บทที่ 46 โอเกอร์คลิฟ
บทที่ 46 โอเกอร์คลิฟ
หลังจากได้ยินชิงเฟิงบอกว่าเขาไม่สามารถรับมือกับมอนสเตอร์ตรงหน้าได้ เซี่ยหยู่เว่ยจึงมองไปทางจางจื่อโป๋ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม
“ฉันก็น่าจะทนไม่ไหวเหมือนกัน” จางจื่อโป๋ตอบอย่างจนใจ
เมื่อสมาชิกภายในทีมได้ยินแบบนั้น ขวัญกำลังใจของพวกเขาก็หดหายไปจากเดิมอย่างกะทันหัน ซึ่งในตอนแรกพวกเขาก็ยังพอหวังว่าจะเอาชนะบอสตัวแรกของดันเจียนระดับอีปิคได้บ้าง แต่หลังจากได้ยินตัวแทงค์ของทีมบอกว่าตัวเองไม่สามารถทนรับการโจมตีของบอสไหว ฝันของแต่ละคนก็เริ่มแหลกสลายอย่างฉับพลัน
“ฉันบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าพวกเราลงดันเจียนระดับอีปิคกันตอนนี้ไม่ไหวหรอก ตอนนี้ใครบางคนที่ชอบพูดมากคงจะลิ้นพันกันเองไปแล้วมั้ง” เจิ้งหยวนที่เห็นโอกาสเริ่มส่งเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง ขณะที่แววตาของเขาจับจ้องมองไปยังลู่หยางอย่างเยาะเย้ย
หากผ่านดันเจียนในครั้งนี้ไม่ได้ เจิ้งหยวนก็เชื่อว่าเซี่ยหยู่เว่ยจะไม่ไปยุ่งกับลู่หยางอีกแน่ ในเมื่อในอนาคตพวกเขาจะไม่ได้พบกันอีก เจิ้งหยวนจึงฉวยโอกาสนี้ถากถางลู่หยางอย่างเต็มที่เพื่อเอาคืนเรื่องก่อนหน้านี้ที่อีกฝ่ายทำให้เขาขายหน้า
ชิงเฟิงจ้องไปยังเจิ้งหยวน ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นมาด้วยท่าทางอันดุดัน
“พวกเราควรลองดูกันสักตั้ง ฉันจะพยายามอย่างสุดความสามารถ”
การสู้กับบอสไม่ได้พึ่งพาเพียงแค่อุปกรณ์เพียงอย่างเดียว แต่จำเป็นจะต้องใช้ฝีมือของผู้เล่นด้วย อีกอย่างฉือมู่ก็ได้สั่งการลงมาแล้วชิงเฟิงจึงไม่อยากให้ลู่หยางจะต้องอับอายโดยที่ยังไม่พยายามทำอะไรเลย
เซี่ยหยู่เว่ยก็กำลังมองไปที่เจิ้งหยวนอย่างไม่พอใจด้วยเช่นกัน และในสายตาของเธอถึงแม้ว่าทุกคนจะผ่านดันเจียนระดับอีปิคไปไม่ได้ แต่มันก็ยังมีดันเจียนระดับเอ็กซ์เพิร์ทและระดับยากรออยู่ ตราบใดก็ตามที่ภายในทีมยังมีชิงเฟิงกับเฮ่ยเจีย แม้ว่าทีมจะต้องลงดันเจียนที่มีความยากลดน้อยลง แต่ในท้ายที่สุดทีมก็ยังจะได้รับอุปกรณ์ดี ๆ มาไว้ในครอบครอง
อย่างไรก็ตามหากเธอต้องการให้ผู้เล่นทั้งสองคนนี้อยู่ต่อ สิ่งแรกที่จำเป็นจะต้องทำคือการอย่าทำให้ลู่หยางไม่พอใจ หญิงสาวจึงรีบกล่าวไปว่า
“ฉันเห็นด้วยที่พวกเราควรจะลองดูกันสักรอบ อย่างน้อยก็ถือว่าเก็บประสบการณ์กันไปภายในตัว”
จางจื่อโป๋เข้าใจความหมายของเซี่ยหยู่เว่ยเป็นอย่างดี เขาจึงรีบพูดเสริมขึ้นมาว่า
“ผมเชื่อความสามารถในการนำทีมของอาจารย์ลู่หยาง พวกเรามาลองดูกันสักตั้งเถอะ”
ลู่หยางมองดูสีหน้าของทุกคนที่พยายามฝืนยิ้ม ก่อนที่เขาจะกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า
“ทำไมทุกคนถึงทำหน้าเหมือนกับว่าพวกเราจะผ่านไปไม่ได้อย่างงั้นล่ะ?”
แค่มองกล้ามแขนของบอสมันก็พอจะเดาได้แล้วไหม!?
ทุกคนคิดภายในใจไปในทางเดียวกัน
ลู่หยางตบไหล่ชิงเฟิงพร้อมกับถามว่า
“ถ้าฉันเพิ่มพลังป้องกันของคุณขึ้นอีก 30 หน่วย คุณจะพอทนได้ไหม?”
“น่าจะเป็นไปได้ ถ้ามีพลังป้องกันเพิ่มขึ้นมาอีก 30 หน่วย การชนกับบอสน่าจะไม่มีปัญหา” ชิงเฟิงตอบ
“ถ้ามีพลังป้องกันเพิ่มขึ้นมาอีก 30 หน่วย ผมก็คิดว่าน่าจะทนการโจมตีของบอสได้สัก 2-3 ครั้ง” จางจื่อโป๋กล่าวเสริม
“โอเค... สาวน้อยมานี่หน่อย” ลู่หยางกล่าวพร้อมกับกวักมือเรียกหลานอวี่
“ฮะ!? มีอะไร” หลานอวี่เดินเข้ามาอย่างงุนงง
“เอาสกิลนี่ไปเรียนซะ” ลู่หยางบอกก่อนจะยื่นหนังสือสกิลการ์เดี้ยนโพเทคชั่นที่ดรอปมาจากฮาล์ฟออร์ควอริเออร์ให้กับหญิงสาว
“นี่มันสกิลอะไร?” หลานอวี่ถาม
“มันชื่อว่าการ์เดี้ยนโพเทคชั่นเป็นสกิลสุดโกงของนักบวชในช่วงเริ่มต้น เพราะมันจะช่วยเพิ่มพลังป้องกันของเป้าหมายได้ 30 หน่วยนาน 30 นาที” ลู่หยางอธิบาย
“มันมีสกิลแบบนี้อยู่ด้วยงั้นเหรอ? นี่มันจะโกงเกินไปแล้ว” ชิงเฟิงอุทานอย่างตกตะลึง
พวกเซี่ยหยู่เว่ยก็กำลังตกตะลึงอยู่เช่นกัน แน่นอนว่าทุกคนย่อมรู้ดีว่ามูลค่าของหนังสือสกิลเล่มนี้เป็นสิ่งที่ล้ำค่ามากแค่ไหน เพราะต่อให้เป็นผู้เล่นใหม่พวกเขาก็เข้าใจว่าพลังป้องกัน 30 หน่วยในช่วงเริ่มต้น มันสามารถเอาไปปรับใช้กับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้เยอะมาก
“มันมีค่ามากเกินไป ฉันรับเอาไว้ไม่ได้หรอก” หลานอวี่รีบปฏิเสธ
หากลู่หยางนำหนังสือเล่มนี้ไปขายในร้านค้าประมูล ราคาของมันย่อมไม่ต่ำกว่า 2 เหรียญทองอย่างแน่นอน
“รีบ ๆ เรียนสกิลนี้เร็ว ๆ เข้า ไม่อย่างนั้นพวกเราก็ผ่านดันเจียนนี้ไปไม่ได้ ฉันไม่มีเวลามาอยู่ที่นี่กับพวกเธอตลอดทั้งวันหรอกนะ ฉันยังมีเรื่องสำคัญอีกหลายเรื่องที่ต้องกลับไปจัดการ” ลู่หยางกล่าว
“เอ่อ… ถ้าอย่างนั้นฉันจะเรียนมันไปก่อน แต่ถ้าคุณจะลงดันเจียนคุณก็เรียกหาฉันได้ตลอดเลยนะ” หลานอวี่พยายามแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า
“แบบนั้นแหละดีแล้ว” ลู่หยางกล่าว
ขณะเดียวกันชิงเฟิงก็กำลังส่งสายตาให้เสี่ยวเหลียงพร้อมกับส่งข้อความพูดคุยกันอย่างลับ ๆ ว่า
“ลูกพี่ของนายมีเทคนิคจีบสาวแพรวพราวจริง ๆ”
“เป็นไงล่ะ! ลูกพี่ฉันเจ๋งไปเลยใช่ไหมล่ะ” เสี่ยวเหลียงตอบกลับอย่างภาคภูมิใจ
หลังจากเรียนสกิลเรียบร้อยแล้วภายในหน้าต่างสกิลของหลานอวี่ก็ปรากฏไอคอนสกิลรูปหกเหลี่ยมสีน้ำตาล เธอจึงเริ่มใช้สกิลใหม่โดยกำหนดเป้าหมายไปยังชิงเฟิง
พลังงานสีน้ำตาลเข้มเริ่มก่อตัวล้อมรอบรองหัวหน้ากิลด์เพอร์เพิลโกลด์เดสตินี่ในทันที ก่อนที่พลังงานรูปหกเหลี่ยมจะแตกกระจายไปทั่วทั้งชุดเกราะของนักรบคนนี้
ระบบ: หลานอวี่ใช้สกิลการ์เดี้ยนโพเทคชั่นกับหลี่จิ่วชิงเฟิง
ระบบ: หลี่จิ่วชิงเฟิงได้รับผลของการ์เดี้ยนโพเทคชั่นเพิ่มพลังป้องกันขึ้น 30 หน่วย
ชิงเฟิงทำการเปิดหน้าต่างสถานะ ก่อนที่จะได้พบว่าพลังป้องกันของเขาเพิ่มขึ้นมาเป็นจำนวน 30 หน่วยจริง ๆ
“พลังป้องกันของฉันเพิ่มขึ้นมาอีก 30 หน่วยจริง ๆ ด้วย!” ชิงเฟิงกล่าวอย่างตื่นเต้น
“เยี่ยม! แบบนี้พวกเราก็มีโอกาสฆ่าบอสลุ้นอุปกรณ์ระดับเงินกันได้แล้ว” จางจื่อโป๋ตะโกนอย่างตื่นเต้นด้วยเช่นกัน
สมาชิกทุกคนในปาร์ตี้ต่างก็ส่งเสียงโห่ร้องขึ้นมาอย่างยินดี เพราะอุปกรณ์ระดับต่ำสุดจากบอสในดันเจียนระดับอีปิคคืออุปกรณ์ระดับทองแดง และเนื่องมาจากพวกเขาคือผู้เล่นกลุ่มแรกที่ท้าทายดันเจียนในระดับนี้ มันจึงมีโอกาสที่บอสจะดรอปอุปกรณ์ระดับเงินลงมาสูงมาก
เมื่อลู่หยางได้เห็นสีหน้าของทุกคน เขาก็สัมผัสได้เลยว่าความฮึกเหิมของทีมได้ถูกปลุกเร้าขึ้นมาแล้ว
“การเผชิญหน้ากับบอสไม่ใช่เรื่องยาก ขอแค่ทุกคนฟังคำสั่ง พวกเราจะสามารถฝ่าฟันมันไปได้อย่างง่ายดาย”
“หัวหน้าสั่งการมาได้เลย!”
“ไม่ว่าคุณจะสั่งมาแบบไหน พวกเราก็พร้อมจะเคลื่อนไหวแบบนั้น”
ในตอนแรกพวกเขามองไม่เห็นโอกาสที่ทีมจะจัดการกับบอสได้ แต่เมื่อพวกเขาเห็นโอกาสแล้วทุกคนจึงแสดงท่าทีจริงจังออกมาอีกครั้ง
“นอกจากสายระยะประชิดนักเวทไปยืนทางซ้าย นักบวชยืนข้างหน้า นักธนูกับวอลอคยืนทางขวา แต่ละทีมยืนห่างจากฉันไป 10 เมตร” ลู่หยางสั่งการ
ถึงแม้เขาจะไม่ได้ลงดันเจียนนี้มาเป็นเวลานานกว่า 15 ปีแล้ว แต่การผ่านดันเจียนครั้งแรกมักจะสร้างความประทับใจให้กับทุกคนอยู่เสมอ ลู่หยางจึงจำได้เป็นอย่างดีว่าการผ่านดันเจียนนี้จำเป็นจะต้องจัดทีมในรูปแบบยังไง
บอสในโหมดอีปิคแตกต่างจากบอสในโหมดปกติ เพราะบอสจะมีอยู่ทั้งสิ้น 2 เฟส โดยในเฟสแรกคือช่วงที่พลังชีวิตลดลงมาไม่ถึง 50% ในช่วงนี้บอสจะใช้สกิลโจมตีทางกายภาพออกมาล้วน ๆ
แต่ในช่วงเฟสที่ 2 หลังจากพลังชีวิตลดลงมาต่ำกว่า 50% บอสจะสุ่มปล่อยสกิลฟรอสฟลาวเวอร์และเฟลมฟลาวเวอร์ลงพื้นดิน โดยสกิลฟรอสฟลาวเวอร์จะชะลอความเร็วของผู้เล่นลง ส่วนสกิลเฟลมฟลาวเวอร์จะสร้างความเสียหาย
ในช่วงเฟสนี้จึงกลายเป็นเฟสที่เล่นได้ยากมากที่สุด เพราะเมื่อไรก็ตามที่บอสใช้สกิลเฟลมฟลาวเวอร์เข้าใส่ผู้เล่นที่ถูกลดความเร็วจากสกิลฟรอสฟลาวเวอร์ ผู้เล่นคนนั้นก็จะเสียชีวิตหลังจากได้รับความเสียหายไปได้เพียงแค่ 2 วินาที
ผู้เล่นมือใหม่ยังไม่รู้จักวิธีการหลบสกิลทั้งสองสกิลนี้ เมื่อสกิลถูกเรียกใช้งานในเวลานั้นถึงแม้พวกเขาอยากจะหลบแต่มันก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะหลบทันแล้ว
หลังวางตำแหน่งให้กับสมาชิกภายในทีม ลู่หยางก็พูดขึ้นมาว่า
“เราจะผ่านบอสตัวนี้ไปในครั้งเดียว สำหรับคนที่เคยเล่นโหมดปกติก็น่าจะรู้ว่าบอสไม่มีสกิลอื่นแต่มีพลังโจมตีกายภาพที่สูงมาก แต่อย่าลืมว่าตอนนี้พวกเรากำลังลงโหมดอีปิค หากมันมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นระหว่างทาง ทุกคนจะต้องฟังคำสั่งของฉันอย่างเคร่งครัด”
ชายหนุ่มไม่อยากพูดชื่อสกิลของบอสออกมาตรง ๆ เพราะกลัวว่าคนอื่นจะเกิดความสงสัย แล้วถึงแม้การอ้างว่าตัวเองเป็นผู้เข้าร่วมทดสอบเบต้าเทส แต่การโกหกมากเกินไปสักวันหนึ่งความจริงมันก็อาจจะถูกเปิดเผยออกมาได้อยู่ดี การไม่พูดอะไรออกมาเลยจึงเป็นเรื่องที่ดีกว่า อีกอย่างถ้าหากทุกคนฟังคำสั่ง การพยายามจะหลบสกิลของบอสมันก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรอยู่แล้ว
“ครับ/ค่ะ” สมาชิกส่วนใหญ่ตะโกนรับทราบอย่างเชื่อฟัง แต่สมาชิกบางคนก็ยังคงตั้งอคติอยู่เช่นเดิม
“ในเมื่อทุกคนไม่มีปัญหา หลานอวี่ใช้สกิลการ์เดี้ยนโพเทคชั่นกับเฮ่ยเจียได้เลย ชิงเฟิงใช้สกิลทะลวงเกราะเปิดเข้าไปก่อน ทุกคนดูตำแหน่งของฉันเอาไว้ให้ดี ๆ แล้วเคลื่อนไหวตามตำแหน่งของตัวเองหลังจากชิงเฟิงใช้สกิลทะลวงเกราะไปแล้ว 3 ครั้ง ในตอนนั้นทุกคนค่อยเริ่มโจมตี”
“พวกเรามาฆ่าบอสแล้วเฉลิมฉลองไปด้วยกันเถอะ!!” ลู่หยางตะโกนเสียงดัง