ตอนที่แล้วบทที่ 45 ความทรงพลังของสายไฟ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 47 นักเวทตัวฉกาจ

บทที่ 46 โอเกอร์คลิฟ


บทที่ 46 โอเกอร์คลิฟ

หลังจากได้ยินชิงเฟิงบอกว่าเขาไม่สามารถรับมือกับมอนสเตอร์ตรงหน้าได้ เซี่ยหยู่เว่ยจึงมองไปทางจางจื่อโป๋ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม

“ฉันก็น่าจะทนไม่ไหวเหมือนกัน” จางจื่อโป๋ตอบอย่างจนใจ

เมื่อสมาชิกภายในทีมได้ยินแบบนั้น ขวัญกำลังใจของพวกเขาก็หดหายไปจากเดิมอย่างกะทันหัน ซึ่งในตอนแรกพวกเขาก็ยังพอหวังว่าจะเอาชนะบอสตัวแรกของดันเจียนระดับอีปิคได้บ้าง แต่หลังจากได้ยินตัวแทงค์ของทีมบอกว่าตัวเองไม่สามารถทนรับการโจมตีของบอสไหว ฝันของแต่ละคนก็เริ่มแหลกสลายอย่างฉับพลัน

“ฉันบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าพวกเราลงดันเจียนระดับอีปิคกันตอนนี้ไม่ไหวหรอก ตอนนี้ใครบางคนที่ชอบพูดมากคงจะลิ้นพันกันเองไปแล้วมั้ง” เจิ้งหยวนที่เห็นโอกาสเริ่มส่งเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง ขณะที่แววตาของเขาจับจ้องมองไปยังลู่หยางอย่างเยาะเย้ย

หากผ่านดันเจียนในครั้งนี้ไม่ได้ เจิ้งหยวนก็เชื่อว่าเซี่ยหยู่เว่ยจะไม่ไปยุ่งกับลู่หยางอีกแน่ ในเมื่อในอนาคตพวกเขาจะไม่ได้พบกันอีก เจิ้งหยวนจึงฉวยโอกาสนี้ถากถางลู่หยางอย่างเต็มที่เพื่อเอาคืนเรื่องก่อนหน้านี้ที่อีกฝ่ายทำให้เขาขายหน้า

ชิงเฟิงจ้องไปยังเจิ้งหยวน ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นมาด้วยท่าทางอันดุดัน

“พวกเราควรลองดูกันสักตั้ง ฉันจะพยายามอย่างสุดความสามารถ”

การสู้กับบอสไม่ได้พึ่งพาเพียงแค่อุปกรณ์เพียงอย่างเดียว แต่จำเป็นจะต้องใช้ฝีมือของผู้เล่นด้วย อีกอย่างฉือมู่ก็ได้สั่งการลงมาแล้วชิงเฟิงจึงไม่อยากให้ลู่หยางจะต้องอับอายโดยที่ยังไม่พยายามทำอะไรเลย

เซี่ยหยู่เว่ยก็กำลังมองไปที่เจิ้งหยวนอย่างไม่พอใจด้วยเช่นกัน และในสายตาของเธอถึงแม้ว่าทุกคนจะผ่านดันเจียนระดับอีปิคไปไม่ได้ แต่มันก็ยังมีดันเจียนระดับเอ็กซ์เพิร์ทและระดับยากรออยู่ ตราบใดก็ตามที่ภายในทีมยังมีชิงเฟิงกับเฮ่ยเจีย แม้ว่าทีมจะต้องลงดันเจียนที่มีความยากลดน้อยลง แต่ในท้ายที่สุดทีมก็ยังจะได้รับอุปกรณ์ดี ๆ มาไว้ในครอบครอง

อย่างไรก็ตามหากเธอต้องการให้ผู้เล่นทั้งสองคนนี้อยู่ต่อ สิ่งแรกที่จำเป็นจะต้องทำคือการอย่าทำให้ลู่หยางไม่พอใจ หญิงสาวจึงรีบกล่าวไปว่า

“ฉันเห็นด้วยที่พวกเราควรจะลองดูกันสักรอบ อย่างน้อยก็ถือว่าเก็บประสบการณ์กันไปภายในตัว”

จางจื่อโป๋เข้าใจความหมายของเซี่ยหยู่เว่ยเป็นอย่างดี เขาจึงรีบพูดเสริมขึ้นมาว่า

“ผมเชื่อความสามารถในการนำทีมของอาจารย์ลู่หยาง พวกเรามาลองดูกันสักตั้งเถอะ”

ลู่หยางมองดูสีหน้าของทุกคนที่พยายามฝืนยิ้ม ก่อนที่เขาจะกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า

“ทำไมทุกคนถึงทำหน้าเหมือนกับว่าพวกเราจะผ่านไปไม่ได้อย่างงั้นล่ะ?”

