บทที่ 29 พลังรวม
บทที่ 29 พลังรวม
ฟางจือสิงย้อนถามกลับว่า “ถ้าไม่ฝึกวรยุทธ์ ยังมีวิธีอื่นที่จะทำให้คนกลายเป็นยอดฝีมือได้ไหม?”
เถ้าแก่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วหัวเราะเบาๆ “คงไม่มีวิธีอื่นหรอก”
ฟางจือสิงยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนถามต่อว่า “ถ้าข้าอยากเป็นข้าราชการ ควรทำอย่างไร?”
“หา? เป็นข้าราชการ?”
เถ้าแก่หลุดหัวเราะออกมา แล้วมองฟางจือสิงราวกับเขาเป็นคนโง่
“ฮ่าๆ มีแต่คนจากตระกูลขุนนางเท่านั้นที่จะเป็นข้าราชการได้ เจ้าเป็นหรือไง?”
ตระกูลขุนนาง!!
ตระกูลที่รับราชการต่อเนื่องกันมาหลายรุ่น หรือที่เรียกว่าตระกูลชั้นสูงหรือคหบดี ผู้มีอำนาจเกรียงไกรในสังคม!
ฟางจือสิงเข้าใจทันที โลกนี้มีการแบ่งชนชั้นอย่างเข้มงวด คนธรรมดาไม่มีทางได้เป็นข้าราชการ
เกิดเป็นชาวไพร่ ก็ตายไปเช่นมดปลวก!
ส่วนตระกูลขุนนาง ก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ และ ดวงดาวที่อยู่สูงลิบลิ่ว คอยควบคุมทุกสิ่ง!
หลังจากนั้นไม่นาน…
ฟางจือสิงออกจากโรงน้ำชา มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก เดินเลาะเลี้ยวไปเรื่อยๆ
ทันใดนั้น เขามองเห็นต้นกล้วยต้นหนึ่ง กิ่งก้านใหญ่โต ใบไม้กว้างใหญ่ พุ่มใบชูขึ้นสู่ท้องฟ้า ราวกับนกที่กำลังสยายปีกขึ้นบิน สง่างาม และ ทรงพลัง
เขาเดินเข้าไปใกล้ เห็นกำแพงสีขาว
ถัดจากนั้น เขาเห็นประตูไม้ทาสีแดงสด ที่มีสิงโตหินคู่หนึ่งตั้งตระหง่านอยู่หน้าประตู ดูน่าเกรงขาม
ประตูนั้นปิดสนิท
“เฮ่!”
“ฮ่า!”
ฟางจือสิงได้ยินเสียงร้องจากในลานบ้าน เขาจึงเดินไปที่ประตู และ แอบมองผ่านช่องว่างเข้าไป
ในลานมีพื้นที่ทรายกว้างขวางเรียงรายไปด้วยเสาต่อสู้จากไม้
เขาเห็นชายหนุ่มห้าคนที่กำลังถอดเสื้อ ก้มหน้าก้มตาทำท่าดันพื้น เหงื่อไหลท่วมตัว
ฟางจือสิงรู้ในทันทีว่าเขามาถูกที่แล้ว
เขาเคาะประตูสองครั้ง
ไม่นานนัก ประตูก็เปิดออก มีชายหนุ่มคนหนึ่งศีรษะชุ่มเหงื่อยื่นหน้าออกมา เขามองฟางจือสิงด้วยสายตาแข็งกร้าวแล้วพูดขึ้นเสียงดัง
“ไอ้ขอทาน เจ้ามาทำอะไรที่นี่ รีบไปซะ ที่นี่ไม่มีข้าวเหลือให้เจ้า!”
ฟางจือสิงจ้องกลับด้วยสายตาดุดันแล้วกล่าวเสียงทุ้ม “ข้าไม่ใช่ขอทาน ข้ามาหาท่านเจิ้งยอดฝีมือ”
ชายหนุ่มผู้นั้นสะดุ้งเมื่อเห็นสายตาของฟางจือสิง ก่อนจะรีบพูดขึ้น “เจ้า…รออยู่ตรงนี้”
จากนั้นเขาก็วิ่งกลับเข้าไปข้างใน
ไม่นานนัก ชายหนุ่มก็กลับมาเปิดประตูแล้วเรียกว่า “เข้ามาได้เลย อาจารย์อยากพบเจ้า”
ฟางจือสิงก้าวเข้าประตูมา และ ทันทีที่เงยหน้า เขาเห็นชายร่างสูง ผมยาว มีสีขาวแซมสองข้าง หน้าตอบแสดงอายุ และ ความเหนื่อยล้า แถมยังถือขวดน้ำเต้าไว้ในมือ
“ดูเหมือนเขาจะป่วยนะ”
เสี่ยวโก่วได้กลิ่นยาเข้มข้นลอยมาจากตัวชายผู้นั้น
ฟางจือสิงเองก็ได้กลิ่นเช่นกัน เขามองเจิ้งเถียนเอินอย่างละเอียด พบว่าอีกฝ่ายหายใจหอบหนัก ใบหน้าขาวซีด รูปร่างผอมบาง ดูอ่อนแอจนแทบไม่เหมือนนักสู้ที่เก่งกาจ
ฟางจือสิงเดินเข้าไปข้างหน้า ยกมือคำนับ และ กล่าวว่า “ข้าฟางจือสิง ขอคารวะท่านเจิ้งยอดฝีมือ”
เจิ้งเถียนเอินมองฟางจือสิงแวบหนึ่ง เตรียมจะพูด แต่จู่ๆ ก็ยกมือขึ้นปิดปาก
“แค่กๆ แค่กๆๆ!”
หลังจากไออย่างหนัก ใบหน้าของเขาเริ่มมีสีเลือดฝาดขึ้นเล็กน้อย พอสงบลงจึงถามว่า
“เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องใด?”
ฟางจือสิงเงียบไปเล็กน้อยก่อนจะกล่าวอย่างจริงจัง
“ข้ามีข้อสงสัยในวิชาวรยุทธ์บางประการ หวังว่าท่านเจิ้งจะกรุณาชี้แนะ”
เจิ้งเถียนเอินยิ้มเยาะ “ให้ข้าชี้แนะเจ้ารึ คิดว่าข้าว่างขนาดนั้นเลยหรือ?”
ฟางจือสิงรีบตอบว่า “ข้ามีเงิน ไม่ได้จะให้ท่านเสียเวลาเปล่า”
ว่าแล้วเขาก็หยิบเงินใหญ่สามร้อยเหรียญออกมา
ใบหน้าของเจิ้งเถียนเอินแสดงความโกรธขึ้นมาอย่างชัดเจน
เสี่ยวโก่วเห็นท่าไม่ดีจึงรีบส่งเสียงเตือน “นี่เจ้าทำอะไร? คนผู้นี้มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ไม่ใช่คนที่จะยอมลดตัวเพียงเพราะเงินไม่กี่เหรียญ”
ฟางจือสิงตอบกลับในใจว่า “เขามีโรคภัย คงต้องใช้เงินเยอะ และ ขาดแคลนเงินแน่นอน อีกอย่าง ต่อให้เขาโมโห ข้าก็ไม่กลัว ข้าไม่คิดว่าเขาเก่งกว่าข้า”
เสี่ยวโก่วฟังแล้วถึงกับสะดุ้ง
มันก็จริง ฟางจือสิงพัฒนาขึ้นมาถึงสามครั้งแล้ว มีทักษะการโจมตีที่ทรงพลังถึงสองแบบ ผู้คนที่ตกตายใต้มือของเขามีจำนวนไม่น้อย ขณะที่เจิ้งเถียนเอินคนนี้ดูท่าทางอ่อนแอราวคนป่วย
แม้ว่าภายนอกฟางจือสิงจะทำความเคารพ แต่ภายในกลับไม่ได้ยำเกรงเลยแม้แต่น้อย
สักพัก เจิ้งเถียนเอินก็ถอนหายใจ หยิบเก้าอี้มานั่งลงก่อนชี้ไปที่กระถางธูปข้างๆ และ กล่าวว่า
“ถามมาได้เลย จนกว่าธูปนี้จะมอด”
ฟางจือสิงรีบถาม “เทียนเหรินคืออะไร?”
เจิ้งเถียนเอินมองฟางจือสิงอย่างลึกซึ้ง ก่อนตอบว่า “ข้าได้ยินมาถึง ‘เทียนเหริน’ แต่ไม่เคยพบ และไม่รู้เรื่องของพวกเขาเลย”
ฟางจือสิงครุ่นคิด “เทียนเหรินแข็งแกร่งหรือ?”
เจิ้งเถียนเอินตอบ “ข้าไม่แน่ใจ ข้าบอกแล้วว่าไม่รู้จักพวกเขา แม้กระทั่งไม่มั่นใจว่าพวกเขามีอยู่จริงหรือเปล่า บางทีอาจเป็นแค่เรื่องเล่าก็ได้”
ฟางจือสิงพยักหน้าแล้วเปลี่ยนคำถาม
“ท่านเป็นนักสู้ ข้าขอถามว่าระดับการฝึกฝนของนักสู้นั้นแบ่งอย่างไร?”
เจิ้งเถียนเอินย้อนถามว่า “เจ้ารู้ไหมว่า ‘วิชา’ คืออะไร?”
ฟางจือสิงอึ้งไปชั่วขณะ
เขาพบว่าไม่สามารถอธิบายได้ว่า “วิชา” นั้นคืออะไร เพราะมันเป็นแนวคิดที่กว้างใหญ่มาก
“ขอท่านโปรดชี้แนะ” เขากล่าวอย่างนอบน้อม
เจิ้งเถียนเอินยิ้มเล็กน้อย “การฝึกวิชาคือการฝึกอะไรกันแน่? สมมติว่าเจ้าตัวสูงสิบฟุต มีพละกำลังมหาศาล ส่วนคนอื่นๆ ต่างเป็นเพียงคนอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง เจ้าคิดว่ายังมีความจำเป็นต้องฝึกวิชาอยู่หรือไม่?”
ฟางจือสิงตอบ “ท่านหมายความว่า การฝึกวิชานั้นคือการฝึกพละกำลัง?”
“ถูกต้อง!”
เจิ้งเถียนเอินพยักหน้า “เพียงแค่พละกำลังของเจ้ามากกว่าผู้อื่น การระเบิดพลัง และ ความเร็วของเจ้าก็จะสูง และ รวดเร็วกว่าผู้อื่นตามไปด้วย การฝึกวิชาคือการฝึกให้เกิดพลังที่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้!”
วิชา คือพลังแห่งชัยชนะเหนือศัตรู!
เจิ้งเถียนเอินกล่าวต่อ “ระดับแรกของการฝึกวิชาคือการฝึกพละกำลังจนเชื่อมต่อได้ทั่วร่างกายทั้งหมด ระดับนี้เรียกว่า ‘พลังแห่งการสั่งสม’”
“พลังแห่งการสั่งสม คือการที่พละกำลังทั่วทั้งร่างรวมเป็นหนึ่งเดียว?”
ฟางจือสิงขมวดคิ้วแล้วถามว่า “ความรู้สึกนั้นเป็นอย่างไรกันแน่?”
เจิ้งเถียนเอินหัวเราะตอบ “จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย คือการที่พละกำลังทั้งร่างถูกบิดให้รวมเป็นหนึ่ง…”
ทันทีที่เขาพูดจบ ฟางจือสิงก็รู้สึกอะไรบางอย่างขึ้นในใจ จึงชักดาบออกมาทันที
เสียง “ฟึบ!” ดังขึ้นเมื่อเขาฟันลงในพริบตา แล้วเก็บดาบเข้าฝัก
เจิ้งเถียนเอินเบิกตากว้าง ในขณะนั้นมียุงตัวหนึ่งร่วงลงบนต้นขาของเขา
ยุงตัวนั้นยังดิ้นอยู่ แต่ปีกหายไปแล้ว!
[วิชาดาบขั้นพื้นฐาน - สมบูรณ์แบบ]
เจิ้งเถียนเอินขยี้ตาอย่างไม่เชื่อสิ่งที่เห็น เงยหน้ามองฟางจือสิงอย่างตกตะลึง “แท้จริงแล้ว เจ้าเป็นนักรบระดับพลังแห่งการสั่งสม?! คนกับดาบรวมเป็นหนึ่ง!!”
ฟางจือสิงคิดในใจว่าเป็นอย่างที่คาดไว้
ตั้งแต่เขาฝึกวิชาดาบขั้นพื้นฐานจนเต็มระดับ เขาก็เริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เขาเหนือกว่าคนทั่วไป ฆ่าได้ง่ายดายราวกับฆ่าไก่
เจิ้งเถียนเอินถามว่า “เจ้าเรียนจากอาจารย์คนใด?”
ฟางจือสิงส่ายหน้า “ข้าไม่มีอาจารย์ ฝึกเองทั้งหมด”
“อะไรนะ เจ้าเรียนเองจนถึงระดับพลังแห่งการสั่งสมได้เช่นนี้?!”
“แล้วยังเป็นวิชาดาบอีกด้วย!!”
เจิ้งเถียนเอินถึงกับตะลึง “การฝึกวิชามีหลักการอยู่ข้อหนึ่ง ฝึกหมัดก่อน ตามด้วยการใช้เท้า และ สุดท้ายจึงเป็นอาวุธ!”
“วิชาหมัด และ เท้าเป็นพื้นฐานที่ฝึกได้ง่ายที่สุด”
“แต่แม้แต่คนที่ฝึกวิชาหมัด และ เท้า มีอาจารย์คอยสอนมาตั้งแต่เด็ก เขายังต้องฝึกหนักเป็นสิบปีกว่าจะผ่านเข้าสู่ระดับขั้นพลังรวมได้!”
เจิ้งเถียนเอินมองฟางจือสิงด้วยความประหลาดใจที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“สำหรับการฝึกอาวุธนั้นยากยิ่งขึ้น ต้องใช้เวลาฝึกนานกว่าหลายเท่า การจะบรรลุถึงขั้น ‘คนกับดาบรวมเป็นหนึ่ง’ โดยไม่มีอาจารย์แนะนำ นั้นแทบเป็นไปไม่ได้!”
เสี่ยวโก่วที่ฟังอยู่สบถในใจว่า นี่มันเพราะเขามีบัฟช่วยนี่นา จะชมอะไรกันนักหนา!
ฟางจือสิงเหลือบมองหนุ่มทั้งห้าที่ฝึกอยู่ในลาน พวกเขากำลังฝึกฝนกำลังกาย และ ความแข็งแกร่ง แต่ยังห่างไกลจากระดับขั้นพลังรวมมาก
ขั้นพลังรวม คือการรวมพละกำลัง และ ทักษะอย่างสมบูรณ์ ทั้งสองต้องมาพร้อมกัน
หนุ่มทั้งห้านั้นยังขาดทั้งพละกำลัง และ ทักษะ ซึ่งยังห่างไกลจากระดับของฟางจือสิง
..........