึงในไม่ช้า ซึ่งเป็นยุคแห่งการปฏิรูปที่จะสร้างโอกาสให้กับทุกคน
เขามุ่งมั่นว่าจะต้องซื้อบ้านให้ได้ในชีวิตนี้ หากไม่ใช่ในใจกลางเมืองก็ต้องอยู่ไม่ไกลเกินวงแหวนที่ห้าหรือหก
นี่คือความทะเยอทะยานที่ซ่อนลึกในใจ!
อีกไม่นานน่าจะห้าหรือหกปี พวกคนรวยจะเข้ามาซื้อบ้านในเมือง และคนจนก็จะเข้ามาหางานทำ ไม่ว่าจะเป็นคนมีปริญญาหรือแม้แต่นักเลงที่ไม่รู้หนังสือ ทุกคนก็จะมุ่งสู่เมืองใหญ่ เมืองที่ดูใหญ่ที่โง่เขลา มีฝุ่นคลุ้งเต็มฟ้า แต่กลับดึงดูดผู้คนมากมาย ฉันอยากอยู่ในสถานที่สีเทาและสับสนแห่งนี้ คนพวกนี้จะอยู่ที่นี่และพยายามจะประสงความสำเร็จ
อิสระทางจิตวิญญาณคือพลังแห่งการสร้างสรรค์ มนุษย์เราเป็นทั้งผู้ก่อภัยพิบัติและผู้สร้างปาฏิหาริย์
“เฮ้ ถึงแล้ว” หญิงสาวเดินลงจากรถก่อน
หลี่เหอแกล้งพูดว่า “คุณหนู ผมถึงป้ายแล้ว แต่คุณลงผิดนะ มหาวิทยาลัยเหรินหมินของคุณต้องไปอีกสองป้าย!”
“นี่ คุณควรไปได้แล้ว? มัวแต่งงอะไรอยู่ตรงนั้นล่ะ?” หญิงสาวหันมามองเห็นว่าหลี่เหอไม่ได้เดินตามมา เธอจึงโบกมือให้เขา
หลี่เหอไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำเป็นงงๆ และเดินตามต่อไป แม้ว่าเขาจะคุ้นเคยกับทางเข้าโรงเรียนที่ใหญ่โตนี้อยู่แล้วก็ตาม ความรู้สึกหวั่นไหวเข้ามาในใจเขาเล็กน้อย เขาคิดในใจว่า "ถ้าไม่เจอคนที่รู้จักเลยจะทำยังไง?"
หลังจากเข้ามาในมหาวิทยาลัย หญิงสาวก็เดินไปที่โต๊ะรับนักเรียนใหม่โดยไม่รีรอ ถือจดหมายแจ้งของหลี่เหอเพื่อตรวจสอบรายชื่อและรับผ้าปูเตียง บัตรอาหารและบัตรสวัสดิการต่าง ๆ เธอยังถามไถ่เส้นทางจากคนรอบข้างเป็นระยะๆ พาหลงทางอยู่หลายครั้ง เดินซ้ำไปซ้ำมาจนหลี่เหอรู้สึกว่าเหมือนจะไม่ไปถึงที่หมายเสียที
ถึงแม้เขาจะคิดในใจว่าเขารู้จักทางดีอยู่แล้วและหญิงสาวกำลังเสียเวลาของเขา แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธน้ำใจเธอได้ หลี่เหอแอบพูดในใจว่า “คุณหนู คุณติดอยู่บนถนนนี่มานานแล้นะ คนอื่นชี้ทางไปทางตะวันออก ทำไมคุณถึงไปทางตะวันตกทุกที?”
หลี่เหอไม่สามารถไล่คนไปและถือว่าความใจบุญของพวกเขาเป็นตับไตไก่ได้ คุณไม่สามารถบอกคนอื่นว่าคุณกำลังเสียเวลา และคุณคุ้นเคยกับมันมากกว่าพวกเขาซะอีก เฮ้อ !!
สุดท้ายทั้งสองก็เดินมาถึงหน้าหอพัก ทั้งคู่ถือกะละมัง ผ้าปูที่นอน และกระเป๋าสัมภาระเต็มมือ เหงื่อไหลเต็มหน้า หญิงสาวพูดว่า “นี่เป็นหอพักชาย ฉันขึ้นไปไม่สะดวก ส่งของขึ้นไปก่อนนะ เดี๋ยวฉันรอข้างล่าง แล้วจะพาไปที่โรงอาหารต่อ”
หลี่เหอรู้สึกขอบคุณในความช่วยเหลือของเธอ แต่เขาก็เหนื่อยกับการดิ้นรนในใจ เมื่อได้ยินว่าสาวน้อยคนนั้นจะยังไม่ไป แต่เขาก็ไม่อยากให้ดูเหมือนมีเจตนาที่ไม่เหมาะสมแต่ในยุคที่การจับมือถือว่าเป็นอันธพาล อีกทั้งไปกินข้าวหรือดูหนังด้วยกันก็ถูกมองว่าเป็นพฤติกรรมของคู่รัก เขาจึงกล่าวอย่างสุภาพว่า “เพื่อนร่วมชั้นหวังอวี้ ขอบคุณมากนะ คุณเหนื่อยมาจากการเดินทางนานแล้ว ทำไมไม่กลับไปพักก่อนล่ะ? ถ้าผมหลงทาง ผมถามคนอื่นก็ได้”
สาวน้อยหวังอวี้หงุดหงิดและพูดขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “เพื่อนร่วมชั้นหลี่เหอ นี่เมืองหลวงนะ อย่าพูด ‘ฉัน ๆ’ ซ้ำ ๆ แบบนี้ได้ไหม? ที่นี่ไม่ใช่ชนบทของคุณนะ รีบเอาของขึ้นไปเก็บเถอะ ฉันจะรออยู่ที่นี่ ฉันจะไม่ยอมให้คุณออกไปคนเดียวแล้วทำให้อันฮุยต้องเสียหน้าเด็ดขาด”
เมื่อถูกตีตราว่าเป็นตัวแทนทำให้คนจากอันฮุยต้องเสียหน้า หลี่เหอตกใจทั้งข้างในและข้างนอก เขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้อีกต่อไปและพูดอย่างหมดหวังว่า “งั้นรอผมแป๊บนะ เดี๋ยวผมรีบเอาของขึ้นไปเก็บก่อน”
เขารับของจากหวังอวี้ไปทั้งหมด และเดินขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่ได้สนใจหมายเลขห้อง เขาแค่กวาดสายตาหาห้องที่ไม่ได้ล็อกอยู่ เห็นว่ามีประตูห้องหนึ่งเปิดอยู่จึงผลักเข้าไป
ในห้องมีชายหนุ่มสวมแว่นตา ผิวดำ ตัวสูงผอม กำลังยืนก้มจัดเตียงอยู่ หลี่เหอหัวเราะเมื่อเห็นว่าเป็นจ้าวหย่งฉี หนุ่มเสียงทุ้มจากทางเหนือของส่านซี เพื่อนเก่าที่เข้ากันได้ดีตลอด
หลี่เหอวางสัมภาระลง เปิดซองบุหรี่ในกระเป๋าและยื่นหนึ่งมวน “ผมชื่อหลี่เหอ มาจากหวั่นเป่ย และจะเป็นเพื่อนร่วมห้องกันตั้งแต่วันนี้ ฝากตัวด้วยนะครับ”
จ้าวหย่งฉีรับบุหรี่ด้วยความเขินอายเล็กน้อย “สวัสดีครับ ผมชื่อจ้าวหย่งฉีมาจากส่านซีเหนือ พวกเรามาก่อน และคุณเป็นคนสุดท้ายในหอพัก”
หลี่เหอนึกถึงหวังอวี้ที่ยังรออยู่ข้างล่าง จึงรีบพูดว่า “ผมต้องออกไปก่อนนะ มีคนรออยู่ข้างนอก เดี๋ยวค่อยคุยกันตอนเย็น”
หลังจากทักทายกันเรียบร้อย หลี่เหอก็รีบลงบันไดไป
ดูเหมือนมื้อนี้จะเลี่ยงไม่ได้แล้ว โรงอาหารของมหาวิทยาลัยมีคนเยอะแยะไปหมด จึงคิดว่าการไปทานข้าวที่ร้านอาหารข้างนอกน่าจะสะดวกกว่า เขาจึงพูดว่า “ออกไปกินข้างนอกดีกว่า เดี๋ยวผมเลี้ยง”
หวังอวี้มองเสื้อผ้าฝ้ายเรียบง่ายและรองเท้าผ้าหนาๆ ของหลี่เหอ แล้วเข้าใจสถานการณ์ของเขาทันที เธอจึงตอบว่า “ไม่ต้องหรอก ไปที่โรงอาหารดีกว่า นายเลี้ยงฉัน นายยังมีบัตรอาหารอีกตั้ง 9 ชั่งเยอะกว่าของโรงเรียนเราซะอีก”
หลี่เหอเช็คกระเป๋าดูว่ามีเงินอยู่เท่าไหร่ นอกจากเงิน 20 หยวนที่จ่ายค่าที่นอนแล้ว เขายังไม่ได้ใช้เงินสักแดงเดียว ค่าเทอมก็ไม่ต้องจ่าย แถมมหาวิทยาลัยยังให้บัตรอาหารอีก 34 ชั่งและเงินค่าครองชีพเดือนละ 24 หยวน ช่างเป็นชีวิตที่สะดวกสบายจนเขานึกถึงคำพูดที่คนบนอินเทอร์เน็ตชอบพูดกันว่า
“ตอนเราเรียนประถม มหาวิทยาลัยเรียนฟรี
ตอนเราเรียนมหาวิทยาลัย ประถมเรียนฟรี
ก่อนเราจะได้ทำงาน งานก็ถูกจัดสรรให้
ตอนที่เราเริ่มทำงาน เราต้องดิ้นรนหาแหล่งงานจนแทบจะอดตาย
ตอนที่เราหาเงินไม่ได้ บ้านก็แจกฟรี... พอหาเงินได้ กลับพบว่าเราไม่สามารถซื้อบ้านได้อีกต่อไป”
คราวนี้หลี่เหอนำทางด้วยตัวเอง เขาบอกว่าเขาจำทางได้แล้ว และเขาจะไม่ปล่อยให้หวังอวี้ที่หลงเก่งสุด ๆ คนนี้เป็นคนนำอีกแน่นอน
ได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง ในใจเขาเต็มไปด้วยอารมณ์อันโหยหา ในสถานที่ที่คุ้นเคยหลี่เหอรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน ทางแยกที่เขาเดินผ่านยังไม่เปลี่ยนแปลง และบางอาคารก็ยังเหมือนเดิม ผนังเปื้อนคราบด่าง ๆ
เมื่อมาถึงโรงอาหาร หลี่เหอก็พบว่ามีอาหารอยู่เต็มหม้อใหญ่ โดยปกติแล้ว อาหารจานเนื้อหนึ่งช้อนประมาณ 2 เหมา หลี่เหอสั่งอาหารจานเนื้อทั้งหมดและถามหวังอวี้ว่า “เธออยากกินอะไร เดี๋ยวผมสั่งให้”
หวังอวี้สั่งเพียงกะหล่ำปลีและเต้าหู้ จากนั้นก็หาที่วางของแล้วตักซุปสองชามมาด้วย ชามหนึ่งส่งให้หลี่เหอและกล่าวว่า “ซุปนี้ฟรีนะ จากนี้นายตักเองได้เลย อีกอย่างนะคุณมีบัตรอาหารธัญพืชชนิดละเอียดกับชนิดหยาบ พวกผู้ชายทานเยอะ หาใครที่ทานน้อยๆ แล้วไปแลกธัญพืชละเอียดกับธัญพืชหยาบได้ จะได้หนึ่งปอนด์ละเอียดแลกหนึ่งปอนด์ครึ่งหยาบ”
หลี่เหอแกล้งทำเป็นถูกสอนและกล่าวว่า “ขอบคุณนะ เข้าใจแล้ว”
หลังทานเสร็จ หวังอวี้กล่าวว่า “งั้นช่วยฉันแบกกระเป๋าไปส่งที่สถานีรถบัสที ฉันต้องไปแล้วล่ะ”
หลี่เหอไปส่งเธอที่ป้ายรถบัส รู้สึกเกรงใจเล็กน้อยที่เธอทำอะไรให้เขามากมาย เขาจึงพูดประโยคประจำว่า “ถ้ามีโอกาสมาเที่ยวอีกได้นะ เดี๋ยวผมจะเลี้ยงข้าวคุณเอง”
หวังอวี้ยิ้มตอบอย่างยินดี “ได้สิ เดี๋ยวฉันจัดของที่หอเสร็จและรายงานตัวเรียบร้อยแล้วจะมาหา”
เมื่อเห็นหวังอวี้โบกมือให้บนรถบัส หลี่เหอรู้สึกถึงบางอย่างแปลกๆ แต่ก็บอกไม่ถูก
“เฮ้ เฮ้ เฮ้ อย่า ๆ อย่าจริงจังกับคำพูดฉันนักเลย!” เขาตบหน้าตัวเองเบาๆ พลางโทษตัวเองที่พูดอะไรไม่คิด