MDB ตอนที่ 510 รายชื่อขององค์ชายสาม
จากนั้น เฟิงจือเฉียนก็บอกหลินจินว่าเขาเคยพยายามจ้างผู้ประเมินระดับสี่คนอื่น ๆ แต่พวกเขาก็ปฏิเสธเขาอย่างไร้น้ำใจ แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้ปฏิเสธเขาโดยตรง เพราะพวกเขาต้องคำนึงถึงสถานะขององค์ชายสาม ดังนั้นพวกเขาจึงหาข้อแก้ตัวสารพัดเพื่อไม่พบเขา
อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่พวกเขาทำเช่นนั้นก็ชัดเจน เพราะพวกเขาไม่ใช่คนโง่ การที่เลือกช่วยเหลือเฟิงจือเฉียนในช่วงเวลานี้ เท่ากับว่าพวกเขาได้ตัดสินใจเข้าข้างองค์ชายในการชิงบัลลังก์ของอาณาจักรเกลียวสวรรค์ไปแล้ว
ไม่มีใครควรรีบร้อนในการเลือกข้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ท้าชิงที่ดูเหมือนจะไม่สามารถเอาชนะได้ เฟิงจือเฉียนมีโอกาสน้อยที่สุดที่จะได้ครองบัลลังก์ มันจึงไม่แปลกที่จะไม่มีใครเลือกข้างเขา
ผู้ประเมินระดับสี่อาจมีสถานะสูงส่ง แต่พวกเขาจะไม่มีวันสร้างศัตรูโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับองค์ชายหนึ่งกับองค์ชายสอง ซึ่งวันหนึ่ง พวกเขาอาจได้รับเลือกเป็นจักรพรรดิ
มันก็ไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดเลย
ดังนั้น จึงสมเหตุสมผลที่เฟิงจือเฉียนต้องเผชิญกับการปฏิเสธดังกล่าว ในความเป็นจริง มันคงน่าตกใจยิ่งกว่านี้หากเขาสามารถหาผู้ประเมินระดับสี่ที่เต็มใจช่วยเหลือเขาได้
หลินจินเข้าใจหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตอนนี้เฟิงจือเฉียนเดินทางมาไกลขนาดนี้เพื่อขอความช่วยเหลือจากเขา หากเขาปฏิเสธชายหนุ่ม เขาคงไม่ต่างจากพวกใจไม้ไส้ระกำเลย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่างานเลี้ยงนี้จะเป็นการพิสูจน์ฝีมือของทั้งเจ้าชายและประเทศของพวกเขา เฟิงจือเฉียนกล่าวว่าดินแดนพันเกาะได้นำสัตว์หายากที่สุดมาด้วย ดังนั้นหากผู้ประเมินที่ติดตามมาไม่สามารถบอกได้ว่าสัตว์วิเศษเหล่านั้นคืออะไร อาณาจักรเกลียวสวรรค์จะต้องอับอายขายหน้ามาก
“พี่ชายคนโตของข้าสามารถติดต่อผู้คุมกฎซือหม่าชิงกับผู้ประเมินระดับสี่อีกคนหนึ่งได้ พี่รองของข้าได้ว่าจ้างผู้ประเมินระดับสี่อีกสองคนมาด้วย
หากข้าไม่สามารถว่าจ้างแม้แต่คนเดียว ท่านพ่ออาจคิดว่าข้าไร้ประโยชน์ หากเป็นเช่นนั้น ข้าคงต้องลืมเรื่องการเอาชนะใจเจ้าหญิงแห่งดินแดนพันเกาะไปได้เลย”
เฟิงจือเฉียนพูดด้วยท่าทีอับจนหนทาง
ดูเหมือนว่าหลินจินจะเพลิดเพลินกับความเศร้าโศกของเขาเมื่อเขาถามว่า
"ท่านกลัวว่าท่านพ่อของท่านพบว่าท่านไร้ค่า หรือกลัวว่าข้าจะล้มเหลวในการเอาชนะใจเจ้าหญิง?"
เฟิงจือเฉียนจ้องมองหลินจินอย่างว่างเปล่า
“แล้วมันจะต่างกันอย่างไร? สำหรับข้าแล้ว มันแทบจะเหมือนกันด้วยซ้ำ แต่ถ้าจะพูดกันตามตรง ข้าไม่สนใจหรอกว่าเจ้าหญิงจะตกหลุมรักข้าหรือไม่? ข้าแค่ไม่อยากถูกดูถูก อย่างน้อย ๆ ข้าก็ต้องแสดงคุณค่าออกมาบ้าง แต่ถ้าข้าไม่สามารถว่าจ้างผู้ประเมินระดับสี่ได้แม้แต่คนเดียว ข้าก็จะไม่สามารถแสดงอะไรได้เลย ถ้าเป็นอย่างนั้น ข้าจะไม่ไปงานเลี้ยงคืนนี้ยังจะดีกว่า”
ในตอนนี้ หลินจินได้ตัดสินใจแล้วว่าจะช่วยเฟิงจือเฉียน เพราะเฟิงจือเฉียนเป็นแขกของห้องโถงเยี่ยมชม และเป็นพันธมิตรของเขา
มันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะช่วยเหลือพันธมิตรของตนในยามที่จำเป็น
นอกจากนี้ เรื่องการยืมอักษรภาพโบราณของเต้าจวิน เขาต้องการให้เฟิงจือเฉียนเป็นคนจัดการ ซึ่งเฟิงจือเฉียนจะต้องได้รับความไว้วางใจซะก่อนถึงจะทำได้
อย่างไรก็ตาม หากคุณค่าของเขาในสายตาของจักรพรรดิค่อย ๆ ลดน้อยลง จักรพรรดิแห่งอาณาจักรสวรรค์เกลียวก็คงจะไม่เสียเวลาแม้แต่จะฟังเขา
เพื่อผลประโยชน์ต่อตัวเขาเอง ไม่ว่าจะอย่างไรหลินจินก็ต้องช่วยเหลือองค์ชายสาม
ดังนั้น หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลินจินก็พยักหน้า
“ตกลง ข้าจะช่วยท่าน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฟิงจือเฉียนก็รู้สึกดีใจมาก
แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ดีที่สุดที่เขาหวังไว้คือการเชิญทั้งภัณฑารักษ์ และผู้ประเมินหลินมาร่วมกับเขา นั่นจะเป็นการแสดงขุมพลังที่น่าตื่นตาตื่นใจ
โดยเฉพาะตอนนี้เมื่อชื่อเสียงของภัณฑารักษ์กำลังเพิ่มขึ้น ผู้คนมากมายในอาณาจักรเกลียวสวรรค์ต่างรู้จักเขา และบางคนยังต้องการทำความรู้จักกับเขาด้วยซ้ำ หากภัณฑารักษ์เข้าร่วมงาน เกียรติยศของเฟิงจือเชียนจะต้องทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่ภัณฑารักษ์ไม่สามารถมาได้ ดังนั้นเขาจึงมีเพียงผู้ประเมินหลินเท่านั้น แม้ว่าเขาจะไม่สมหวัง แต่ผู้ประเมินหลินจินก็เป็นถึงผู้ประเมินระดับสี่ ดังนั้นจึงเพียงพอที่จะพลิกกระแสมาให้ทางเขาบ้างไม่มากก็น้อย
อย่างน้อย ๆ ก็เป็นก็ตรงตามที่เขาหวังไว้
อย่างไรก็ตาม หลินผู้ประเมินเพียงอย่างคนเดียวคงไม่เพียงพอ ดังนั้นเฟิงจือเฉียนจึงวางแผนตามหาผู้ประเมินระดับสี่คนอื่น ๆ มันคงจะดีมากหากเขาสามารถว่าจ้างได้สักคน แต่ในกรณีที่เขาทำไม่ได้ เขาก็ต้องว่าจ้างผู้ประเมินระดับสามแทน
ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงผู้หญิงเรียกออกมาว่า
“ข้าขอไปด้วย!”
'ข้าขอไปด้วย' นี้ไม่ได้เป็นคำถามหรือเป็นการซักถาม แต่เป็นการประกาศด้วยความมุ่งมั่นและแน่วแน่
เฟิงจือเฉียนมองมาด้วยความสับสน
“คุณนายหลิน ท่านอยากไปด้วยงั้นเหรอ?”
เสียงผู้หญิงคนนั้นเป็นของซูเสี่ยวหลัว
หลินจินกลัวว่าซูเสี่ยวหลัวจะฆ่าเฟิงจือเฉียนคนโง่ด้วยความโกรธ เขาจึงรีบดึงแขนเสื้อของเฟิงจือเฉียนแล้วกระแอมออกมา จากนั้นก็แนะนำตัวอย่างจริงจังว่า
“องค์ชายสาม นี่คือผู้อาวุโสของสถาบันฯเรา ผู้อาวุโสซู”
‘ผู้อาวุโสซู?’
เฟิงจือเชียนถึงกับอึ้ง เขาคิดว่าหลินจินแค่แกล้งอำเขาเล่น
“องค์ชาย ท่านควรทำความเคารพนางเสียดีกว่า ท่านควรจะรู้ไว้ว่า แม้แต่ท่านพ่อของท่านเอง ยังต้องทำความเคารพผู้อาวุโสซูเช่นกัน”
หลินจินอธิบายอย่างจริงจัง ที่เขาพูดมานั้นไม่ผิด เพราะซูเสี่ยวหลัวเป็นผู้ประเมินระดับห้า
เธออาจเป็นผู้ประเมินที่เก่งที่สุดในสถาบันเกลียวสวรรค์ ดังนั้นสถานะของเธอจึงอยู่เหนือกว่าผู้ใดในอาณาจักรเกลียวสวรรค์ แม้แต่จงซื่อเฟิงเอง เขาก็ยังแสดงความเคารพ และเดินผ่านเธออย่างระมัดระวัง
เฟิงจือเฉียนยังคงคิดว่ามันเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่โชคดีที่เขาไม่ได้เป็นคนดื้อรั้น เนื่องจากผู้ประเมินหลินพูดอย่างจริงจัง เขาจึงทำตามแต่โดยดี
“ขอคารวะ ท่านผู้อาวุโสชู ข้ามีชื่อว่าเฟิงจือเฉียน ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วยที่ข้ามีตาหามีแววไม่”
เฟิงจือเฉียนรู้ว่าต้องพูดอะไร แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังเข้าใจผิดตามเดิม เขายังคิดว่าผู้ประเมินหลินไม่คิดจะซ่อนภรรยาของเขาไว้ในบ้าน ขณะที่ความคิดของเขากำลังล่องลอยไปไกล มันก็ถูกขัดจังหวะโดยหลินจินที่พูดขึ้นว่า
“ยินดีด้วย องค์ชายสาม”
“มีเรื่องอะไรน่ายินดีเหรอ?” เฟิงจือเฉียนมีท่าทางสับสน
หลินจินตอบว่า
“เนื่องจากผู้อาวุโสซูเต็มใจที่จะให้การสนับสนุนท่าน องค์ชายสามจะต้องได้รับเกียรติยศสูงสุดในงานเลี้ยงอย่างแน่นอน ไม่มีใครจะเข้าใกล้สิ่งที่ท่านมีได้ ไม่เพียงแต่ท่านพ่อของท่านจะยกย่องท่านมากกว่าเดิมเท่านั้น แม้แต่เจ้าหญิงแห่งดินแดนพันเกาะก็จะจ้องมองท่านด้วยความสนใจเช่นกัน”
“จริงเหรอ?” เฟิงจือเฉียนดูไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด แต่หลินจินพูดออกมาด้วยความจริงใจ แม้ว่าเฟิงจือเฉียนจะรู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดคงไม่เป็นความจริง แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น
“แน่นอนว่ามันเป็นความจริง” หลินจินหันไปมองซูเสี่ยวหลัว แต่สีหน้าของเธอยังคงเฉยเมย
“ขอบคุณท่านมาก” เฟิงจือเฉียนไม่ได้คิดมากกับเรื่องนี้ เนื่องจากหลินจินเป็นคนจริงใจและกระตือรือร้นมาก ศรัทธาของเฟิงจื่อเฉียนที่มีต่อเขาจึงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เขาอาจไม่ประสบความสำเร็จในการว่าจ้างผู้ประเมินระดับสี่คนอื่นอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมรับข้อตกลงนี้ล่ะ?
บางทีเขาอาจจะพลิกสถานการณ์ และเปล่งประกายในคืนนี้ได้ดังที่หลินจินอ้างไว้หรือไม่?
“ผู้ประเมินหลิน ผู้อาวุโสซู ข้าขอไปเตรียมตัวก่อน และจะส่งคนมารับพวกท่านทั้งสองเพื่อพาไปยังที่สถานที่จัดงานในภายหลัง”
เฟิงจือเฉียนมีเรื่องอื่นต้องทำอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นเขาจึงบอกลาหลินจินและรีบออกไป
เมื่อเฟิงจือเฉียนไปแล้ว หลินจินก็ถามซูเสี่ยวหลัวด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า
“เจ้าจะไปทำไม?”
ซูเสี่ยวหลัวไม่ได้ทำเพื่อเฟิงจือเฉียนอย่างแน่นอน ดังนั้นหลินจินจึงคิดว่าเธอแค่ต้องการร่วมสนุกเท่านั้น
แต่อนิจจา ซูเสี่ยวหลัวตอบกลับอย่างจริงจังว่า
“ข้าได้ยินมาว่าดินแดนพันเกาะมีสัตว์หายากมากมายที่ไม่พบในทวีปยูไนเต็ด หากข้าเข้าร่วมงานเลี้ยง ข้าจะมีโอกาสได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ”
น้ำเสียงของเธอทำให้ฟังดูเหมือนเธอกำลังทำธุรกิจจริงจัง
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าควรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นน่าจะดีกว่า” หลินจินเสนอแนะ เพราะชุดสีแดงสดของซูเสี่ยวหลัวดูฉูดฉาดเกินไปสำหรับงานนี้ แต่ซูเสี่ยวหลัวกลับเข้าใจผิดไปคนละทาง
“โอ้ จริงด้วย ตัวข้าดูไม่น่าเกรงขามเท่าไหร่นัก งั้นข้าเปลี่ยนไปในร่างอื่นดีกว่า”
เมื่อพูดจบ ซูเสี่ยวหลัวก็หายตัวไป ไม่นานหลังจากนั้น ซูเสี่ยวหลัวก็ปรากฏตัวอีกครั้งในรูปลักษณ์ของชายชรา