ตอนที่แล้วบทที่ 33 การดำเนินการระดับมหาเทพ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 35 บีเซล ราชาก็อบลินในอนาคต

บทที่ 34 ปรับปรุงคาถา


บทที่ 34 ปรับปรุงคาถา

ลู่หยางกำหมัดแน่นอย่างตื่นเต้น เพราะในบรรดาไอเท็มทั้งสามชิ้นที่เอาไว้สำหรับการอัปเกรดหัวใจแห่งเทพอสูรจากเลเวล 0 เป็นเลเวล 1 ตราประทับเทพอสูรก็ถือได้ว่าเป็นไอเท็มที่หาได้ยากมากที่สุด ในตอนนี้ขอแค่เขาได้รับไอเท็มเพิ่มเติมมาอีกสองชิ้น หัวใจแห่งเทพอสูรก็จะยกระดับขึ้นเป็นเลเวล 1 ได้แล้ว

ลู่หยางรู้ดีว่าหัวใจแห่งเทพอสูรที่ได้รับการอัปเกรดเป็นสิ่งที่ทรงพลังมากแค่ไหน เพราะนอกเหนือจากค่าสถานะจะดีขึ้นกว่าเดิมเป็น 10 เท่า มันยังจะช่วยให้เขาเรียนรู้สกิลกึ่งต้องห้ามอย่างสกิลเมเทโอฟอลล์ได้อีกด้วย

ชายหนุ่มค่อย ๆ เก็บตราประทับเทพอสูรใส่กระเป๋า จากนั้นเขาก็มองไปยังไอเท็มต่าง ๆ ที่ตกอยู่บนพื้น

นอกเหนือจากตราประทับเทพอสูรแล้วมันยังมีหนังสือสกิลดรอปลงมา 1 เล่ม, อุปกรณ์ดรอปลงมา 1 ชิ้นและน้ำยาฟื้นฟูแบบฉับพลันอีกจำนวนหนึ่ง

ลู่หย่างทำการหยิบหนังสือสกิลขึ้นมาตรวจสอบเป็นอย่างแรก

ระบบ: คุณได้รับหนังสือสกิลเบลซซิงไลท์

“ไม่น่าเชื่อเลยว่าฉันจะได้หนังสือสกิลเล่มนี้มา” ลู่หยางพึมพำขึ้นมาเบา ๆ

หากจะถามว่าในบรรดาหนังสือสกิลช่วงเริ่มต้นทั้งหมด หนังสือสกิลเล่มไหนคือหนังสือสกิลเล่มที่แปลกที่สุด เหล่าบรรดานักเวทย่อมจะต้องนึกถึงหนังสือสกิลเบลซซิงไลท์เป็นอันดับแรกอย่างแน่นอน และถึงแม้ว่าชื่อของมันจะฟังดูเท่มาก รวมถึงคำอธิบายยังฟังดูมีประสิทธิภาพ แต่รูปแบบการใช้สกิลกลับแปลกประหลาดอย่างไม่น่าเชื่อ

ความแปลกประหลาดของสกิลนี้นั่นก็คือหากจะนับว่ามันคือสกิลโจมตีเดี่ยวแต่มันกลับจู่โจมไปด้านหน้าได้ถึง 3 เมตร หากจะบอกว่ามันเป็นสกิลหมู่แต่ระยะของมันก็มีเพียงแค่ 3 เมตรเท่านั้นเอง

ในกรณีผู้เล่นเข้าร่วมปาร์ตี้เพื่อจัดการกับมอนสเตอร์ พวกเขาก็ไม่มีโอกาสได้ใช้สกิลเบลซซิงไลท์ออกมาด้วยซ้ำ เพราะด้านหน้ามักจะมีนักรบยืนชนกับมอนสเตอร์อยู่ หากนักเวทต้องการจะใช้สกิลนี้ออกมาจริง ๆ มันก็หมายความว่าพวกเขาต้องกระโดดไปยืนตรงหน้านักรบเพื่อไม่ให้เวทมนตร์ตกกระทบเข้าใส่สหายของตัวเอง

ดังนั้นช่วงเวลาแรกสกิลนี้จึงกลายเป็นเพียงสกิลขยะและราคาขายหนังสือสกิลก็เฉลี่ยไม่ถึง 10 เหรียญทองแดงด้วยซ้ำ

ต่อมาเมื่อผู้เล่นเริ่มเรียนรู้วิธีการย่อคาถา พวกเขาก็เริ่มทำวิจัยหลักการใช้เวทมนตร์ต่าง ๆ ซึ่งในที่สุดสกิลเบลซซิงไลท์ก็ถูกนำมาวิจัยในกรณีนี้ด้วย

ในที่สุดนักเวทไฟก็ได้ค้นพบว่าเบลซซิงไลท์เป็นสกิลที่สามารถชาร์จพลังได้นานถึง 10 วินาที และหากพวกเขาทำการปลดปล่อยเปลวไฟหลังจากชาร์จพลัง สกิลนี้ก็จะสามารถสร้างความเสียหายเป็นวงกว้างยาวถึง 15 เมตรและมีความกว้างถึง 3 เมตร

