ตอนที่ 19 การจากลา
ก่อนรุ่งสางหลี่เหอก็ตื่นขึ้นมาเก็บของ เขาเตรียมเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนสองสามชุด เสื้อโค้ทใหม่สองตัว ถ้วยชาและขนมเค้กที่หลี่เหมยทำไว้ให้เก็บใส่ในกระเป๋าไว้ สำหรับเอาไว้ทานระหว่างทางเผื่อหิวในการเดินทางด้วยรถไฟตลอดทั้งวัน
ลานหน้าบ้านมีรถลากลาของหลี่เจาฮุยและหลี่เจาหมิงจอดอยู่ ซึ่งมีปลาไหลอยู่เต็มรถพอเหมาะที่จะพาหลี่เหอไปที่สถานีรถบัสของอำเภอ แล้วนั่งรถบัสไปยังสถานีรถไฟของเมืองหลวงของจังหวัด รถบัสเที่ยวที่จะไปเมืองหลวงมีเวลาที่แน่นอน ดังนั้นจึงห้ามสายเด็ดขาด
หลี่เหอค่อยๆ ดึงตัวน้องสาวที่เกาะแน่นไม่ยอมปล่อย เขาปาดน้ำตาที่หางตาให้เธอ ก้มลงหอมแก้มเบาๆ แล้วพูดว่า “อยู่บ้านดีๆ นะ รอพี่กลับมาซื้อของอร่อยๆ มาให้กิน”
เด็กหญิงตัวน้อยพูดว่า “งั้นกลับมาเร็วๆ นะ ฉันอยากได้ของอร่อยๆ เยอะๆ”
หลี่เหอยิ้มและบอกว่า “ได้สิ พี่จะซื้อของอร่อยๆ มาให้เยอะๆ เลย”
จากนั้นหลี่เหอก็หันไปพูดกับหลี่หลงที่นั่งยองๆ อยู่ตรงธรณีประตู “ต่อไปนี้งานหนักที่บ้านจะเป็นของนายแล้วนะ ห้ามไปเที่ยวเล่นมั่วๆ นะ คนพวกนั้นที่พี่เคยบอกให้อยู่ห่างๆ น่ะ ต้องไม่ไปยุ่งด้วย ถ้าพี่รู้ว่านายไปยุ่งกับพวกนั้นอีก มันจะไม่จบแค่การโดนตีแน่นอน พี่เขียนที่อยู่ให้พี่สาวไว้แล้ว ถ้ามีเรื่องอะไรให้ไปที่ที่ทำการไปรษณีย์แล้วส่งโทรเลขมา อย่ามัวแต่ประหยัดเงิน เขียนให้ชัดเจนเข้าใจไหม?”
หลี่หลงเบ้ปาก แล้วตอบว่า “พี่นี่จริงๆ เลย บอกกี่ครั้งแล้วว่าฉันรู้เรื่องแล้ว!”
ไม่ว่าจะอารมณ์ดีแค่ไหน แต่การพูดซ้ำซากแบบนี้ก็ทำให้เขาอดเบื่อไม่ได้
หลี่เหมยที่ยืนอยู่ข้างๆ ยิ้มและพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอก เขาไม่ใช่เด็กแล้ว ฉันจะดูแลเขาเอง รีบไปเถอะ อาสองกับอาสามยังรออยู่นะ”
หลี่เหอเกาหัวแล้วพูดว่า “พี่ไปแล้วนะ น้องสี่ น้องห้า ฟังคำแม่กับพี่สาวที่บ้านด้วยล่ะ เข้าใจไหม?”