แค่มองกล้ามแขนของบอสมันก็พอจะเดาได้แล้วไหม!?

ทุกคนคิดภายในใจไปในทางเดียวกัน

ลู่หยางตบไหล่ชิงเฟิงพร้อมกับถามว่า

“ถ้าฉันเพิ่มพลังป้องกันของคุณขึ้นอีก 30 หน่วย คุณจะพอทนได้ไหม?”

“น่าจะเป็นไปได้ ถ้ามีพลังป้องกันเพิ่มขึ้นมาอีก 30 หน่วย การชนกับบอสน่าจะไม่มีปัญหา” ชิงเฟิงตอบ

“ถ้ามีพลังป้องกันเพิ่มขึ้นมาอีก 30 หน่วย ผมก็คิดว่าน่าจะทนการโจมตีของบอสได้สัก 2-3 ครั้ง” จางจื่อโป๋กล่าวเสริม

“โอเค... สาวน้อยมานี่หน่อย” ลู่หยางกล่าวพร้อมกับกวักมือเรียกหลานอวี่

“ฮะ!? มีอะไร” หลานอวี่เดินเข้ามาอย่างงุนงง

“เอาสกิลนี่ไปเรียนซะ” ลู่หยางบอกก่อนจะยื่นหนังสือสกิลการ์เดี้ยนโพเทคชั่นที่ดรอปมาจากฮาล์ฟออร์ควอริเออร์ให้กับหญิงสาว

“นี่มันสกิลอะไร?” หลานอวี่ถาม

“มันชื่อว่าการ์เดี้ยนโพเทคชั่นเป็นสกิลสุดโกงของนักบวชในช่วงเริ่มต้น เพราะมันจะช่วยเพิ่มพลังป้องกันของเป้าหมายได้ 30 หน่วยนาน 30 นาที” ลู่หยางอธิบาย

“มันมีสกิลแบบนี้อยู่ด้วยงั้นเหรอ? นี่มันจะโกงเกินไปแล้ว” ชิงเฟิงอุทานอย่างตกตะลึง

พวกเซี่ยหยู่เว่ยก็กำลังตกตะลึงอยู่เช่นกัน แน่นอนว่าทุกคนย่อมรู้ดีว่ามูลค่าของหนังสือสกิลเล่มนี้เป็นสิ่งที่ล้ำค่ามากแค่ไหน เพราะต่อให้เป็นผู้เล่นใหม่พวกเขาก็เข้าใจว่าพลังป้องกัน 30 หน่วยในช่วงเริ่มต้น มันสามารถเอาไปปรับใช้กับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้เยอะมาก

“มันมีค่ามากเกินไป ฉันรับเอาไว้ไม่ได้หรอก” หลานอวี่รีบปฏิเสธ

หากลู่หยางนำหนังสือเล่มนี้ไปขายในร้านค้าประมูล ราคาของมันย่อมไม่ต่ำกว่า 2 เหรียญทองอย่างแน่นอน

“รีบ ๆ เรียนสกิลนี้เร็ว ๆ เข้า ไม่อย่างนั้นพวกเราก็ผ่านดันเจียนนี้ไปไม่ได้ ฉันไม่มีเวลามาอยู่ที่นี่กับพวกเธอตลอดทั้งวันหรอกนะ ฉันยังมีเรื่องสำคัญอีกหลายเรื่องที่ต้องกลับไปจัดการ” ลู่หยางกล่าว

“เอ่อ… ถ้าอย่างนั้นฉันจะเรียนมันไปก่อน แต่ถ้าคุณจะลงดันเจียนคุณก็เรียกหาฉันได้ตลอดเลยนะ” หลานอวี่พยายามแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า

“แบบนั้นแหละดีแล้ว” ลู่หยางกล่าว

ขณะเดียวกันชิงเฟิงก็กำลังส่งสายตาให้เสี่ยวเหลียงพร้อมกับส่งข้อความพูดคุยกันอย่างลับ ๆ ว่า

“ลูกพี่ของนายมีเทคนิคจีบสาวแพรวพราวจริง ๆ”

“เป็นไงล่ะ! ลูกพี่ฉันเจ๋งไปเลยใช่ไหมล่ะ” เสี่ยวเหลียงตอบกลับอย่างภาคภูมิใจ

หลังจากเรียนสกิลเรียบร้อยแล้วภายในหน้าต่างสกิลของหลานอวี่ก็ปรากฏไอคอนสกิลรูปหกเหลี่ยมสีน้ำตาล เธอจึงเริ่มใช้สกิลใหม่โดยกำหนดเป้าหมายไปยังชิงเฟิง

พลังงานสีน้ำตาลเข้มเริ่มก่อตัวล้อมรอบรองหัวหน้ากิลด์เพอร์เพิลโกลด์เดสตินี่ในทันที ก่อนที่พลังงานรูปหกเหลี่ยมจะแตกกระจายไปทั่วทั้งชุดเกราะของนักรบคนนี้

ระบบ: หลานอวี่ใช้สกิลการ์เดี้ยนโพเทคชั่นกับหลี่จิ่วชิงเฟิง

ระบบ: หลี่จิ่วชิงเฟิงได้รับผลของการ์เดี้ยนโพเทคชั่นเพิ่มพลังป้องกันขึ้น 30 หน่วย

ชิงเฟิงทำการเปิดหน้าต่างสถานะ ก่อนที่จะได้พบว่าพลังป้องกันของเขาเพิ่มขึ้นมาเป็นจำนวน 30 หน่วยจริง ๆ

“พลังป้องกันของฉันเพิ่มขึ้นมาอีก 30 หน่วยจริง ๆ ด้วย!” ชิงเฟิงกล่าวอย่างตื่นเต้น

“เยี่ยม! แบบนี้พวกเราก็มีโอกาสฆ่าบอสลุ้นอุปกรณ์ระดับเงินกันได้แล้ว” จางจื่อโป๋ตะโกนอย่างตื่นเต้นด้วยเช่นกัน

สมาชิกทุกคนในปาร์ตี้ต่างก็ส่งเสียงโห่ร้องขึ้นมาอย่างยินดี เพราะอุปกรณ์ระดับต่ำสุดจากบอสในดันเจียนระดับอีปิคคืออุปกรณ์ระดับทองแดง และเนื่องมาจากพวกเขาคือผู้เล่นกลุ่มแรกที่ท้าทายดันเจียนในระดับนี้ มันจึงมีโอกาสที่บอสจะดรอปอุปกรณ์ระดับเงินลงมาสูงมาก

เมื่อลู่หยางได้เห็นสีหน้าของทุกคน เขาก็สัมผัสได้เลยว่าความฮึกเหิมของทีมได้ถูกปลุกเร้าขึ้นมาแล้ว

“การเผชิญหน้ากับบอสไม่ใช่เรื่องยาก ขอแค่ทุกคนฟังคำสั่ง พวกเราจะสามารถฝ่าฟันมันไปได้อย่างง่ายดาย”

“หัวหน้าสั่งการมาได้เลย!”

“ไม่ว่าคุณจะสั่งมาแบบไหน พวกเราก็พร้อมจะเคลื่อนไหวแบบนั้น”

ในตอนแรกพวกเขามองไม่เห็นโอกาสที่ทีมจะจัดการกับบอสได้ แต่เมื่อพวกเขาเห็นโอกาสแล้วทุกคนจึงแสดงท่าทีจริงจังออกมาอีกครั้ง

“นอกจากสายระยะประชิดนักเวทไปยืนทางซ้าย นักบวชยืนข้างหน้า นักธนูกับวอลอคยืนทางขวา แต่ละทีมยืนห่างจากฉันไป 10 เมตร” ลู่หยางสั่งการ

