บทที่ 76 ผี!
“พี่ฟาง” หลี่โยวรั่วไม่รู้ว่าเดินมาหยุดอยู่ด้านหลังของฟางเสิ่นตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอก้มศีรษะลงเอ่ยเสียงเบา “หรือว่า...ซื้อไว้เถอะค่ะ ฉัน...ฉันตัดใจไม่ลง”
เมื่อมองดูการจัดวางภายในบ้าน หลี่โยวรั่วรู้สึกอาลัยอาวรณ์เป็นพิเศษ สำหรับเธอ ที่นี่มีความทรงจำแสนอบอุ่น ราวกับเป็นบ้านหลังที่สองที่เต็มไปด้วยความคิดความรู้สึกของเธอเอง
“สิบล้าน ฉัน...ฉันจะออกให้เอง พี่ฟางคะ ฉัน...ฉันไม่ได้หมายความว่าคุณไม่มีเงินนะคะ...” เมื่อเห็นฟางเสิ่นหันมามอง หลี่โยวรั่วเหมือนจะนึกขึ้นได้ จึงรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว
ฟางเสิ่นยิ้มเล็กน้อย ยื่นมือไปลูบศีรษะของเธอ หลี่โยวรั่วตัวแข็งทื่อ ครั้งนี้เธอไม่ได้หลบไป แต่กลับหลับตาลงอย่างลนลาน คอขาวนวลขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย
“เรื่องบ้าน ฉันจะจัดการเอง เราแค่ย้ายออกไปชั่วคราวเท่านั้น ไม่นานก็จะกลับมา” ฟางเสิ่นกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังพลางดึงมือกลับ
หลี่โยวรั่วเองก็ไม่ได้ขาดเงิน ฟางเสิ่นมั่นใจว่าเธอสามารถหาเงินสิบล้านได้อย่างง่ายดาย ประเด็นสำคัญคือตัวเขาโกรธความโลภไร้ขอบเขตของเจ้าของบ้านต่างหาก
“อืม ฉันเชื่อคุณ” เมื่อฟางเสิ่นกล่าวเช่นนั้น หลี่โยวรั่วก็พยักหน้าเบาๆ เลือกที่จะเชื่อเขาโดยไม่มีความลังเล
“อือื~” หลี่เหยียนทำเสียงยืดยาวออกมาสามครั้ง มองฟางเสิ่นและหลี่โยวรั่วด้วยท่าทางสงสัย ดวงตาของเธอกลอกไปมา จากนั้นก็โดดเข้าไปหาโยวรั่วและดึงแขนของเธอด้วยท่าทีล้อเลียน “พี่สาว ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พวกเธอสนิทกันขนาดนี้? ฟางเสิ่น พี่สาวฉันน่ะไม่เคยยอมให้คนแปลกหน้ามาแตะต้องตัวหรอกนะ”
“ม...ไม่มีอะไรทั้งนั้น” หลี่โยวรั่วอายจนห้ามไม่อยู่ รีบยื่นมือไปจั๊กจี้หลี่เหยียน ไม่ยอมให้เธอพูดพล่อยๆต่อไป
หลังจากที่หยอกล้อกันเสร็จ ทั้งสามก็เริ่มย้ายบ้าน
ฟางเสิ่นไม่มีของมากนัก แต่ฝั่งหลี่โยวรั่วและหลี่เหยียนในฐานะสาวๆแล้วมีสัมภาระไม่น้อย อย่างไรก็ตาม พวกเธอไม่จำเป็นต้องออกแรงเอง หลี่เหยียนเดินออกไปกวักมือเรียกบอดี้การ์ดที่คอยดูแลอยู่รอบๆให้เข้ามาช่วยขนของท่ามกลางสายฝน
เมื่อมีบอดี้การ์ดเหล่านี้คอยช่วย หลี่โยวรั่วและหลี่เหยียนก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกเอาเปรียบ ฟางเสิ่นถามว่าทำไมไม่ใช้บอดี้การ์ดเหล่านี้จัดการกับเจ้าของบ้าน หลี่เหยียนตอบว่าอยากให้พี่สาวลองเผชิญกับคนแปลกหน้า แต่หากอีกฝ่ายทำอะไรเกินขอบเขต บอดี้การ์ดเหล่านี้จะบุกเข้ามาทันทีและสั่งสอนพวกเขาให้รู้สำนึก
ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ข้าวของของทั้งสามในบ้านก็ถูกขนออกหมด แม้ว่าฟางเสิ่นจะมั่นใจว่าไม่นานเขาจะได้กลับมา แต่เขาไม่อยากปล่อยให้สิ่งของเหล่านี้ถูกคู่สามีภรรยาเจ้าของบ้านทำเสียหาย ยอมเสียแรงเพิ่มอีกเล็กน้อยดีกว่า
ฟางเสิ่นให้หลี่โยวรั่วและหลี่เหยียนกลับไปยังคฤหาสน์ตระกูลหลี่ รอจนกว่าเรื่องบ้านจะได้รับการแก้ไขค่อยให้พวกเธอกลับมา ที่จริงแล้ว ต่อให้ไม่มีเหตุการณ์วันนี้ ฟางเสิ่นก็วางแผนให้พวกเธอออกไปชั่วคราวอยู่แล้ว รอให้การแก้แค้นของตระกูลหนิงผ่านพ้นไปและแน่ใจว่าปลอดภัยค่อยให้พวกเธอกลับมา
เนื่องจากการแก้แค้นของตระกูลหนิงย่อมไม่ล่าช้านัก หากรอนานไป ผู้คนภายนอกจะคิดว่าพวกเขากลัวฟางเสิ่น
ช่วงเวลาต่อจากนี้ ฟางเสิ่นตัดสินใจที่จะเผชิญหน้าด้วยตัวคนเดียว
ฟางเสิ่นเป็นคนสุดท้ายที่ออกจากบ้าน เขาเดินไปยังมุมลับตาในห้องโถงแล้วหยิบหินตรึงวิญญาณขึ้นมาเก็บไว้ในมือ ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย
จากนี้ไป เขาจะทำให้คู่สามีภรรยาเจ้าของบ้านได้รู้จักกับความหมายของคำว่าผีหลอกสักที!
…
หลังจากที่ฟางเสิ่นและอีกสองคนจากไป ประมาณสองชั่วโมงต่อมา รถสองคันก็จอดอยู่หน้าบ้าน คู่สามีภรรยาเจ้าของบ้านลงจากรถและมีชายฉกรรจ์สามคนลงมาจากรถตู้คันหนึ่งด้วย
ข้างนอกยังคงมีฝนตก ทำให้ตัวพวกเขาชื้นแฉะ ทั้งห้าคนรีบเข้าไปในบ้านทันที
“พี่หาว พวกนายดูท่าจะร่ำรวยแล้วนะ บ้านที่พวกนายอยู่ดูหรูหรามาก เราแทบไม่กล้าเหยียบพื้นเลย” ชายฉกรรจ์สามคนที่มาด้วยกันกับคู่สามีภรรยา มองดูการจัดวางในบ้านและชื่นชมไม่ขาดปาก
พวกเขาทั้งสามเป็นชาวไร่ที่มีโคลนติดเต็มเท้า ไม่เคยเข้ามาอยู่ในบ้านที่หรูหราเช่นนี้มาก่อน จนรู้สึกตื่นตาตื่นใจ
“พี่น้องทุกคนก็พักกันที่นี่สักสองสามวันนะ ฮ่าฮ่า” ชายวัยกลางคนกล่าวเชิญพลางหัวเราะ ชายฉกรรจ์เหล่านี้เป็นคนบ้านเดียวกันกับเขา
เขาเองก็ไม่เชื่อเรื่องบ้านผีสิง แต่ภรรยาของเขากลับกลัวมาก และบ้านนี้ก็หาคนเช่าได้ยากเย็นเหลือเกิน ดังนั้นจึงตัดสินใจย้ายเข้ามาพักเอง ซึ่งการนำชายฉกรรจ์กลุ่มนี้มาด้วย ก็เพื่อเพิ่มความกล้าให้กับตัวเอง
คนมากก็ยิ่งเพิ่มความกล้า
คู่สามีภรรยาอยู่ชั้นสอง ส่วนชายฉกรรจ์สามคนอยู่ที่ชั้นล่าง โดยพวกเขาปูเสื่อนอนในห้องโถง ไม่ยอมให้ชายฉกรรจ์เข้าไปพักในห้องต่างๆของบ้าน
“รู้สึกดีจริงๆที่ได้พักในบ้านหลังนี้ คิดดูสิว่าเราเองยังไม่เคยอยู่ที่นี่มาก่อน” หญิงวัยกลางคนมองวิวจากชั้นสองและการตกแต่งในห้องอย่างอาลัย
ตอนที่พวกเขาซื้อบ้านหลังนี้มาแล้วทุ่มเงินตกแต่งใหม่ ในทางปกติ ควรรอให้สารพิษจากการตกแต่งที่ตกค้างในบ้านระเหยจนถึงระดับที่ปลอดภัยจึงจะเข้าอยู่ได้ แต่คู่สามีภรรยากลับเห็นแก่ตัวด้วยการปล่อยเช่าแทน ปล่อยให้คนเช่ามาอาศัยรับสารพิษแทนตน
ใครจะรู้ว่า เพียงไม่กี่วัน ผู้เช่าคนแรกก็โดนผีหลอกจนต้องเข้าโรงพยาบาล ตามมาด้วยผู้เช่ารายที่สองและรายที่สาม...ข่าวลือเรื่องบ้านผีสิงเริ่มแพร่สะพัดออกไป จนสุดท้ายแม้จะลดค่าเช่าลงเหลือเพียงหนึ่งพันหยวนต่อเดือน ก็ยังไม่มีใครกล้าเช่า และด้วยข่าวลือเหล่านั้นเองทำให้คู่สามีภรรยาก็ไม่กล้าเข้ามาอยู่ในบ้านเช่นกัน บ้านหลังใหญ่ที่ว่างเปล่าจึงทำให้พวกเขาเจ็บใจไม่น้อย แต่เมื่อเห็นฟางเสิ่นและพวกอยู่มานานโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาก็เดาว่าบ้านหลังนี้น่าจะเลิกหลอกหลอนแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาย่อมอยู่เฉยไม่ได้
“เรามาพักอยู่ที่นี่สักหน่อย พอมีคนมาเช่ารอบใหม่ เราก็ปล่อยเช่าไปเลย หรือถึงไม่มีคนเช่าก็ยังอยู่เองได้ เจ้าหนุ่มนั่นน่ะคิดจะมาหลอกฉัน ฮ่าฮ่า ขำชะมัด” ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยท่าทางได้ใจ
เวลาในคืนแรกผ่านไปโดยไม่มีเหตุผิดปกติใดๆ ซึ่งทำให้คู่สามีภรรยายิ่งมั่นใจขึ้นว่าเรื่องผีหลอกที่ลือกันนั้นไม่มีอยู่จริง
ฟางเสิ่นยังไม่ได้ปล่อยพลังชั่วร้ายจากหินตรึงวิญญาณออกมา หากปล่อยให้บ้านเกิดเหตุแปลกๆทันทีหลังจากพวกเขาย้ายออกไปคงจะน่าสงสัยเกินไป ดังนั้นในคืนแรกจึงยังคงสงบสุข
คืนวันที่สองและคืนวันที่สามก็ผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น คู่สามีภรรยาจึงเริ่มไล่ชาวไร่สามคนที่มาพักเป็นเพื่อนออกไป ชายเหล่านี้นอนกรนเสียงดังลั่นและทำตัวหยาบกระด้างจนคู่สามีภรรยาเริ่มทนไม่ไหว
พวกเขาไม่รู้เลยว่า ช่วงสามวันมานี้ พลังชั่วร้ายจากหินตรึงวิญญาณเริ่มซึมเข้าสู่ร่างกายของพวกเขา ประกอบกับสภาพอากาศที่ฝนตกตลอดทำให้บรรยากาศหนาวเย็นและชื้น ส่งผลให้พลังชั่วร้ายทวีความรุนแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว ทั้งสองเริ่มรู้สึกอ่อนเพลีย ใบหน้าซีดขาวลงอย่างเห็นได้ชัด แต่พวกเขากลับคิดว่าเป็นเพราะความเครียดจากการใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวงมาเป็นเวลาหลายวัน ทว่าเมื่อคืนสามวันนั้นผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาจึงรู้สึกสบายใจขึ้นมาอีกครั้ง
คืนที่สี่ คู่สามีภรรยาก็เข้านอนตามปกติ แม้ว่าช่วงสามวันที่ผ่านมาเขาจะนอนหลับไม่ค่อยสนิทนัก แต่ตอนนี้พวกเขาก็วางใจได้อย่างเต็มที่
กลางดึก ชายวัยกลางคนรู้สึกปวดปัสสาวะ จึงลุกขึ้นเดินไปที่ห้องน้ำในความมืด เขาเสร็จธุระและกำลังจะล้างมือเมื่อเปิดไฟขึ้น ทันใดนั้น เขาเห็นใบหน้าซีดเผือดปรากฏขึ้นในกระจกเบื้องหน้า ใบหน้านั้นแลบลิ้นสีแดงก่ำออกมา ใบหน้าซีดคล้ำมีเลือดไหลนองและแสยะยิ้มชั่วร้ายมาทางเขา
“ผะ...ผี!!”
เสียงกรีดร้องอย่างน่าสะพรึงดังลั่นไปทั่ว
(จบบท)