หลี่ผิงพยักหน้ารับรู้ ส่วนเด็กหญิงตัวน้อยเอาแต่ร้องไห้ไม่ได้พูดอะไรเลย
หลี่เหอมองไปที่หวังหยูหลานผู้เป็นแม่ที่กำลังเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ แล้วพูดว่า “แม่ ผมไปเรียนหนังสือนะ ไม่ได้ไปทำอะไรอันตราย ทำไมต้องร้องไห้ด้วย? ปีใหม่ผมก็จะกลับแล้วนะ แถมอาจจะพาลูกสะใภ้กลับมาให้แม่ก็ได้ ทำไมแม่ไม่ยิ้มหน่อยล่ะ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่เหอ หวังหยูหลานก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ เธอพูดว่า “ไอ้ลูกคนนี้ ใครสอนให้พูดเป็นเล่นแบบนี้กัน? เอาล่ะ ไปเถอะ ที่ทางเหนือลมหนาวนะ จำไว้ว่าต้องใส่เสื้อหนาๆ ด้วยล่ะ”
หลี่เหอพยักหน้าแล้วปีนขึ้นรถลากลาไป “อาสอง ไปกันเถอะครับ”
การเดินทางค่อนข้างราบรื่นดี เมื่อพวกเขามาถึงเขตเมืองฟ้าก็เริ่มสว่างขึ้น หลี่เหอบอกว่า “หยุดตรงนี้ก็พอแล้วครับ อาสองกับอาสามไปที่ตลาดกันเถอะ ผมเดินอีกนิดเดียวก็ถึงสถานีรถบัสแล้ว ดูแลตัวเองดีๆ นะครับ”
หลี่เจาหุยและหลี่เจาหมิงรู้สึกใจหายขึ้นมาอย่างกะทันหัน ราวกับว่าพวกเขากำลังจะสูญเสียที่พึ่งพิงไป หลานชายคนนี้เป็นคนดูแลทุกอย่างให้พวกเขาตั้งแต่พื้นดินจรดท้องฟ้าเลยทีเดียว หลี่เจาหมิงพูดอย่างไม่เต็มเสียง “งั้นระวังตัวด้วยนะ”
หลี่เหอค้อมศีรษะลงเล็กน้อยก่อนจะเข้าไปที่สถานีรถบัส ซื้อบัตรโดยสาร แล้วเริ่มต้นการเดินทางไปยังเมืองหลวงของจังหวัด
เมื่อมาถึงเมืองหลวงระดับจังหวัด ในที่สุดเขาก็มาถึงจุดหมายแรกของการเดินทางไปทางเหนือ การนั่งรถไฟในช่วงนี้เป็นเรื่องที่ลำบากมาก นั่งรถไฟนานกว่า 20 ชั่วโมงไม่ใช่เรื่องสบายเลย
สำหรับที่นั่งแบบเตียงนอนนั้น เป็นไปไม่ได้ในตอนนี้ เพราะการจะนั่งเตียงนอนได้ต้องมีใบอนุญาตทำงานและจดหมายรับรองจากนายจ้าง ประชาชนธรรมดาจะหวังขึ้นเครื่องบินหรือเตียงนอนในการเดินหรอ?
ไม่มีทาง!
เหล่าผู้นำรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างสมเหตุสมผลและไม่ควรเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งนั้น
เมื่อมาถึงสถานีรถไฟ หลี่เหอก็รู้สึกชาไปทั่วศีรษะ เพราะมีคนเยอะเกินไป สถานีรถไฟในเมืองหลวงของจังหวัดแห่งนี้เป็นศูนย์กลางการคมนาคมของมณฑล ยิ่งเป็นช่วงเปิดเทอมผู้คนจึงแน่นไปหมดจนแทบขยับตัวไม่ได้
หลี่เหอเช็คตั๋วแล้วเบียดตัวเข้าไปบนชานชาลา เมื่อรถไฟมาถึงประตูเปิดไม่ได้ เพราะมีคนยืนเบียดกันเต็มหน้าประตู เขาจึงจำใจต้องปีนเข้าไปทางหน้าต่างแทน
ไม่มีใครในรถไฟที่อยากให้คนอื่นปีนเข้ามาจากข้างนอก เพราะเมื่อปีนเข้ามาแล้วก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากมาแย่งพื้นที่จำกัดที่มีอยู่ คนที่อยู่บนชานชาลาต่างยกหน้าต่างขึ้นแล้วปีนเข้าไปทีละคน รวมถึงหลี่เหอเองก็ขึ้นไปในลักษณะนี้
หลังจากขึ้นมาได้เขาก็หาที่นั่งของตัวเอง แต่กลับพบว่ามีผู้หญิงนั่งอยู่ เขาหยิบตั๋วจากกระเป๋าแล้วยื่นให้เธอดู หญิงสาวตะลึงเล็กน้อย แล้วพูดเสียงหวานว่า “สหาย คุณจะไม่เป็นสุภาพบุรุษหน่อยหรือไง? เห็นไหมว่าฉันเป็นผู้หญิง ขายังปวดอยู่เลย”
หลี่เหอไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่โบกตั๋วต่อหน้าเธอสองครั้ง
หญิงสาวทำเบ้ปากอย่างหงุดหงิด กระทืบเท้าแล้วลุกขึ้นก่อนจะพึมพำว่า “ไม่ใช่ผู้ชายรึไง ไม่รู้จักเป็นสุภาพบ้างเลย”
หลี่เหอนั่งลงบนเก้าอี้หลังพิงพนัก หากเขาตอบโต้ก็มีแต่จะเสียเปรียบในสถานการณ์นี้ เขาคิดในใจว่า “ฉันเป็นพ่อแท้ๆ ของเธอ ฉันตามใจเธอขนาดนั้นเลยเหรอ?
กระเป๋าของเขาใบไม่ใหญ่มาก เขาจึงถือไว้ในมือ เพราะข้างในนั้นมีทรัพย์สินทั้งหมดที่เขามี หลี่เหอพกเงินมาสามพันหยวน แต่ถ้าทำหายก็ไม่มีทางขอเพิ่มจากที่บ้านได้ อีกทั้งที่ยังไม่มีการโอนเงินข้ามจังหวัดในสมัยนั้น
หญิงสาวสวมเสื้อยืดสีเขียวอ่อนกับกางเกงยืดสีดำ ซึ่งเป็นการแต่งตัวที่ทันสมัยที่สุด ใบหน้ากลม ผิวขาว และผมยาวประบ่าทำให้เธอดูมีเสน่ห์ไม่น้อย เมื่อเห็นว่าหลี่เหอไม่สนใจ เธอก็ไม่สนใจเขาเช่นกัน
เธอยืนอยู่ในทางเดิน มองตรงไปที่หลี่เหอ
เธอรู้สึกหงุดหงิดมากจริงๆ เธอคงเคยชินที่ไปไหนก็มีคนสนใจ เธอจึงมั่นใจในตัวเองสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนหนุ่มสาวจากชนบทอย่างเขา แต่ครั้งนี้ต้องผิดหวัง หลี่เหอรู้สึกว่าหญิงสาวคนนี้เป็นคนมีเล่ห์เหลี่ยมมาก เมื่อสังคมเปิดกว้างมากขึ้น คนแบบนี้ก็คงจะมีมากขึ้นเช่นกัน เขาถึงกับไม่อยากยอมรับว่าตนเองจะเป็นคุณตาของเด็กสาวแบบนี้ เขารู้ว่าตนมีร่างกายและจิตใจที่แข็งแรงพอสมควร
เขาไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านั้น และเพียงแค่มองออกไปนอกหน้าต่าง รถไฟไม่มีเครื่องปรับอากาศ การถ่ายเทอากาศในตู้โดยสารก็แย่มาก กลิ่นบุหรี่และกลิ่นเท้าทำให้บรรยายไม่ถูก แต่ต้องขอบคุณที่ยังมีหน้าต่างให้หายใจ
กำลังใจเพียงอย่างเดียวที่ทำให้เขาผ่านไปได้คือ - ทุกอย่างจะดีขึ้น เมื่อไปถึงที่นั่น
เมื่อรถไฟเริ่มออกตัว หลี่เหอนึกถึงมุกตลกเรื่องการขึ้นรถไฟที่เคยได้ยิน จนอดหัวเราะไม่ได้
หลี่เหอรู้สึกง่วงและอยากนอนสักพัก แต่เสียงดังเกินไปทำให้เขานอนไม่ได้เลย ในทางเดิน มีคนนั่งยองๆ เล่นไพ่ บางคนก็ก่อกำแพงกันในที่นั่งและเล่นเกม "กำแพงเมืองจีน" กัน บ้างก็ตะโกน “สองเค้ก!” บ้างก็กินไก่ บ้างก็ตะโกน “ฮู่!” เด็กๆ ก็ร้องออกมาเป็นระยะ
อาจเป็นเพราะความเบื่อหน่ายหรือความอยากรู้อยากเห็น หญิงสาวจึงเริ่มสนทนากับหลี่เหอ “นี่คุณ กำลังจะไปไหนหรอ”
หลี่เหอเงยหน้าขึ้นแล้วตอบอย่างขี้เกียจ “ไปกับคุณ”
หญิงสาวถามอย่างสงสัย “คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันจะไปไหน ฉันยังไม่เคยบอกคุณเลย”
หลี่เหอชี้ไปที่เข็มกลัดโรงเรียนที่ติดบนอกเสื้อของหญิงสาว มันโดดเด่นจนแทบไม่ต้องมองก็เห็น สีสันมันแสบตาจริง ๆ
เมื่อเข้ามหาวิทยาลัย นักศึกษาทุกคนจะได้รับเข็มกลัดมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกสถานะนักศึกษา ต่างจากภายหลังที่ไม่มีใครใส่แล้วเพราะดูเชย แต่ที่มหาวิทยาลัยนี้ทุกคนยังคงติดเข็มกลัดไว้ที่หน้าอก ซึ่งทำให้ดูโดดเด่น แต่หลายคนรู้สึกว่านี่มันอวดเกินไป เขาจนได้รับสายตาแปลก ๆ จากคนรอบข้าง