นอกจากนี้การชาร์จพลังยังจะทำให้เบลซซิงไลท์สามารถสร้างความเสียหายได้ถึง 4 เท่าจากการโจมตีโดยวิธีปกติ และถึงแม้ว่ามันจะนำมาเป็นสกิลหลักไม่ได้ แต่ช่วงเวลาพิเศษบางจังหวะพลังของมันกลับสร้างผลลัพธ์ได้อย่างเหนือความคาดหมาย

หลังจากทำการเรียนรู้สกิลเบลซซิงไลท์ ภายในหน้าต่างสกิลของลู่หยางก็มีไอคอนรูปไฟพวยพุ่งปรากฏขึ้นมา

อุปกรณ์ที่ดรอปลงมาบนพื้นคืออุปกรณ์ระดับเงินสำหรับนักรบเลเวล 10 ซึ่งถ้าหากว่าเขานำมันไปขายมันคงจะมีราคาดีอยู่ไม่น้อย

ลู่หยางเก็บอุปกรณ์ลงกระเป๋าและทำการเก็บน้ำยาขึ้นมา โดยพวกมันมีน้ำยาฟื้นฟูพลังชีวิต 3 ขวดและน้ำยาฟื้นฟูมานาอีกสองขวด

หลังจากมองไปรอบ ๆ และไม่เห็นไอเท็มอื่นแล้ว ชายหนุ่มจึงหยิบคัมภีร์ย้อนกลับเพื่อเตรียมตัวกลับเมือง แต่ในทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังออกมาจากบ้านของวอลกิน

“ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยด้วย ฉันกำลังจะถูกเผาแล้ว!!”

ลู่หยางเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง เพราะนี่คือภาษาของเผ่าก็อบลิน และถึงแม้ในชาตินี้เขาจะเป็นมนุษย์ที่ยังไม่ได้ศึกษาภาษาของก็อบลินมาก่อน แต่ในชาติก่อนเขาก็เคยเรียนรู้ภาษาของเผ่าพันธุ์นี้มาจนทำให้สามารถสื่อสารได้อย่างไม่มีปัญหาเลย

ดวงตาของชายหนุ่มจับจ้องมองไปยังอาคารหลังสีแดง ซึ่งในระหว่างการต่อสู้ลูกไฟของวอลกินก็ตกกระทบกับผนังบ้านหลังนี้หลายครั้งจนทำให้ในตอนนี้มันได้มีเปลวไฟกำลังลุกอย่างโชติช่วง

“แปลก? ทำไมมันถึงมีก็อบลินอยู่ที่นี่ลู่หยางพึมพำยังไม่เข้าใจ

ในชาติก่อนตอนที่เขามาที่นี่เขาก็มีเลเวลเกินกว่า 100 แล้ว ตอนนั้นมันมีเฉพาะวอลกินตัวเดียวเท่านั้น เมื่อจู่ ๆ ชายหนุ่มได้พบกับก็อบลินปริศนา ลู่หยางจึงตัดสินใจว่าจะช่วยเหลืออีกฝ่ายเอาไว้ให้ได้

ก็อบลินในเกมเซคคัลเวิลด์เป็นสัญลักษณ์ของความโลภ เผ่าพันธุ์นี้เรียกตัวเองว่าเจ้าแห่งการค้าและพวกเขาก็กระจัดกระจายไปค้าขายยังทั่วทั้งโลก

หากผู้เล่นสามารถผูกมิตรกับก็อบลินได้สำเร็จ ก็อบลินเหล่านี้ก็จะสอนเทคโนโลยีให้กับผู้เล่นเป็นการตอบแทน และก็อบลินระดับสูงบางตัวยังสามารถออกภารกิจพิเศษให้กับผู้เล่นได้อีกด้วย ซึ่งภารกิจเหล่านี้ต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นภารกิจที่ได้รับของรางวัลอันล้ำค่า

ในชาติก่อนกิลด์เอเวอร์กรีนสกายผงาดขึ้นมาเป็นกิลด์ชั้น 3 ของประเทศจีนได้สำเร็จ นั้นก็เพราะหัวหน้ากิลด์ของพวกเขาได้รับมิตรภาพที่ดีจากเจ้าชายก็อบลินคนหนึ่ง สมาชิกภายในเกมนี้จึงสามารถสร้างปืนพก, ปืนใหญ่, รองเท้าจรวดและอุปกรณ์ชนิดพิเศษอื่น ๆ จากเผ่าก็อบลินออกมาวางขายเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน

อย่างไรก็ตามการผูกมิตรกับเผ่าก็อบลินก็เป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก และสำนวนติดปากของเผ่าพันธุ์ตัวน้อยเหล่านี้นั้นคือ

อย่ามาดูถูกฉันนะ!

