บทที่ 45 ความทรงพลังของสายไฟ
บทที่ 45 ความทรงพลังของสายไฟ
อาร์เคนบลาสท์เป็นสกิลโจมตีหลักของนักเวทสายสายฟ้า โดยมันมีพลังโจมตีเวทพื้นฐาน 22 หน่วยและทุก ๆ ครั้งที่มันสร้างความเสียหายให้กับเป้าหมาย ผู้ใช้จะได้รับบัฟเพิ่มความเสียหาย 40% เป็นเวลา 8 วินาทีและสามารถซ้อนทับได้สูงสุด 3 ชั้น
แม้สกิลนี้จะสามารถสร้างความเสียหายได้สูงมาก แต่ทุกครั้งที่มันเพิ่มความเสียหายมานาที่จำเป็นจะต้องใช้ก็จะเพิ่มขึ้นอีก 40% ด้วยเช่นกัน ในกรณีปะทะกับมอนสเตอร์พลังชีวิตน้อย ๆ ลู่หยางย่อมแนะนำให้ทุกคนใช้สกิลนี้อย่างแน่นอน แต่การปะทะกับมอนสเตอร์พลังชีวิตสูงที่มีจำนวนหลาย ๆ ตัว ผู้เล่นจะไม่สามารถฟื้นฟูมานากลับมาได้ทันและทำให้อาร์เคนบลาสท์กลายเป็นสกิลที่ไร้ประสิทธิภาพในกรณีนี้อย่างสิ้นเชิง
“เจิ้งหยวนเปลี่ยนไปใช้ไฟร์บอล!” ลู่หยางตะโกนอย่างเหลืออด
อย่างไรก็ตามเจิ้งหยวนก็ยังคงไม่ฟังและใช้สกิลอาร์เคนบลาสท์เช่นเดิมต่อไป น่าเสียดายที่เขามีมานาอยู่เพียงแค่ 250 หน่วย หลังจากใช้สกิลออกมาได้เพียงแค่สามครั้ง ผลลัพธ์ก็คือหลังจากที่ทีมสังหารนักรบกบฏตัวแรกได้สำเร็จ มานาของคุณชายเจ้าสำราญก็หมดลงทำให้เขาจำเป็นจะต้องยืนรออยู่เฉย ๆ เพื่อฟื้นฟูมานากลับมา
ภายในทีมมีสมาชิก 12 คนที่สามารถโจมตีได้และใน 12 คนนี้ก็มี 5 คนเป็นผู้เล่นโจมตีสายกายภาพ เพียงแค่ความเสียหายเดิมก็แทบที่จะไม่เพียงพอต่อการเคลียร์มอนสเตอร์อยู่แล้ว เมื่อนักเวทหายไปคนหนึ่งนักเวทคนอื่น ๆ จึงจำเป็นจะต้องแบกภาระเพิ่มมากยิ่งขึ้น ซึ่งถ้าหากไม่ใช่เพราะลู่หยางมีพลังโจมตีเวทสูงประกอบกับชิงเฟิงและเสี่ยวเหลียงที่มีพลังป้องกันที่สูงมาก มอนสเตอร์ทั้งสองตัวนี้ก็คงจะล้างบางปาร์ตี้ของพวกเขาไปแล้ว
หลังจากสังหารมอนสเตอร์ทั้งสองตัวได้สำเร็จและอยู่ในช่วงที่ทีมกำลังพักผ่อน ลู่หยางก็เดินมาตรงหน้าเจิ้งหยวนและถามว่า
“ฉันบอกให้คุณใช้ไฟร์บอลไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมยังดื้อใช้อาร์เคนบลาสท์อยู่อีก?”
“ทำไม? ฉันใช้อาร์เคนบลาสท์แล้วมันมีปัญหางั้นเหรอ?” เจิ้งหยวนตอบกลับอย่างไม่สนใจ
“ฉันถามว่าฉันสั่งให้นักเวททุกคนใช้ไฟร์บอลแล้วทำไมคุณถึงยังใช้อาร์เคนบลาสท์?!” ลู่หยางถามซ้ำด้วยแววตาอันเยือกเย็น
ระหว่างนี้เสี่ยวเหลียงก็เดินถืออาวุธมายืนข้างลู่หยาง ขณะที่ชิงเฟิงก็เดินเข้ามาเพื่อคอยสนับสนุนด้วยเช่นกัน
ลู่หยางไม่ใช่คนใจเย็น ซึ่งในก่อนหน้านี้เขายังพอทนได้เพราะว่ามันเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ตอนนี้การกระทำของเจิ้งหยวนทำให้การลงดันเจียนล่าช้า ชายหนุ่มจึงไม่สามารถอดกลั้นความไม่พอใจเอาไว้ได้อีกแล้ว
เมื่อเซี่ยหยู่เว่ยเห็นลู่หยางกำลังโกรธ เธอก็รีบเดินเข้ามาไกล่เกลี่ยสถานการณ์ในทันที
“เกิดอะไรขึ้น? มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
เจิ้งหยวนชี้หน้าก่อนที่จะตะโกนใส่ลู่หยาง
“หยู่เว่ย! เรื่องก่อน ๆ ฉันยังพอทนได้แต่เรื่องนี้ฉันทนไม่ไหวแล้ว เขามีสิทธิ์อะไรมาสั่งให้ฉันใช้ไฟร์บอลเพื่อโจมตีมอนสเตอร์ ทั้ง ๆ ที่การโจมตีด้วยอาร์เคนบลาสท์สามารถสร้างความเสียหายได้สูงกว่า ตอนนี้เขากำลังพยายามหาเรื่องฉันอยู่ชัด ๆ เลย”
เซี่ยหยู่เว่ยก็ไม่เข้าใจสถานการณ์นี้ด้วยเช่นกัน เธอจึงหันไปมองลู่หยางเป็นเชิงตั้งคำถาม
“คุณคิดว่าพลังโจมตีของตัวเองสูงจริง ๆ งั้นเหรอ?” ลู่หยางถาม
“เรื่องง่าย ๆ แบบนี้นายไม่เข้าใจหรือยังไง หลังจากใช้อาร์เคนบลาสท์ซ้อนทับกัน 3 ครั้งฉันจะสามารถสร้างความเสียหายเพิ่มเติมได้อีก 2.2 เท่า หากไม่นับตัวนายที่มีอุปกรณ์ดีกว่าฉัน ฉันคนนี้ก็น่าจะสร้างความเสียหายได้มากที่สุดภายในทีมแล้ว” เจิ้งหยวนตอบอย่างหยิ่งผยอง
พวกจางจื่อโป๋เริ่มเดินเข้ามาร่วมวงด้วยเช่นกัน และถึงแม้พวกเขาจะไม่ชอบนิสัยของเจิ้งหยวนมากนัก แต่สิ่งที่อีกฝ่ายพูดมาก็น่าจะเป็นความจริง
“เจิ้งหยวนฟังคำพูดของลู่หยางเถอะ เขาคือหัวหน้าทีม พวกเราควรเชื่อฟังคำสั่งของเขา” จางจื่อโป๋พูดอย่างเป็นห่วงกลัวว่ามันจะเกิดปัญหาขึ้นมาภายในทีม
“ทำไมฉันจะต้องฟังด้วยในเมื่อสิ่งที่เขาพูดมันไม่ถูก!” เจิ้งหยวนยังคงพูดอย่างไม่ยินยอม
ลู่หยางหัวเราะขึ้นมาอย่างเย็นชา ก่อนที่เขาจะเปิดตารางสรุปความเสียหายจากระบบเกมขึ้นมาโชว์ต่อหน้าทุกคน
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะให้คุณดูว่าแท้ที่จริงพลังโจมตีของคุณคือเท่าไหร่”
ตารางแสดงสถานะค่าความเสียหายต่อวินาที (DPS) :
อันดับ 1 ลู่หยาง โจมตีรวม 6,415 (DPS. 79.4)
อันดับ 2 จินเชว่หลางจุน โจมตีรวม 1,914 (DPS 21.2)
อันดับ 3 โอวชือ โจมตีรวม 1,911 (DPS 21.1)
อันดับ 4 ปานชีเฉินกวง โจมตีรวม 1,846 (DPS 20.5)
อันดับ 5 เซียนหยูต้าตุย โจมตีรวม 1,845 (DPS 20.4)
อันดับ 6 เฮยจี๋ทา โจมตีรวม 904 (DPS 10.0)
อันดับ 7 เจิ้งหยวน โจมตีรวม 901 (DPS 10.0)
ตั้งแต่อันดับ 1-5 ต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นนักเวทที่ใช้สกิลธาตุไฟออกมาทั้งหมด อันดับ 6 คือผู้เล่นอาชีพวอลอค ส่วนทางด้านเจิ้งหยวนอยู่ที่อันดับ 7 ซึ่งเป็นอันดับสุดท้ายของบรรดานักเวททั้งหมดภายในทีม
เมื่อได้เห็นสถิติตัวเลขค่าความเสียหาย ทุกคนต่างก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจโดยเฉพาะเจิ้งหยวนที่ส่งเสียงร้องตะโกนขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“เป็นไปไม่ได้! ไม่มีทางที่ความเสียหายจากไฟร์บอลจะสูงมากขนาดนี้ พวกแกแอบซุกอุปกรณ์กันไว้ใช่ไหม?” เจิ้งหยวนหันไปจ้องหน้านักเวทที่จ้างมาอีกสี่คน
นักเวททั้งสี่คนต่างก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธในทันที
“คุณอย่าใส่ร้ายพวกเราเลย ใครจะกล้าแอบเก็บอุปกรณ์ของทีมเอาไว้ ต่อให้พวกเราเปลี่ยนอุปกรณ์เป็นอุปกรณ์ใหม่จริง ๆ แต่ความเสียหายของพวกเราก็ไม่มีทางสูงมากขนาดนี้เพียงแค่เพราะการเปลี่ยนอุปกรณ์หรอก” ปานชีเฉินกวงกล่าว
“แล้วมันเกิดอะไรขึ้น?” เจิ้งหยวนถาม
“ดูเหมือนหัวหน้าลู่หยางจะใช้สกิลพิเศษอะไรบางอย่างทำให้บนหัวมอนสเตอร์มีบัฟเพิ่มขึ้นมา ทุกครั้งที่พวกเราโจมตีความเสียหายมันจะเพิ่มขึ้นมาอีก 75 หน่วย” ปานชีเฉินกวงอธิบาย
หลังได้ยินคำอธิบายทุกคนต่างก็หันไปมองหน้าลู่หยางในทันที
“ใช่ นั่นคือสกิลของฉันเองแล้วมันก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมฉันถึงให้ทุกคนใช้สกิลธาตุไฟ” ลู่หยางตอบ
เจิ้งหยวนเริ่มเงียบเนื่องจากไม่สามารถหาเหตุผลมาเถียงได้
“ตอนนี้คุณมีมานาใช้อาร์เคนบลาสท์ได้เพียงแค่ 8 ครั้ง ซึ่งแปลว่าการปะทะกับมอนสเตอร์ทั้งสองตัวคุณสามารถสร้างความเสียหายให้กับมอนสเตอร์ได้เพียงแค่ตัวเดียว ก่อนที่มานาของคุณจะหมดลง คุณรู้ไหมว่าความดื้อรั้นของตัวเองส่งผลกระทบกับทีมมากขนาดไหน คนอื่น ๆ ต้องเพิ่มความพยายามไปอีกมากแค่ไหนเพื่อสร้างความเสียหายแทนตัวคุณที่ทำได้เพียงแค่ยืนนิ่งรอดูอยู่เฉย ๆ”
ยิ่งลู่หยางอธิบายมากเท่าไหร่เจิ้งหยวนก็ยิ่งรู้สึกอับอายมากขึ้นเท่านั้น ท้ายที่สุดนักเวทคนอื่น ๆ ก็เป็นคนที่เขาจ้างมา แต่ความเสียหายโดยรวมกลับกลายเป็นว่าเขาสร้างความเสียหายได้น้อยกว่านักเวททุกคน
เมื่อเซี่ยหยู่เว่ยเห็นสถานการณ์ในปัจจุบัน เธอก็อดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้ อย่างไรก็ตามพ่อของเธอก็เป็นหุ้นส่วนกับพ่อของเจิ้งหยวน ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่จึงไม่ใช่สิ่งที่จะตัดขาดกันได้ง่าย ๆ และมันก็ทำให้เธอไม่สามารถทนดูลู่หยางดูถูกเจิ้งหยวนต่อไปได้ด้วยเช่นเดียวกัน
“อาจารย์ลู่หยาง ฉันต้องขอโทษแทนเขาด้วย ฉันสัญญาว่าครั้งหน้าเขาจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว” เซี่ยหยู่เว่ยขอร้อง
ลู่หยางมองไปทางหญิงสาวพร้อมกับถอนหายใจ
“หากคุณยังคงเป็นแบบนี้ สักวันหนึ่งคุณจะรู้ผลถึงความอดทนของตัวเอง”
ลู่หยางจำได้ว่าในชาติก่อนสาเหตุที่หนานปิงสตูดิโอเติบโตได้อย่างเชื่องช้านั้นก็เพราะการก่อกวนของเจิ้งหยวน ซึ่งในภายหลังแม้กระทั่งเซี่ยหยู่เว่ยก็ยังทนพฤติกรรมของเจิ้งหยวนไม่ได้ และในเวลานั้นมันก็เป็นเวลาที่หนานปิงสตูดิโอเริ่มมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด
ท้ายที่สุดเซี่ยหยู่เว่ยก็ได้กลายเป็นราชินีกุหลาบผู้ปกครองเมืองถึงเก้าเมือง ซึ่งในเวลานั้นเจิ้งหยวนก็ขอร้องหญิงสาวให้รับเขากลับเข้ามาในหนานปิงสตูดิโออีกครั้ง เซี่ยหยู่เว่ยที่เกรงใจผู้ใหญ่จึงให้ชายคนนี้กลับมาและแต่งตั้งให้เขากลายเป็นผู้ปกครอง 1 ใน 9 เมือง
อย่างไรก็ตามด้วยความไร้สติของคุณชายเจ้าสำราญ เขาจึงหลงกลอุบายสาวงามและทำให้เซี่ยหยู่เว่ยสูญเสียเมืองไปถึง 7 จาก 9 เมือง ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้มันเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
“ช่างมันเถอะ! เอาล่ะทุกคนออกเดินทางกันต่อ” ลู่หยางกล่าว
ระหว่างทางพวกเขาสังหารนักรบกบฏไปเป็นจำนวนมาก ก่อนที่ลู่หยางจะพาทุกคนมาถึงห้องโถงรูปทรงกลมที่เพดานมีความสูงมากกว่า 6 เมตร ตัวห้องมีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 30 เมตรและตรงกลางห้องมีมอนสเตอร์รูปร่างคล้ายมนุษย์ถือค้อนขนาดใหญ่ซึ่งมันก็มีความสูงขึ้นไปเกือบ 3 เมตร
โอเกอร์คลิฟ (บอส)
เลเวล 8
พลังชีวิต 50,000/50,000
“ทำไมมันถึงตัวใหญ่กว่าในโหมดปกติขนาดนี้?” หลานอวี่อุทานด้วยความตกใจ
“ใหญ่กว่าขนาดนั้นเลยเหรอ?” ลู่หยางถาม
“ใช่สิ มนุษย์กินคนในโหมดปกติสูงแค่ 2 เมตรครึ่งแต่เจ้าตัวนี้มันสูงตั้ง 3 เมตร แล้วกล้ามเนื้อของมันก็ใหญ่กว่าในโหมดปกติเยอะเลย” หลานอวี่อธิบายพร้อมกับทำมือประกอบ
โอเกอร์คลิฟมีเขา 1 เขาอยู่กลางหน้าผาก ผิวหนังทั่วทั้งตัวของมันเป็นสีแดง กล้ามเนื้อทั้วทั้งร่างปูดโปนอย่างน่ากลัวทำให้พวกเซี่ยหยู่เว่ยสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาล
“อาจารย์ การปะทะกับเจ้าตัวนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ ๆ พลังป้องกันของผมอาจจะทนมันไม่ไหวก็ได้” ชิงเฟิงพูดอย่างไม่สบายใจ
ส่วนเราทนไม่ไหวกับเจิ้งหยวนและทุก ๆ คน ทำไมมันยังอยู่ในตี้!!!