หลี่เหอจำได้ว่าครั้งหนึ่งตอนเขานั่งรถบัสไปกับเพื่อนร่วมชั้น มีเพื่อนคนหนึ่งพูดดัง ๆ ว่า “ในฐานะนักศึกษา” และ “พวกเราเป็นนักศึกษา” อยู่ตลอดเวลา จนผู้โดยสารด้านหน้าต้องหันมามองเป็นระยะ ๆ ทำเอาหลี่เหอและเพื่อนอีกคนอายแทบมุดดิน ไม่กล้ามองหน้าใคร
หลายคนยังมีเครื่องหมายอื่นห้อยที่หน้าอก เช่น เข็มกลัดตรามหาวิทยาลัย บัตรนักเรียนดีเด่น และสัญลักษณ์กลุ่มต่าง ๆ ดูเป็นเอกลักษณ์เฉพาะยุค บางคนถึงขั้นมีป้ายติดไว้เต็ม ทั้งเข็มกลัด ปากกา เหรียญรางวัล พวงกุญแจ นาฬิกาพก ถุงบุหรี่ และสารพัดของแปลก ๆ
หญิงสาวยิ้มพลางพูดว่า “คุณรู้เยอะดีนะ ฉันเดินมาด้วยตั้งนานแต่ก็ไม่เคยเห็นคุณเลย คุณก็เป็นนักศึกษาด้วยใช่ไหม?”
หลี่เหอจึงตอบอย่างสุภาพ “ใช่ครับ ผมเป็นนักศึกษาใหม่ เคยเห็นคนใส่มาก่อน แต่ของมหาวิทยาลัยประชาชนดูพิเศษกว่า”
จะไม่ให้พิเศษได้ยังไงล่ะ?
หลี่เหอจดจำได้ดีว่ามันดูเหมือนดอกเบญจมาศที่มีมือสองข้างโอบไว้ ต่อมาเปลี่ยนเป็นสัญลักษณ์ตัว “人” สามตัวจับมือกันเหมือนกลุ่มเพื่อนสนิท ทุกคนมักล้อกันว่าเป็นสัญลักษณ์ที่ดูจะมีนัยยะ จนคิดกันว่าอาจต้องเปลี่ยนใหม่สักวันหนึ่ง
หลังจากนั้นการสนทนากลายเป็นการสอบประวัติแทบจะทุกชั่วคน สุดท้ายจึงขอแลกข้อมูลติดต่อกัน โดยเพิ่มไอดี WeChat และ QQ กันไว้
หลี่เหออยากจะรีบพูดให้จบเร็ว ๆ เพราะหลังจากที่แนะนำตัวกันเสร็จ ก็ไม่มีเรื่องจะคุยต่อแล้ว ทุกวันนี้มีหัวข้อสนทนาเพียงไม่กี่เรื่อง และถ้าเขาพูดอะไรไปมากกว่านี้ ก็คงถูกมองว่าเป็นคนเจ้าชู้ไม่ก็มีนิสัยอันธพาลเข้าให้จริง ๆ
ถ้ามีโทรศัพท์มือถือก็คงดี เพียงแค่จ้องหน้าจอแล้วนอนหลับไปตอนเบื่อ ก็จะไม่ต้องนั่งรถทั้งวันแล้วเวลานานขนาดนี้
ระหว่างทางหลี่เหอก็เกือบหลับไปตลอด พอถึงสถานีซูโจว เสียงดังรอบข้างก็ปลุกเขาขึ้นมา เขาต้องลุกจากที่นั่ง เพราะทางเดินข้างหน้าต่างกลายเป็นช่องทางเข้ามาของผู้โดยสารที่เบียดกันเข้ามาเหมือนปลาไหล
หลี่เหอเห็นหญิงสาวที่นั่งข้าง ๆ ดูง่วงมากแต่ไม่กล้าหลับ สุดท้ายเขาทนไม่ไหวจึงพูดขึ้น “คุณนั่งตรงนี้แล้วหลับไปสักพักก็ได้”
หญิงสาวยิ้มแล้วตอบว่า “ขอบคุณนะ”
ด้วยใจที่ทรมาน เขาจึงเฝ้านึกอยู่ตลอดทางว่า “อีกไม่ไกลแล้ว อีกนิดเดียว อีกนิดเดียว พอถึงที่หมาย ทุกอย่างจะดีขึ้น”