บทที่ 40 ห้องเรียนของเราจะต้องได้ที่หนึ่ง
บทที่ 40 ห้องเรียนของเราจะต้องได้ที่หนึ่ง
“อาจารย์ใหญ่เลอ เอาจริงนะครับ ส่งผมไปที่คณะกรรมการสอบสวนเถอะ ผมยอมรับการลงโทษทุกอย่าง ผมจะไม่บ่นแม้แต่คำเดียว!!!”
ที่ห้องทำงานของเลอวั่นอี้ เย่เหรินเดินไปเดินมา เขากำลังพยายามเกลี้ยกล่อมเลอวั่นอี้
เลอวั่นอี้โบกมือ เธอมองเย่เหรินพร้อมกับรอยยิ้ม
“ไม่ๆๆ ครูเย่ เรื่องนี้มันชัดเจนมาก การลงโทษของฉันยุติธรรมมาก ฉันไม่มีทางส่งนายไปที่คณะกรรมการสอบสวนแน่!!!!”
“แต่...แต่ผมทำร้ายครู แถมยังทำร้ายเขาจนได้รับบาดเจ็บสาหัส!!!”
เย่เหรินกลัวว่าเลอวั่นอี้จะไม่เชื่อ เขาจึงพูดต่อ
“ผมหักข้อศอกของฮั่นฉุน ทำให้ไหล่ขวาของเขาหลุด แถมยังทำให้เขากระทบกระเทือนทางสมอง การโจมตีครั้งสุดท้ายยังทำให้กระดูกซี่โครงของเขาหักอีก 5-6 ซี่!! อาจารย์ใหญ่เลอ การกระทำของผมมันช่างเลวร้าย!!!”
เย่เหรินพูดกับเลอวั่นอี้
“อาจารย์ใหญ่เลอ ผมอายจริงๆ ที่ทำเรื่องแบบนี้ลงไป!!!”
“เพื่อรักษาความยุติธรรมแล้ว อาจารย์ใหญ่เลอ ผมขอร้องเถอะ ได้โปรดส่งผมไปที่คณะกรรมการสอบสวนเถอะครับ!!!”
เลอวั่นอี้ที่ได้ยินเย่เหรินพูดแบบนั้น เธอก็ยังคงยิ้มออกมา เธอยังคงไม่เปลี่ยนใจ
“ไม่ๆๆ ครูเย่ ถึงแม้ว่านายจะทำร้ายคนอื่นก็จริง แต่นั่นก็เป็นเพราะนายรักลูกศิษย์ ในฐานะอาจารย์ใหญ่ ฉันต้องพิจารณาเรื่องนี้ด้วย ดังนั้นฉันคิดว่าการลงโทษของฉันไม่มีปัญหาอะไร ครูเย่ แค่หักคะแนนการประเมินผลปลายภาคก็พอแล้ว ไม่เห็นต้องไปถึงคณะกรรมการสอบสวนเลย!!!”
เย่เหรินร้อนใจมากขึ้น
หวังเสี่ยวหม่านที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นทั้งสองคน เธอก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
เหลือเชื่อจริงๆ...
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของเธอ ที่เธอเห็นครูพยายามจะรับโทษ และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอเห็นอาจารย์ใหญ่พยายามไม่ให้ครูถูกลงโทษ...
“อาจารย์ใหญ่เลอ คุณไม่กลัวเหรอครับว่าการตัดสินใจของคุณจะส่งผลกระทบต่อการทำงานในอนาคต? นักเรียนคนอื่นๆ จะมองคุณยังไง? แล้วครูคนอื่นๆ จะมองคุณยังไง?!” เย่เหรินพูดอย่างกระตือรือร้น
“ไม่ต้องกลัวหรอก” เลอวั่นอี้พูดด้วยรอยยิ้ม เธอยังคงไม่เปลี่ยนใจ
เธอไม่รู้ว่าทำไม เธอเห็นเย่เหรินร้อนใจแบบนี้ เธอกลับรู้สึกมีความสุข
หึ ใครใช้ให้นายไม่เชื่อฟังฉันกันล่ะ~~
เย่เหรินเห็นว่าเขาไม่สามารถเปลี่ยนใจเลอวั่นอี้ได้ เขาจึงยอมแพ้
เขานั่งลงบนโซฟา
“ถ้าอย่างนั้นผมก็ไม่สนแล้ว คุณจะหักคะแนนผมเท่าไหร่ก็ได้ แต่จะต้องไม่หักคะแนนการประเมินผลของชั้นเรียน!!”
เลอวั่นอี้เห็นเย่เหรินหยุดพูด เธอก็เงยหน้าขึ้น บอกให้หวังเสี่ยวหม่านไปเอาน้ำชาที่ชงไว้นานแล้วมาให้ ก่อนที่เธอจะพูดอย่างช้าๆ
“ฉันเข้าใจความรู้สึกของนาย และฉันก็รู้ว่านายกำลังคิดอะไรอยู่ การสอบปลายภาคใกล้จะถึงแล้ว ชั้นเรียนของนายยังคงอยู่อันดับสุดท้าย ทุกคะแนนล้วนมีค่า”
เย่เหรินจิบชา เขามองเลอวั่นอี้
“รู้อยู่แล้วก็ยังจะทำแบบนี้อีก นี่คุณกำลังกลั่นแกล้งห้อง 2 ของพวกเราอยู่รึเปล่าเนี่ย?”
“ใจเย็นๆ ก่อนสิ ฟังฉันอธิบายก่อน” เลอวั่นอี้พูดอย่างใจเย็น “หลังจากที่พวกเราทะเลาะกันที่ไนต์คลับ ฉันก็คิดคำนวณคะแนนของชั้นเรียนนายอย่างละเอียด”
“จากคะแนนในปัจจุบันของชั้นเรียนนายแล้ว ในการประเมินผลขั้นสุดท้าย ถ้าหากชั้นเรียนของนายได้ที่หนึ่งในการต่อสู้แบบเดี่ยว และติด 8 อันดับแรกในการต่อสู้แบบทีม พวกนายก็จะสามารถก้าวไปสู่ระดับกลางได้”
“วันนี้ฉันได้เห็นหวังดาชุน ฉันรู้สึกว่าความแข็งแกร่งของเขาพัฒนาขึ้นมาก ถ้าหากมีเจียงเสี่ยวหรูช่วยอีกแรง ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้แบบเดี่ยวหรือแบบทีม ก็น่าจะได้คะแนนตามที่กำหนดได้”
“ถึงแม้ว่าตอนนี้คะแนนของพวกนายจะถูกหักไปบ้างก็ตาม แต่ด้วยผลลัพธ์พวกนี้ พวกนายจะต้องผ่านการประเมินได้ ไม่ต้องกังวลไปหรอก พวกนายจะไม่ถูกไล่ออกแน่”
เย่เหรินได้ยินคำพูดของเลอวั่นอี้ เขาวางถ้วยชาลงก่อนจะส่ายหัว
“ไม่ได้หรอกครับ อาจารย์ใหญ่เลอ แบบนั้นมันยังไม่พอ”
เลอวั่นอี้มองเย่เหรินอย่างสับสน “ทำไมจะไม่พอล่ะ? ฉันคำนวณมาอย่างดีแล้ว”
เย่เหรินมองเลอวั่นอี้ เขาพูดอย่างจริงจัง
“ถ้าหากพวกเราแค่ต้องการผ่านไปแบบธรรมดาๆ คะแนนแค่นี้ก็คงจะเพียงพอแล้ว แต่ชั้นเรียนของเราอยากจะได้ที่หนึ่ง! เดิมทีคะแนนของเราก็น้อยนิดอยู่แล้ว ถ้าหากถูกหักไปอีก มันคไม่มีโอกาสได้ที่หนึ่งแน่ๆ”
“พรวด!”
เลอวั่นอี้ที่ได้ยินแบบนั้น เธอถึงกับพ่นน้ำชาออกมา
“นาย...นายพูดว่าอะไรนะ? ได้ที่หนึ่ง?”
“มีปัญหาอะไรรึเปล่า อาจารย์ใหญ่เลอ???”
เลอวั่นอี้เบิกตากว้าง เธอมองเย่เหริน
“นี่นายแน่ใจเหรอ?”
“แน่ใจสิครับ ผมมั่นใจมาก ชั้นเรียนของเราต้องได้ที่หนึ่งแน่ๆ ดังนั้นอาจารย์ใหญ่เลออย่าหักคะแนนพวกเราเลยนะครับ”
เลอวั่นอี้เห็นเย่เหรินมั่นใจแบบนี้ เธอก็ลูบขมับของตัวเอง
ฉันกำลังฝันไปรึเปล่า? หรือว่าเย่เหรินกำลังเสียสติไปแล้ว?
เลอวั่นอี้อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา
“เย่เหริน นายรู้รึเปล่าว่าในชั้นปีหนึ่งน่ะ มีอัจฉริยะอยู่มากมายแคืไหน?”
เลอวั่นอี้เริ่มอธิบาย
“นายก็คงจะเคยเห็นนักเรียนสี่คนในชั้นเรียนของฮั่นฉุนแล้ว นอกจากนั้น ในชั้นปีหนึ่งยังมีผู้ปลุกพลังระดับ A อีกสามคน และเด็กๆ จากตระกูลใหญ่อีกห้าคน ยังไม่รวมสองคนจากตระกูลหยู เกือบทุกคนต่างก็มีพลังระดับทองขั้นปลาย”
เย่เหรินฟังคำพูดของเลอวั่นอี้ เขาพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ “ผมรู้ครับ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมกัน?”
“พวกเขาทั้งหมดคือคู่แข่งของนาย ถ้าหากนายอยากจะได้ที่หนึ่งในการประเมินผลขั้นสุดท้าย ชั้นเรียนของนายจะต้องไม่แพ้ใคร”
“งั้นก็แค่เอาชนะพวกเขาทั้งหมดก็สิ้นเรื่อง”
คำพูดของเย่เหรินทำให้เลอวั่นอี้พูดไม่ออก
เธอไม่รู้ว่าเย่เหรินมั่นใจมาจากไหน
จะพึ่งแค่เจียงเสี่ยวหรูคนเดียวน่ะเหรอ?
เลอวั่นอี้มีสีหน้าที่ซับซ้อน แต่สุดท้ายเธอก็พูดออกมา
“ฉันจะบอกอะไรให้นายรู้อีกอย่าง ในชั้นปีหนึ่งของพวกเรามีนักเรียนที่มีพรสวรรค์เทียบเท่ากับจางเหอตง ถึงแม้ว่าเจียงเสี่ยวหรูจะสามารถเอาชนะนักเรียนคนอื่นๆ ได้ แต่ถ้าหากเจอกับคนคนนั้นล่ะ? นายยังจะมั่นใจอยู่รึเปล่า?”
“จางเหอตงคนที่สองงั้นเหรอ?” ถึงแม้ว่าเย่เหรินจะไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน แต่เขาก็พอจะคาดเดาพลังออก
เย่เหรินเริ่มจริงจังขึ้นมา
เขาไม่แน่ใจว่าเจียงเสี่ยวหรูจะสามารถรับมือกับจางเหอตงได้
เวลาในการฝึกฝนของเจียงเสี่ยวหรูมีไม่มาก การพัฒนาของเธอก็มีจำกัด
“จางเหอตงคนที่สองอยู่ชั้นเรียนไหนเหรอครับ?” เย่เหรินถามอย่างจริงจัง
เลอวั่นอี้เหลือบมองเย่เหริน
“ถ้านายรู้ว่าเขาอยู่ห้องไหน ฉันก็คงจะไม่เรียกเขาว่าจางเหอตงคนที่สองหรอก...”
เลอวั่นอี้หยิบเอารูปถ่ายออกมาจากลิ้นชัก
“นายเป็นครู นายน่าจะรู้นะว่าร่องรอยในรูปถ่ายนี้มันหมายถึงอะไร? นี่มันอัจฉริยะที่หาตัวจับยากชัดๆ”
เย่เหรินรับรูปถ่ายมา เขานิ่งเงียบไปนาน
เขารู้จักรอยแตกบนหุ่นยนต์ทดสอบในรูปเป็นอย่างดี