ตอนที่ 21 : ลบเพื่อน
“เหล่าเจียง ไปเอาจดหมายตอบรับเข้าเรียนกันเถอะ! ฉันไปด้วย!”
วันรุ่งขึ้นหลังจากกลับจากบาร์ เจียงฉินเพิ่งจะปีนออกจากเตียงแต่จู่ๆ เขาก็ได้รับข้อความ QQ จากกัวจื่อหัง
เขาอดไม่ได้ที่จะมองดูปฏิทินบนผนังและพบว่าวันนี้เป็นวันรับจดหมายตอบรับเข้าเรียนจริงๆ แต่เมื่อพิจารณาจากผลสอบของกัวจื่อหัง เขาพอจะสมัครเข้าได้แค่มหาวิทยาลัยชั้นสองเท่านั้น จดหมายตอบรับเข้าเรียนของเขาไม่น่าจะมาเร็วขนาดนี้สิ?
“จดหมายตอบรับของนายมาแล้วเหรอ?”
“ยัง ฉันไปกับนายไม่ได้เหรอ?”
“มันไม่มีของนาย แล้วทำไมนายถึงกระตือรือร้นขนาดนี้?”
“นายบอกว่าจะพาฉันไปที่ร้านล้างเท้าหลังจากได้จดหมายตอบรับ!”
เจียงฉินอดไม่ได้ที่จะถ่มน้ำลายใส่โทรศัพท์พร้อมกับคิดในใจว่านักศึกษายุคนี้มีแต่เรื่องแบบนี้ในสมองหรือไง? คิดแต่จะล้างเท้าทุกวัน!
เขาโยนโทรศัพท์มือถือทิ้งไว้ ลุกขึ้นไปอาบน้ำล้างหน้า จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปข้างนอก เมื่อเขามาถึงที่ทำการไปรษณีย์กัวจื่อหังก็รออยู่ที่หน้าประตูแล้ว
“พ่อบุญธรรม จดหมายตอบรับของนายอยู่ชั้นวางหมายเลขสามนับจากด้านบนลงมาห้าชั้น!”
“นายรู้ได้ไง?”
“ฉันหามันให้นายแล้ว ถ้าพนักงานไม่ห้ามล่ะก็ฉันจะหยิบออกมาให้นายเองเลย”
“นายยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ไปล้างเท้าจริงๆ!”
เจียงฉินรู้สึกประทับใจกับกัวจื่อหังมาก ถ้าชายคนนี้กระตือรือร้นแบบนี้ตอนที่อยู่ในโรงเรียน ไม่สิ แค่ได้สักครึ่งหนึ่งก็พอ มหาวิทยาลัยชิงหวากับมหาวิทยาลัยปักกิ่งจะไม่พากันแย่งตัวเขาเลยเหรอ?
กัวจื่อหังแค่ยิ้มโง่ๆ โดยไม่ได้พูดอะไร เขาเดินตามเจียงฉินเข้าไปในที่ทำการไปรษณีย์เหมือนสุนัขรับใช้
จดหมายตอบรับเข้าเรียนเป็นเอกสารที่สำคัญมาก แม้จะไม่มีข้อกำหนดกฎเกณฑ์ที่ว่าต้องมารับด้วยตัวเอง แต่ถึงจะมอบหมายให้คนอื่นมารับแทนก็ยังต้องแสดงบัตรประจำตัวประชาชนด้วย
เจียงฉินหยิบจดหมายตอบรับเข้าเรียนของตัวเองจากด้านบนสุดของชั้นวางหมายเลขสาม จากนั้นค้นหาอีกครั้งสองครั้งแล้วหยิบจดหมายอีกฉบับหนึ่งติดมือมาด้วย
“พี่เจียง ทำไมคุณถึงมีจดหมายตอบรับสองฉบับเลยล่ะ?”
“อีกอันเป็นของเฟิงหนานซู”
“เอาไปไม่ได้นะถ้าไม่ได้มาด้วยตัวเอง นายต้องมีบัตรประชาชนของเฟิงหนานซูก่อนถึงจะเอาออกไปได้”
เจียงฉินไม่ได้พูดอะไร เขาหยิบบัตรประชาชนสองใบออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้พนักงานไปรษณีย์ ใบหนึ่งเป็นของเขาเอง ส่วนอีกใบเป็นของเฟิงหนานซู
เมื่อเห็นฉากนี้ดวงตาของกัวจื่อหังก็เบิกกว้างราวกับฐานระฆังทันที เขามีบัตรประชาชนของอีกฝ่ายอยู่ในกระเป๋า นี่ยังเรียกว่าเพื่อนกันได้อยู่เหรอ?
“พี่เจียง เทพธิดาเฟิงสมัครเข้ามหาวิทยาลัยไหน?”
“ที่เดียวกับฉัน หลินชวน”
“เธอบอกนายเหรอ?”
“เปล่า ฉันเดา”
กัวจื่อหังยังอยากถามต่อ แต่ทว่าทันใดนั้นเขาก็มองเห็นร่างที่คุ้ยเคยจากมุมหางตา
เธอสวมใส่กระโปรงยีนส์ตัวสั้น ผมเพ้าถูกมัดเรียบร้อยเป็นทรงหางม้า เธอไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฉู่ซือฉี ดอกไม้ประจำห้องสองแห่งชั้นมัธยมปลายปีสาม
“เจียงฉิน ไม่เจอกันนานเลย”
เจียงฉินพยักหน้าเล็กน้อย: “ไม่เจอกันนานเลย”
ฉู่ซือฉีกัดริมฝีปากเบาๆ: “นายก็สมัครเข้ามหาวิทยาลัยหลินชวนเหมือนกันเหรอ ฉันเรียนคณะนิติศาสตร์ แล้วนายล่ะ?”
“ใครบอกเธอว่าฉันสมัครเข้ามหาวิทยาลัยหลินชวน?”
“หวังฮุ่ยหรู แต่นายอย่าเข้าใจผิด ฉันไม่ได้ตั้งใจถามใครหรอกนะ แค่เมื่อวานเราคุยกันแล้วก็บังเอิญได้ยินมาเฉยๆ”
เจียงฉินยิ้มเล็กน้อยแล้วเดินออกจากที่ทำการไปรษณีย์
ในความเป็นจริงเขาไม่ได้สนใจสิ่งที่ฉู่ซือฉีพูดเลย แค่คุยกันไปตามมารยาทเท่านั้น สำหรับเรื่องที่เรียนอยู่ที่เดียวกันนั้นก็ไม่สำคัญอะไร เพราะคณะการเงินนั้นอยู่ที่วิทยาเขตหลัก ส่วนคณะนิติศาสตร์อยู่ในวิทยาเขตตะวันออก ตราบใดที่ไม่ได้นัดเจอกันเป็นการส่วนตัวก็แทบจะไม่ได้เจอหน้ากันเลย
เมื่อเธอเห็นเจียงฉินเดินจากไป ฉู่ซือฉีก็เริ่มวิตกกังวลทันที
อันที่จริงเธอมาถึงที่นี่ตั้งนานแล้วและนั่งรออยู่ในร้านกาแฟตรงข้ามกับที่ทำการไปรษณีย์ พอเธอเห็นเจียงฉินมาถึงเธอก็รีบวิ่งมาหาทันที และที่เธอทำทั้งหมดนี้ก็แค่ต้องการจะพูดคุยกับเขาสักสองสามประโยคเท่านั้น
นายไม่ได้โกรธฉันอยู่เหรอ?
แล้วถ้าฉันเป็นฝ่ายพูดกับนายก่อนล่ะ?
แต่เธอกลับไม่คาดคิดว่าเจียงฉินจะเด็ดขาดขนาดนี้ เขาหันหลังกลับแล้วเดินจากไปเลย
นายมีเงินสามแสน ใช่ มันน่าทึ่งมาก แต่นายเองที่เป็นคนชอบฉันไม่ใช่ฉันที่ชอบนาย ฉันอุตส่าห์พาดบันไดให้นายแล้ว แต่นายยังไม่ยอมลงอีกเหรอ!
“เจียงฉิน นายต้องการทำให้เรากลายเป็นคนแปลกหน้ากันจริงๆ ใช่ไหม?”
“ใช่ ฉันบอกคำตอบไปนานแล้วไม่ใช่หรือไง”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ฉู่ซือฉีก็กัดฟันแน่นแล้วพูดด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว: “ดี งั้นนายบอกฉันมาสิว่าทำไมนายถึงอยากไปมหาวิทยาลัยเดียวกับฉัน!”
เจียงฉินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและนึกถึงบางสิ่งที่เขาลืมไปแล้วในทันใด
ใช่แล้ว ก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัย ก่อนที่เขาจะเดินทางย้อนเวลากลับมา ตัวเขาในสมัยวัยรุ่นเคยถามฉู่ซือฉีว่าเธออยากเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยไหน ตอนนั้นเธอตอบว่ามหาวิทยาลัยหลินชวนเพราะพ่อของเธอจบมาจากที่นั่น
หลังจากกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งเขาก็ลืมรายละเอียดมากมายไป จำได้แค่ว่าเมืองหลินชวนคือเมืองที่ตนคุ้นเคย แต่กลับลืมไปเสียสนิทว่าตอนแรกที่เข้ามหาวิทยาลัยแห่งนั้นก็เป็นเพราะฉู่ซือฉี
บัดซบ แม่มันเถอะ อะไรจะบังเอิญขนาดนี้ หรือว่าเรื่องบังเอิญจะมีอยู่จริง?
“การเข้ามหาวิทยาลัยหลินชวนของฉันมันไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ”
“ฮึ คะแนนสอบของนายมากพอให้ไปเมืองหลวงได้เลย แต่ทำไมนายถึงเลือกมหาวิทยาลัยหลินชวนล่ะ ไม่ใช่เพราะนายรู้ว่าฉันจะไปหลินชวนหรอกเหรอ!”
เจียงฉินถอนหายใจและมองย้อนกลับไปที่ฉู่ซือฉี: “เมืองหลวงอยู่ไกลเกินไป ฉันไม่อยากอยู่ห่างจากบ้านมากนัก เพราะงั้นหลินชวนจึงเป็นตัวเลือกที่ดี”
ฉู่ซือฉีน้ำตาคลอเบ้า เธอกัดริมฝีปากจนมันกลายเป็นสีแดงก่ำ: “ถ้างั้นก็อย่ามาติดต่อกันอีก ลบฉันออกจากรายชื่อเพื่อนใน QQ เลย ลบต่อหน้าเดี๋ยวนี้ด้วย!”
“...”
“เป็นอะไร ทำไมเงียบไปล่ะ? ไม่กล้างั้นเหรอ?” ฉู่ซือฉีพูดด้วยความโกรธ หน้าอกของเธอกระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุด
เจียงฉินหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วมองไปที่กัวจื่อหังด้วยสีหน้าอึกอักเล็กน้อย: “เหล่ากัว ฉันจะลบเพื่อนใน QQ เวอร์ชั่นปี 2008 ได้ยังไง?”
กัวจื่อหังตกตะลึงแล้วมองดูเขาราวกับมองคนโง่: “พ่อบุญธรรม นายทำไม่เป็นจริงๆ เหรอ?”
“ฉันทำไม่เป็นจริงๆ ช่วยจัดการให้หน่อยสิ”
“ดูฉันนี่!”
จากนั้นกัวจื่อหังก็ใช้โทรศัพท์มือถือของเจียงฉินลบชื่อฉู่ซือฉีทิ้งต่อหน้าเธอเลย
เมื่อเห็นฉากนี้ฉู่ซือฉีก็หลั่งน้ำตาออกมาทันที เธอด่ากัวจื่อหังว่าเป็นไอ้สารเลวพร้อมกับวิ่งร้องไห้ฟูมฟายออกไป ลืมแม้กระทั่งเอาจดหมายตอบรับเข้าเรียนกลับไปด้วยซ้ำ
กัวจื่อหังถึงกับอึ้งหลังจากถูกด่า คิดในใจว่านี่มันเกี่ยวอะไรกับฉัน ฉันก็แค่ให้การสนับสนุนทางด้านเทคนิค!
ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้น จ้องมองไปที่เจียงฉินและพูดกับตัวเองว่า พ่อบุญธรรม นายใจร้ายจริงๆ นายจงใจถ่ายโอนความเกลียดชังมาใส่หัวฉันใช่ไหม? ตัวเองกลายเป็นคนไร้มลทิลไปแล้วล่ะสิ?
อันที่จริงเจียงฉินไม่ผิดเพราะเขาไม่รู้วิธีเล่น QQ เวอร์ชันเก่ากึ๊กนี้จริงๆ!
“เหล่าเจียง ถ้าวันนี้นายไม่พาฉันไปล้างเท้าก็อย่าหวังว่าฉันจะให้อภัย”
“ล้างสิ ล้างให้หนังแกลอกเลย!”
เจียงฉินขึ้นจักรยานแล้วพากัวจื่อหังไปที่ถนนซิงไห่ จากนั้นก็ขึ้นบันไดสูงด้านหน้าทางเข้าสุ่ยอวิ๋นเจียน
แต่ก่อนที่จะเข้าไปข้างในเจียงฉินก็หยุดอยู่กับที่ แล้วอธิบายกฎระเบียบต่างๆ รวมถึงคำสแลงที่ใช้ในวงการให้ฟังก่อนเพื่อป้องกันไม่ให้เขาเข้าไปหน้าแตกอยู่ข้างใน
ใบหน้าของกัวจื่อหังเปลี่ยนเป็นแดงก่ำหลังจากที่ได้ยิน มองไปทางอื่นอย่างไม่กล้าสบสายตา สุดท้ายก็ไม่พูดอะไรและปฏิเสธที่จะเข้าไป อีกทั้งยังยกแขนเสื้อขึ้นปิดบังใบหน้า ทำตัวลับๆ ล่อๆ เหมือนโจร
“นายไม่อยากเข้าไปแล้วเหรอ?”
“ลูกพี่ ฉันคิดว่าข้างในจะมีแต่ที่ล้างเท้า!”
“แล้ว?”
“ฉันไม่ไป เรากลับกันเถอะ!”
“เจ้าขยะเปียกเอ้ย ดูเหมือนว่านายจะทำการใหญ่ไม่สำเร็จแล้ว”
ใบหน้ากัวจื่อหังเต็มไปด้วยความคับข้องใจ เขาอดไม่ได้ที่จะมองลงไปยังเท้าของตัวเอง
เขาคิดจริงๆ ว่าที่นี่คือที่สำหรับล้างเท้า สิ่งเดียวที่แตกต่างจากการที่เขาล้างเท้าด้วยตัวเองก็คือมีพนักงานสาวมาคอยให้บริการ ด้วยเหตุนี้เขาจึงล้างเท้าด้วยสบู่ถึงสามรอบก่อนออกจากบ้าน กลัวว่าพนักงานสาวจะคิดว่าเท้าของเขามีกลิ่นเหม็น แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าร้านล้างเท้าไม่ได้มีไว้ล้างเท้า!
(จบตอน)
ร้านล้างเท้า = อาบอบนวด
ล้างเท้าในที่นี้ความหมายเดียวกับไปนวดแต่ไม่ได้นวด