ถึงแม้เขาจะไม่ได้ลงดันเจียนนี้มาเป็นเวลานานกว่า 15 ปีแล้ว แต่การผ่านดันเจียนครั้งแรกมักจะสร้างความประทับใจให้กับทุกคนอยู่เสมอ ลู่หยางจึงจำได้เป็นอย่างดีว่าการผ่านดันเจียนนี้จำเป็นจะต้องจัดทีมในรูปแบบยังไง

บอสในโหมดอีปิคแตกต่างจากบอสในโหมดปกติ เพราะบอสจะมีอยู่ทั้งสิ้น 2 เฟส โดยในเฟสแรกคือช่วงที่พลังชีวิตลดลงมาไม่ถึง 50% ในช่วงนี้บอสจะใช้สกิลโจมตีทางกายภาพออกมาล้วน ๆ

แต่ในช่วงเฟสที่ 2 หลังจากพลังชีวิตลดลงมาต่ำกว่า 50% บอสจะสุ่มปล่อยสกิลฟรอสฟลาวเวอร์และเฟลมฟลาวเวอร์ลงพื้นดิน โดยสกิลฟรอสฟลาวเวอร์จะชะลอความเร็วของผู้เล่นลง ส่วนสกิลเฟลมฟลาวเวอร์จะสร้างความเสียหาย

ในช่วงเฟสนี้จึงกลายเป็นเฟสที่เล่นได้ยากมากที่สุด เพราะเมื่อไรก็ตามที่บอสใช้สกิลเฟลมฟลาวเวอร์เข้าใส่ผู้เล่นที่ถูกลดความเร็วจากสกิลฟรอสฟลาวเวอร์ ผู้เล่นคนนั้นก็จะเสียชีวิตหลังจากได้รับความเสียหายไปได้เพียงแค่ 2 วินาที

ผู้เล่นมือใหม่ยังไม่รู้จักวิธีการหลบสกิลทั้งสองสกิลนี้ เมื่อสกิลถูกเรียกใช้งานในเวลานั้นถึงแม้พวกเขาอยากจะหลบแต่มันก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะหลบทันแล้ว

หลังวางตำแหน่งให้กับสมาชิกภายในทีม ลู่หยางก็พูดขึ้นมาว่า

“เราจะผ่านบอสตัวนี้ไปในครั้งเดียว สำหรับคนที่เคยเล่นโหมดปกติก็น่าจะรู้ว่าบอสไม่มีสกิลอื่นแต่มีพลังโจมตีกายภาพที่สูงมาก แต่อย่าลืมว่าตอนนี้พวกเรากำลังลงโหมดอีปิค หากมันมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นระหว่างทาง ทุกคนจะต้องฟังคำสั่งของฉันอย่างเคร่งครัด”

ชายหนุ่มไม่อยากพูดชื่อสกิลของบอสออกมาตรง ๆ เพราะกลัวว่าคนอื่นจะเกิดความสงสัย แล้วถึงแม้การอ้างว่าตัวเองเป็นผู้เข้าร่วมทดสอบเบต้าเทส แต่การโกหกมากเกินไปสักวันหนึ่งความจริงมันก็อาจจะถูกเปิดเผยออกมาได้อยู่ดี การไม่พูดอะไรออกมาเลยจึงเป็นเรื่องที่ดีกว่า อีกอย่างถ้าหากทุกคนฟังคำสั่ง การพยายามจะหลบสกิลของบอสมันก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรอยู่แล้ว

“ครับ/ค่ะ” สมาชิกส่วนใหญ่ตะโกนรับทราบอย่างเชื่อฟัง แต่สมาชิกบางคนก็ยังคงตั้งอคติอยู่เช่นเดิม

“ในเมื่อทุกคนไม่มีปัญหา หลานอวี่ใช้สกิลการ์เดี้ยนโพเทคชั่นกับเฮ่ยเจียได้เลย ชิงเฟิงใช้สกิลทะลวงเกราะเปิดเข้าไปก่อน ทุกคนดูตำแหน่งของฉันเอาไว้ให้ดี ๆ แล้วเคลื่อนไหวตามตำแหน่งของตัวเองหลังจากชิงเฟิงใช้สกิลทะลวงเกราะไปแล้ว 3 ครั้ง ในตอนนั้นทุกคนค่อยเริ่มโจมตี”

“พวกเรามาฆ่าบอสแล้วเฉลิมฉลองไปด้วยกันเถอะ!!” ลู่หยางตะโกนเสียงดัง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด