บทที่ 42 ก่อนเข้าดันเจียน
บทที่ 42 ก่อนเข้าดันเจียน
เซี่ยหยู่เว่ยเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ขณะที่พวกจางจื่อโป๋ยืนนิ่งค้างกันเป็นแถว เมื่อได้พบว่าแท้ที่จริงชายตรงหน้าของพวกเขาคือลู่หยาง!
ลู่หยางคือใคร?
นี่คือผู้เล่นอันดับ 1 ในกระดานจัดอันดับผู้เชี่ยวชาญที่เก็บเลเวลมาจนถึงเลเวล 8 เป็นอันดับ 1 ของโลก เมื่อเทียบกับพวกเขาที่เพิ่งมีเลเวล 3 กว่า ๆ การยืนต่อหน้าของลู่หยางก็ไม่ต่างไปจากเด็กที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าของผู้ใหญ่
ช่วงแรกเลเวลคือปัจจัยสำคัญที่สามารถชี้ขาดได้ทุกอย่าง หากลู่หยางต้องการจะฆ่าพวกเขาจริง ๆ ชายหนุ่มคนนี้เพียงคนเดียวก็สามารถจัดการกับทีมของพวกเขาทั้ง 20 คนได้โดยไม่มีปัญหา
ท้ายที่สุดภายใต้การออกแบบของระบบ หากผู้เล่นเลเวล 3 ต้องการจะจู่โจมเข้าใส่ผู้เล่นเลเวล 8 มันก็มีโอกาสจะโจมตีพลาดสูงมาก ในขณะที่ลู่หยางสามารถสังหารพวกเขาได้โดยโจมตีใส่คนละที
เซี่ยหยู่เว่ยนึกย้อนไปถึงฉากที่เจิ้งหยวนทำให้ลู่หยางไม่พอใจหลายต่อหลายครั้ง เธอจึงเดินออกมาพร้อมกับโค้งตัวให้ชายหนุ่มด้วยความกังวล
“อาจารย์ลู่หยาง ฉันขอโทษทุกเรื่องในก่อนหน้านี้จริง ๆ หวังว่าคุณจะไม่ถือสาความผิดพลาดของพวกเรา”
มุมปากของลู่หยางยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มพร้อมกับแอบคิดภายในใจว่า “นี้แม้แต่ราชินีกุหลาบในชาติก่อนก็ยังต้องยอมมาก้มหัวให้กับเขา ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ยากจะเป็นไปได้ในชาติก่อนจริง ๆ”
“ไม่เป็นไร ฉันไม่ใช่คนชอบคิดมาก” ลู่หยางกล่าวขณะเหลือบสายตามองไปทางเจิ้งหยวน
“เอาเป็นว่าทางฝั่งฉันขอโทษอีกครั้ง” เซี่ยหยู่เว่ยกล่าวพร้อมกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“พอแล้ว พวกเรามาตั้งปาร์ตี้กันเถอะ” ลู่หยางกล่าวก่อนที่เขาจะตั้งปาร์ตี้ 20 คนขึ้นมาและประกาศบอกทุกคนว่า
“ฉันจะเชิญเข้าร่วมปาร์ตี้ทีละคน พวกคุณช่วยรายงานอาชีพกับค่าสถานะของตัวเองมาทีละคนด้วย”
หลังประกาศจบ ชายหนุ่มก็ทำการเลือกเซี่ยหยู่เว่ยเป็นคนแรก
“นักรบสายโจมตีเลเวล 3 พลังโจมตี 31 พลังชีวิต 144” เซี่ยหยู่เว่ยรายงาน ซึ่งค่าสถานะนี้เป็นค่าสถานะที่เธอพยายามเพิ่มขึ้นอย่างเต็มที่ แต่น่าเสียดายที่ในตอนนี้เธอยังไม่มีอุปกรณ์ดี ๆ ให้ใช้งาน
หลานอวี่ถูกเลือกมาเป็นคนที่ 2
“นักบวชเลเวล 3 พลังโจมตีเวท 29 พลังชีวิต 208” หลานอวี่รายงานและเนื่องมาจากว่าเธอมีไม้เท้าระดับเงินที่ลู่หยางให้มา มันจึงทำให้ค่าสถานะของเธอดูดีกว่าเซี่ยหยู่เว่ยพอสมควร
จางจื่อโป๋ถูกเลือกเป็นคนที่ 3
“นักรบสายแทงค์เลเวลสาม 3 ป้องกัน 73 พลังชีวิต 352” จางจื่อโป๋ตอบ
…
สมาชิกภายในทีมทั้ง 19 คนถูกคัดเลือกมาอย่างรวดเร็ว และเมื่อเหลือสมาชิกคนสุดท้ายลู่หยางก็หันไปถามเจิ้งหยวนว่า
“รายงานค่าสถานะ”
“นักเวทเลเวล 3 พลังโจมตีเวท 28 พลังชีวิต 112” เจิ้งหยวนตอบอย่างไม่สบอารมณ์
ลู่หยางเพิ่มเจิ้งหยวนเข้าสู่ปาร์ตี้พร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยคิ้วขมวดเล็กน้อย
“ค่าสถานะของพวกคุณยังไม่ค่อยดี นักรบไปซื้อหินลับดาบที่ร้านประมูลมาซะ มันจะช่วยเพิ่มพลังโจมตีทางกายภาพขึ้นมาอีกห้าหน่วย ส่วนนักเวทไปซื้อน้ำยาเพิ่มพลังโจมตีเวทมา มันจะช่วยเพิ่มพลังโจมตีเวทให้กับพวกคุณอีกห้าหน่วยด้วยเหมือนกัน”
สิ่งของพวกนี้ต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นผลผลิตจากผู้เล่นไลฟ์สไตล์ระดับต้น ๆ ด้วยกันทั้งนั้น พวกมันจึงมีขายในร้านประมูลอยู่เป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามสำหรับผู้เล่นเริ่มต้นอย่างพวกเขาแล้ว ราคาของไอเท็มพวกนี้ก็ถือว่าสิ้นเปลืองไปอยู่เล็กน้อย
หินลับดาบแต่ละชิ้นมีราคา 10 กว่าเหรียญทองแดง ส่วนน้ำยาเพิ่มพลังเวทมีราคาขวดละ 20 เหรียญทองแดง การที่สมาชิกภายในทีมทั้ง 19 คนต้องไปซื้อไอเท็มเหล่านี้มา มันก็ตีมูลค่ารวมกันเกินกว่า 2 เหรียญเงิน ซึ่งมันมีมูลค่าเทียบเท่ากับเงินทั้งหมดในกระเป๋าที่เซี่ยหยู่เว่ยได้เก็บไว้
“มันจำเป็นจะต้องใช้ของพวกนั้นจริง ๆ เหรอ?” เซี่ยหยู่เว่ยถาม
“จำเป็น ถ้าไม่ซื้อพวกเราก็ผ่านดันเจียนไม่ได้” ลู่หยางตอบพร้อมกับพยักหน้า
“โอเค ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปซื้อของกันเถอะ” เซี่ยหยู่เว่ยกัดฟันตอบพร้อมกับสั่งให้จางจื่อโป๋ไปที่ร้านประมูล
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังรอจางจื่อโป๋ซื้อของกลับมา เจิ้งหยวนก็เดินมาต่อหน้าลู่หยางแล้วถามว่า
“นายให้พวกเราไปซื้อของแล้วทำไมตัวนายถึงไม่ไปซื้อบ้าง?”
สมาชิกทุกคนภายในทีมต่างก็มองไปยังลู่หยางอย่างสงสัย เพราะพวกเขาก็อยากรู้ด้วยเหมือนกันว่าทำไมลู่หยางถึงไม่ไปซื้อน้ำยาเพิ่มพลังเวท
“หรือว่านายจะให้พวกเราซื้อมาเผื่องั้นเหรอท่านอาจารย์” เจิ้งหยวนล้อเลียน
เมื่อเสี่ยวเหลียงเห็นว่าเจิ้งหยวนกำลังหาเรื่องลู่หยาง เขาจึงยกโล่ขนาดใหญ่มาวางขวางหน้าลู่หยางและพูดกับเจิ้งหยวนว่า
“ลูกพี่ของผมไม่จำเป็นจะต้องใช้น้ำยาพวกนั้นหรอก ถ้าค่าพลังโจมตีเวทของเขาสูงไปกว่านี้ ผมคงไม่จำเป็นจะต้องทำหน้าที่เป็นตัวแทงค์แล้ว”
“อย่ามาเว่อร์!” เจิ้งหยวนพูดด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“อาจารย์ ตอนนี้พลังโจมตีเวทของคุณอยู่ที่เท่าไหร่งั้นเหรอ?” หลานอวี่ถามด้วยความสงสัย
“127” ลู่หยางตอบ
“...” ผู้เล่นในทีมของเซี่ยหยู่เว่ย
ความคิดของทุกคนแทบจะล่มสลายโดยเฉพาะเจิ้งหยวนที่กำลังตกตะลึงจนพูดไม่ออก
ตอนแรกเขารู้สึกว่าพลังโจมตีเวท 28 แต้มของตัวเองเป็นค่าพลังที่ค่อนข้างสูงมากแล้ว แต่พอเขาได้นำพลังโจมตีเวทของตัวเองไปเทียบกับลู่หยาง เขาได้พบว่าพลังโจมตีของตัวเองเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของอีกฝ่ายเท่านั้นเอง
“ทำไมพลังโจมตีเวทของคุณถึงสูงขนาดนั้น? นี่มันสูงกว่าพวกเรา 4-5 เท่าได้เลยนะ” หลานอวี่ถามด้วยความตกใจ
“นั่นก็เพราะฉันเป็นอาจารย์ยังไงล่ะ” ลู่หยางกล่าว
หลานอวี่ยื่นปากออกไปอย่างไม่พอใจ เพราะเธออยากฟังเรื่องที่ลู่หยางไปสังหารบอสและได้รับอุปกรณ์มาได้ยังไง ไม่ใช่คำตอบสั้น ๆ ที่ตอบกลับมาอย่างง่าย ๆ แบบนี้
ชิงเฟิงยกนิ้วให้ลู่หยางแล้วพูดว่า
“ไม่ผิดหวังจริง ๆ นักเวทภายในกิลด์ของเราไม่มีใครมีพลังโจมตีเวทถึงครึ่งหนึ่งของคุณเลย”
ลู่หยางยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
5 นาทีต่อมาจางจื่อโป๋ก็วิ่งกลับมาแล้วบอกทุกคนว่า
“ฉันซื้อของมาแล้ว มารับของกันไปได้เลย”
พอทุกคนกลับมายืนต่อหน้าลู่หยางอีกครั้ง สีหน้าของชายหนุ่มก็ดูเคร่งขรึมมากยิ่งขึ้น
“เอาล่ะนับแต่นี้เป็นต้นไปปาร์ตี้ของพวกเราจะเริ่มบุกดันเจียนอย่างเป็นทางการ ฉันลู่หยางคือหัวหน้าปาร์ตี้ของพวกคุณและฉันก็มีกฎอยู่ 2-3 ข้อ”
พวกเซี่ยหยู่เว่ยพยักหน้ารับพร้อมกับหันไปมองหน้าลู่หยาง
“กฎข้อแรก ในช่วงที่ฉันคุมทีมทุกคนจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของฉันอย่างเคร่งครัด ฉันสั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำ หากใครขัดคำสั่งอย่าโทษที่ฉันจะเตะออกจากปาร์ตี้ในทันที”
ทุกคนพยักหน้ารับเพราะกฎข้อนี้ถือว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผล
“กฎข้อที่ 2 หากการลงดันเจียนครั้งนี้ล้มเหลวเพราะคำสั่งของฉัน ฉันจะชดเชยเงินให้พวกคุณคนละ 1 เหรียญเงิน แต่ถ้าหากการลงดันเจียนผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เงื่อนไขก็จะเป็นไปอย่างที่ฉันได้คุยกับเซี่ยหยู่เว่ยเอาไว้ คือฉันมีสิทธิ์เลือกอุปกรณ์นักเวทก่อน ส่วนไอเท็มที่ได้รับจากบอสก็จะเป็นของฉันด้วยเหมือนกัน พวกคุณไม่ได้มีปัญหาอะไรใช่ไหม?”
ในตอนที่ลู่หยางพูดสายตาของเขาก็จับจ้องมองไปยังทุกคนราวกับเหยี่ยวที่กำลังมองหาเหยื่อ แล้วมันก็ทำให้เจิ้งหยวนไม่กล้าที่จะสบตากับเขาด้วยซ้ำ
“ไม่ต้องห่วง พวกเราจะยึดในคำมั่นสัญญา” เซี่ยหยู่เว่ยพูดเป็นตัวแทนคนอื่น ๆ ก่อนที่เธอจะหันไปบอกทางพวกเจิ้งหยวนว่า
“นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป สิ่งที่ลู่หยางพูดเปรียบเสมือนกับสิ่งที่ฉันพูด หากใครไม่ทำตามหรือคิดจะมาก่อกวน คนคนนั้นก็จะไม่มีที่ยืนภายในทีมของพวกเราอีก”
ทุกคนต่างก็เงียบกริบโดยไม่กล้าที่จะตั้งคำถาม เพราะคำสั่งของเซี่ยหยู่เว่ยถือว่าเป็นคำสั่งเด็ดขาดสำหรับพวกเขา
พวกจางจื่อโป๋และเพื่อน ๆ รู้ดีว่าเซี่ยหยู่เว่ยเป็นคนที่รักษาสัญญาขนาดไหน ขณะที่พวกทหารรับจ้างก็ไม่อยากจะถูกยกเลิกสัญญาด้วยเหมือนกัน
ตลอดช่วงเวลานี้มีเพียงเจิ้งหยวนที่ทำหน้าไม่พอใจและดูเหมือนจะเปิดปากเพื่อพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเขาได้เห็นสายตาอันเฉียบคมของเซี่ยหยู่เว่ย คุณชายเจ้าสำราญก็ทำได้เพียงแต่กลืนคำพูดของตัวเองลงไป
ชิงเฟิงที่เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างหัวเราะขึ้นมาอย่างเย็นชา ก่อนที่จะหันไปพูดกับลู่หยางว่า
“อาจารย์สบายใจได้เลยพอเข้าดันเจียนผมจะเชื่อฟังคำสั่งของคุณทุกอย่าง ถ้าหากว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นมาผมจะคอยอยู่เคียงข้างเพื่อปกป้องคุณเอง”
ชิงเฟิงรู้ดีว่าลู่หยางย่อมเข้าใจความนัยที่เขาต้องการจะสื่อ แล้วเขาเพิ่งจะรายงานเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างลู่หยางกับเฮ่ยเจียให้ฉือมู่ทราบ และเขาก็ได้รับคำสั่งมาว่าให้คอยช่วยเหลือลู่หยางอย่างเต็มที่
“ขอบคุณมากสหาย” ลู่หยางกล่าวด้วยรอยยิ้มพร้อมกับตบไหล่ของชิงเฟิงเบา ๆ
ดูแล้วยังไง ๆ เจิ้งหยวนก็ไม่น่าสงบปากสงบคำได้ ว่างั้นไหม?