นอกจากนี้พวกก็อบลินยังเป็นพวกขี้แกล้งอีกด้วย ซึ่งในชาติก่อนมีผู้เล่นคนหนึ่งอยากจะผูกมิตรกับเผ่าก็อบลิน เขาจึงให้เงินจำนวน 1 เหรียญทองเป็นของขวัญ ซึ่งก็อบลินก็ได้รับของขวัญไปด้วยท่าทางอันดีใจและให้กล่องของรางวัลมาเป็นการตอบแทน

อย่างไรก็ตามเมื่อผู้เล่นได้เปิดกล่องของรางวัลนั้นดู ด้านในกลับเป็นระเบิดที่ทำให้ผู้เล่นเสียชีวิตในทันที ซึ่งนอกเหนือจากแถบค่าประสบการณ์ของเขาที่หายไปถึง 10% แล้วอุปกรณ์บนตัวและไอเท็มในกระเป๋าของเขายังหล่นลงมากระจายเต็มพื้นอีกด้วย

ในชาติก่อนลู่หยางเคยพยายามตีสนิทก็อบลินมาโดยตลอด แต่เขาก็ยังไม่สามารถหาโอกาสอันเหมาะสมได้ เมื่อครั้งนี้มันได้มีโอกาสอยู่ตรงหน้าแล้วชายหนุ่มจะพลาดโอกาสตีสนิทกับสหายตัวน้อยพวกนี้ไปได้ยังไง

ลู่หยางรีบวิ่งเข้าไปในบ้านของวอลกินในทันที ซึ่งในที่สุดเขาก็ได้พบกับก็อบลินตัวหนึ่งที่ถูกมัดเอาไว้กับเสาไม้กลางห้องโถง

ก็อบลินด้านหน้าสูงประมาณ 1 เมตร เนื้อตัวเปลือยเปล่า แล้วเมื่อดูจากรูปร่างแล้วอีกฝ่ายก็ยังค่อนข้างที่จะหนุ่มแน่น

“ช่วยฉันด้วย! ฉันยินดีจะให้เงิน 1 เหรียญทองเป็นของตอบแทน” ก็อบลินอ้อนวอนด้วยน้ำตาที่ไหลพราก

“ไม่ต้องให้เงินฉันหรอก การช่วยคุณมันไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไร” ลู่หยางกล่าวพร้อมกับรีบเข้าไปแก้เชือกให้ก็อบลินหนุ่มในทันที

เชือกนี้ถูกมัดเอาไว้อย่างแน่นหนา ลู่หยางจึงจำเป็นจะต้องใช้แรงมากพอสมควรกว่าที่เขาจะแก้เชือกได้ทีละเงื่อน

“รีบหน่อยได้ไหม?! บ้านกำลังจะพังลงมาแล้ว” ก็อบลินร้องตะโกนด้วยความหวาดกลัว

ตอนนี้เปลวไฟลุกไหม้ไปจนถึงหลังคาแล้ว ทั่วทั้งห้องจึงเต็มไปด้วยควันดำและทำให้ก็อบลินตกใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ลู่หยางก็อยากจะรีบอยู่เหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่ค่าสถานะของเขาแทบจะไม่มีความแข็งแกร่งเลย หากในตอนนี้ผู้ที่มาแก้เชือกเป็นนักรบพวกเขาก็คงจะใช้แรงกระชากเชือกให้ขาดได้ในทีเดียว

ในที่สุดชายหนุ่มก็นึกสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้ เพราะเมื่อนักรบสามารถใช้แรงกระชากเชือกให้ขาดได้แล้วทำไมเขาจะใช้ไฟเผาเชือกให้ขาดไม่ได้ล่ะ

เบลซซิงเบิร์ส!

ปัง!

เชือกขาดกระจุยจากแรงระเบิดในทันที ขณะเดียวกันคานไม้ที่ค้ำหลังคาก็เริ่มหักลงมาจนทำให้ก็อบลินหนุ่มตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

ในระหว่างที่คานทางด้านบนกำลังจะหล่นลงมาทับคนด้านล่างจนตายอยู่นั่นเอง ลู่หยางก็ได้ใช้แรงดึงร่างก็อบลินออกจากเขตอันตราย ก่อนที่จะโยนร่างของก็อบลินหนุ่มออกไปและกระโดดหลบคานที่กำลังร่วงลงมาด้วยเช่นกัน

“มัวนิ่งอยู่ทำไม? รีบวิ่งเร็วเข้า บ้านกำลังจะพังลงมาแล้ว!” ลู่หยางตะโกนพร้อมกับคว้าตัวก็อบลินและวิ่งออกไปทางประตูหน้า

ตอนแรกก็อบลินตกใจจนไม่มีสติ แต่พอเขาได้ยินเสียงลู่หยางเขาจึงรีบกระเสือกกระสนออกไปจากบ้านที่เต็มไปด้วยเปลวไฟ

เมื่อทั้งสองวิ่งออกพ้นไปจากประตู เสาคานบ้านก็ไม่สามารถทนรับความเสียหายได้อีกต่อไปจนทำให้บ้านทั้งหลังถล่มลงมาโดยสิ้นเชิง

ตูม!

นึกว่าจะโดนทับตายทั้งคู่ซะแล้ว นี่สินะพระเอกของเรา เป็นคนดี, มีน้ำใจและไม่หวังสิ่งตอบแทน 555

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด